บทที่ 43 เงาขุยบริบูรณ์
ณ ถ้ำหินที่สวี่ชิงอยู่ พื้นเต็มไปด้วยขนนก อากาศเจือกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียน ในเมืองร้าง
ก้อนหินและวัตถุต่างๆ ที่เขาเคยเอามาใช้อุดรอยแยกข้างๆ ตอนนี้ถูกไอพลังประหลาดกัดกินอย่างสาหัสรุนแรง
ฝุ่นรอบๆ ก็มากกว่าตอนที่เขาจากไปในตอนนั้นมาก
เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม ก็มีคนเก็บกวาดมาสำรวจค้นอยู่เนืองๆ แต่จุดคุ้มครองแห่งนี้ของเขาลับตาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากที่เขาจากไปก็ไม่เคยมีใครมาที่นี่
ดังนั้นกลิ่นของฝุ่นและของเน่าเสียที่ผสมรวมกันก็ลอยเข้าจมูกสวี่ชิงอยู่ตลอด แต่เขาไม่สนใจ
สวี่ชิงในตอนนี้นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ เคล็ดวิชาคีรีสมุทรในร่างโคจรเต็มที่ หลังจากที่สะสมพลังแล้วก็กำลังจะทะลวงขั้นที่เจ็ดอย่างเต็มกำลัง
ส่วนด้านนอก เสียงคำรามและเสียงโหยหวนแปลกประหลาด คลอเคล้ากับเสียงร้องไห้ที่ชวนให้ขนลุกสะท้อนก้องไม่หยุด นี่ทำให้สวี่ชิงเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง เกิดเป็นภาพหลอนขึ้นมา
เหมือนว่ากลับไปเมื่อครึ่งปีก่อน
ตัวเองในตอนนั้นอยู่ในสายตาของเทพเจ้า อยู่ท่ามกลางฝนเลือดโปรยปราย เอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากเพียงลำพัง ในเมืองที่กระดูกกลาดเกลื่อนไปทั่วทุกที่แห่งนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในหัวเขาก็ไม่มีเรื่องราวในอดีตปรากฏขึ้นมาอีก จิตใจจมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญโดยสมบูรณ์ พลังวิญญาณรอบๆ รวมกันช้าๆ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วตามรูขุมขนทั่วทั้งร่างกายจากการโคจรไม่หยุดของพลังบำเพ็ญในกาย
เสียงบึ้มๆ ค่อยๆ ดังสะท้อนในร่าง เสียงนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังก็เปลี่ยนเป็นส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหววนเวียนอยู่ในหัว
สิ่งที่ตามมาหลังจากเสียงกึกก้องคือสิ่งแปลกปลอมสีดำที่ขับออกมาจากรูขุมขนทั่วร่างกาย สิ่งแปลกปลอมพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
และร่างกายใต้เสื้อผ้าของสวี่ชิงก็ปะทุพลังน่าตื่นตะลึงออกมา จากเลือดเนื้อตามที่ขับของเสียออกมา ณ เสี้ยวขณะนี้เอง
เส้นเลือดทั้งหมดของเขาโป่งนูนขึ้น เลือดเนื้อของเขาฉีกขาดและเกิดการยืดหดตัวไม่หยุด กระดูกของเขาส่งเสียงดังกึกก้องออกมาเช่นกัน
จวบจนหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ดวงสวี่ชิงก็พลันเบิกตาขึ้นตามเสียงระเบิดราวอัสนีสวรรค์ในหัวนั่น แสงสีม่วงก็พุ่งออกมาจากรูม่านตาของเขา
ในเสี้ยวขณะนี้ข้างหลังของเขาก็มีเงาขุยปรากฏออกมาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้…เงาขุยของเขาต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง!
ทั่วทั้งร่างดำสนิท กำยำยิ่งขึ้น กระทั่งว่าส่วนหัวก็ไม่ได้มีแค่เขาเดียวอีกต่อไป แต่มีสองเขาเหมือนกับวัว อีกทั้งยังมีลักษณะม้วนแบบก้นหอย ที่ปลายเขามีสายฟ้าแลบพันล้อมอยู่รางๆ
ใบหน้าเหี้ยมเกรียมสุดขีดยิ่ง เวลาที่ปากน่าสยดสยองอ้าขึ้นก็เหมือนสามารถกลืนกินผีร้ายได้ทั้งเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรงเล็บทั้งสองข้างที่คมกริบ เมื่อรวมกับดวงตาสีม่วงแล้วก็ยิ่งแผ่ความเหี้ยมโหดอำมหิตที่น่าหวาดหวั่นกระจายออกมา
เหมือนว่าระลอกคลื่นพลังแข็งแกร่งแผ่มาจากเงาขุยจะสามารถทะลุผ่านถ้ำหิน สั่นคลอนไปทั่วทุกสารทิศ
เงาขุยบริบูรณ์!
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเคล็ดวิชาคีรีสมุทรบริบูรณ์แล้วเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ฝึกบำเพ็ญถึงระดับนี้ก็เป็นฝึกกายาระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ ไม่สามารถยกระดับได้อีกต่อไป แต่ตอนนี้สวี่ชิงเพิ่งจะขั้นที่เจ็ดเท่านั้น
ส่วนร่างกายของเขา ณ ขณะนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นเดียวกัน เรือนร่างสูงโปร่ง บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เวลาที่แสงสีม่วงคงอยู่ในดวงตาของเขาก็เหนือกว่าเมื่อก่อนยิ่ง
โดยเฉพาะใบหน้าของเขา…
หากบอกว่าสวี่ชิงในตอนที่เคล็ดวิชาคีรีสมุทรอยู่ขั้นที่หกก็หล่อเหลางดงามเป็นอย่างยิ่งแล้ว เช่นนั้นเขาในตอนนี้ ด้วยดวงตาสีม่วงต่อให้ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบไคล ก็ห่างจากคำว่างดงามชวนใหลหลงไม่ไกลแล้ว
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เขาสนใจคือพลังที่ปะทุออกไปข้างนอกได้ในตอนนี้
ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าอย่างรวดเร็ว มองเส้นเลือดทุกเส้นที่โป่งนูนขึ้นมาบนแขนและบนหมัดที่ตัวเองกอบกำอย่างช้าๆ
ในขณะที่แสงสีม่วงในดวงตาค่อยๆ สลายไป เขาก็สัมผัสถึงพลังของตัวเองได้ชัดเจนอย่างมาก…
มากกว่าก่อนหน้านี้เกินหนึ่งเท่าตัว!
“พลังหนึ่งขุยอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงพึมพำ มองรอบๆ
ข้างนอกมืดมิด ในถ้ำก็ไม่เห็นแสงสว่างเลยแม้น้อยเช่นกัน แม้สวี่ชิงตอนนี้พอจะฝืนมองทุกอย่างให้เห็นชัดได้ แต่ก็มองไม่เห็นเงา
ทว่าในความรู้สึก เขาสัมผัสได้ถึงเงา ดังนั้นหลังจากที่พูดพึมพำก็ลองบังคับดู
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป ตาสวี่ชิงฉายแววตื่นตะลึงและอัศจรรย์ออกมา
เขารู้สึกว่าการควบคุมเงาของตัวเองดีกว่าแต่ก่อนมาก กระทั่งว่าสามารถควบคุมรายละเอียดให้ไอพลังประหลาดที่รวมอยู่ในเงากลับมาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายได้
แม้ว่าทำแบบนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พิสูจน์ได้อ้อมๆ ว่าการควบคุมเงาของเขาคล่องแคล่วเป็นอิสระมากขึ้น
ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่ากำลังรบของตัวเองในตอนนี้หากได้เจอหัวหน้าฐานอีกครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ดาบสวรรค์เลียนเทพเลย แค่เพียงหมัดเดียว…ก็สามารถชกหัวหน้าฐานที่เป็นผู้ฝึกกายขั้นแปดแขนระเบิดได้
‘แต่น่าเสียดาย เผชิญหน้ากับบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยังห่างชั้นกันมากเกินไป’
สวี่ชิงส่ายหน้า แม้จะไม่ได้ประมือกับอีกฝ่ายจริงๆ แต่การหลบหนีตลอดทางมานี้และเงาหมัดที่มาจากบรรพจารย์สำนักวัชระก็ทำให้เขารู้ถึงความห่างชั้นเป็นอย่างดี
ดังนั้นต่อให้เงาจะสามารถจู่โจมให้อีกฝ่ายคาดไม่ถึงได้ แต่เขาก็ทราบเป็นอย่างดีว่าตัวเองในตอนนี้ไม่มีทางมีกำลังสู้กับระดับสร้างฐาน
‘ทว่า หากเจอระดับรวมปราณขั้นเก้าสองคนนั้น ข้าฆ่าได้’
มองไปข้างนอกตามรอยแยกทางออกของถ้ำหิน ประกายเย็นเยือกฉายวาบในดวงตาสวี่ชิง
เสียงคำรามและเสียงแปลกประหลาดดังลอยมาข้างหูเป็นระลอกๆ เดี๋ยวไกลเดี๋ยวใกล้ เปรียบเทียบกับความเงียบสงัดในถ้ำอย่างชัดเจน
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงมีความรู้สึกเหมือนกลับไปยังเมื่อครึ่งปีก่อนอีกครั้ง เขาหยิบเอาเหล็กแหลมออกมาตามสัญชาตญาณ กำมันเอาไว้ช้าๆ พึมพำในใจว่าจะไปอย่างไร จะทำอย่างไรดี
หากไปตอนนี้เขาคิดว่ามีโอกาสสูงที่จะไปถึงเมืองเขากวางได้อย่างราบรื่น
แต่…สวี่ชิงรู้สึกเจ็บใจนิดๆ จิตสังหารทอประกายวาบในตา
‘ไม่ฆ่าสองสามคนนั่น ภัยแอบแฝงประเภทนี้ก็ชวนให้เป็นกังวลอยู่ไม่สุขจริงๆ’ สวี่ชิงหรี่ตา ในหัวมีแผนที่ของทั้งเมืองผุดวาบขึ้นมา
เขาคุ้นเคยกับเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดี
ตอนนี้จากการที่ถนนแต่ละสายผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นที่ที่อสูรกลายพันธุ์หลับใหล หรือจะเป็นจุดคุ้มครองของพวกนกล้วนปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาอย่างชัดเจน แล้วจึงเริ่มวิเคราะห์ขึ้นมา
“จวนเจ้าเมือง!” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็พึมพำออกมา ประกายเย็นเยียบในตาเข้มข้น
เขาเตรียมจะลองไปจากเมืองก่อน หากระหว่างทางไม่เจอคนของสำนักวัชระก็แล้วไป แต่หากเจอตัวเองก็จะโจมตีกลับตามวิธีที่คิดเอาไว้
หลังจากที่สัมผัสได้ว่าเสียงคำรามข้างนอกจากใกล้ๆ ดังไกลออกไป สวี่ชิงใบหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยว เคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆ ที่อุดทางเข้าอยู่ แล้วมุดออกไปช้าๆ
รอยแยกทางเข้าคับแคบ ตอนนี้ร่างกายของสวี่ชิงโตขึ้นมาอีกเล็กน้อย ตอนออกไปก็ลำบากอยู่บ้าง แต่สีหน้าของเขายังคงเดิม หลังจากที่ตะเกียกตะกายออกมาได้ แม้ร่างกายจะถูกเกี่ยวถลอก แต่แผลแค่นี้ก็หายสนิทดีอย่างรวดเร็ว
หลังจากมุดออกไป สวี่ชิงระมัดระวังพลางมองความมืดรอบๆ ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งออกไปทันที เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังในเมืองร้างแห่งนี้
ความระมัดระวังเช่นนี้กระทั่งว่ามากกว่าตอนเขาอยู่ในป่าลึกพื้นที่ต้องห้ามเสียอีก
เทียบกับที่นั่นแล้ว อสูรกลายพันธุ์และสิ่งแปลกประหลาดในเมืองตอนกลางคืนมีมากกว่าจริงๆ
ดีที่สวี่ชิงรู้จักโครงสร้างของเมืองเป็นอย่างดี ดังนั้นตลอดทางมาแม้จะเจอกับอันตราย แต่ส่วนมากก็สามารถหลบหลีกได้โดยอาศัยความเร็วและความคุ้นเคยของตัวเอง
หากไม่สามารถหลบได้จริงๆ เขาก็ลงมือจัดการอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า และมุ่งหน้าต่อไป
สวี่ชิงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังในเมืองหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ในตอนที่ใกล้จะถึงชายขอบ เขาก็พลันได้ยินเสียงดังกึกก้องมาจากที่ไกลท่ามกลางไอพลังแปลกปลอมหนาแน่นเช่นนี้
เสียงนี้ทำให้สายตาของสวี่ชิงจ้องเขม็ง
ในความมืด สายตาของเขา ณ เสี้ยวขณะนี้คมกริบราวจิ้งจอกหมาป่า เคลื่อนเข้าไปใกล้บริเวณที่ส่งเสียงดัง หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป เขาก็เห็นเงาร่างสองเงากำลังถูกอสูรกลายพันธุ์เจ็ด แปดตัวไล่โจมตี
สองคนนี้ก็คือผู้อาวุโสสำนักวัชระนั่นเอง
หลังจากที่สวี่ชิงและบรรพจารย์เข้าเมืองไปได้ช่วงหนึ่งพวกเขาถึงได้ตามมา
ตอนมาถึงก็เป็นช่วงกลางดึกแล้ว ดังนั้นจากการลังเลและการประเมิน พวกเขาจึงไม่เลือกที่จะเข้าไปในส่วนลึก แต่ซ่อนตัวรออยู่ที่ชายขอบ
เพียงแต่อสูรกลายพันธุ์และสิ่งแปลกประหลาดของเมืองมีมากมายเหลือเกิน และจุดที่พวกเขาซ่อนตัวก็ไม่ใช่จุดคุ้มครองที่ค่อนข้างปลอดภัยที่พวกนกหาเจอ ดังนั้นจึงต้องเผชิญหน้าอย่างช่วยไม่ได้
เพราะไม่อยากสร้างความเคลื่อนไหวใหญ่โตจนดึงดูดอสูรกลายพันธุ์มามากขึ้น ดังนั้นหากพวกเขาสองคนหลบได้ก็หลบ หลบไม่ได้จริงๆ ถึงจะลงมือ
ความระมัดระวังของพวกเขารวมกับพลังแท้จริงที่ไม่ธรรมดา ทำให้ต่อให้ตอนนี้ถูกลอบโจมตีก็ยังสามารถรับมือได้
ในขณะที่ทะยานไปอย่างเร็วรี่และเห็นพวกเขาจะใกล้สลัดอสูรกลายพันธุ์ข้างหลังได้แล้ว ในเวลานี้เอง ประกายเย็นเยือกทางหนึ่งก็พุ่งมาจากที่ไกล
ความเร็วดุจลูกธนูที่พุ่งออกไปจากคันศร พุ่งออกไปหาผู้อาวุโสสำนักวัชระในความมืด
คนคนนี้ไม่ใช่คนที่ประมือกับสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ แต่เป็นคนที่มาทีหลังที่ติดตามบรรพจารย์สำนักวัชระมาคนนั้น
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที มือทั้งสองประสานปางมือผลักไปข้างหน้า รอบๆ เขามีน้ำแข็งระเบิดกระจายทันที อีกทั้งมีเกราะป้องกันปรากฏขึ้น ขวางกั้นประกายเย็นเยียบที่พุ่งเข้ามา
แต่พลังของประกายเย็นเยียบน่าครั่นคร้ามนัก พุ่งทะลุน้ำแข็ง แทงไปที่เกราะป้องกันของเขาในชั่วพริบตา
ในขณะที่ระลอกคลื่นพลังวิญญาณสั่นสะท้านรุนแรง เกราะป้องกันของเขาก็เกิดรอยร้าว แต่จะอย่างไรก็ต้านทานเอาไว้ได้ ทำให้เขาเห็นวัตถุที่โจมตีตัวเองได้อย่างชัดเจน เป็นเหล็กแหลมสีดำแท่งหนึ่ง!
ภาพนี้ทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสสำนักวัชระคนนี้หดเล็กลง พลันหันไปมองสหายร่วมทางข้างหลัง กำลังจะลงมือแต่ก็สายไปแล้ว
ในเสี้ยวพริบตาที่เขาถูกลอบโจมตี เงาดำข้างๆ ก็แปลงเป็นสายฟ้าสีดำประชิดไปหาผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างรวดเร็วจากตรอกข้างๆ
เงาดำนี้ก็คือสวี่ชิง
เหล็กแหลมก่อนหน้านี้คือการอำพราง เป้าหมายแรกที่สวี่ชิงจะจัดการจริงๆ คือชายกลางคนที่เคยประมือกับเขาก่อนหน้านี้และถูกเขาทำลายเท้าซ้ายจนเละคนนั้น!
ความเร็วของสวี่ชิงในตอนนี้ปะทุขึ้นเต็มที่ เร็วกว่าตอนเคล็ดวิชาคีรีสมุทรขั้นหกก่อนหน้านี้มากมาย เสียงลมกรีดแหลมที่เกิดขึ้นในยามทะยานไปอย่างรวดเร็วมาถึงข้างๆ ผู้บำเพ็ญกลางคนที่ได้รับบาดเจ็บทันที
ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้มีบาดแผล และไอพลังประหลาดในพื้นที่ต้องห้ามก็หนาแน่น ไม่สามารถใช้ยันต์บินได้ตลอด ดังนั้นเทียบกับเขาแล้ว ย่างก้าวของสหายจึงไม่มั่นคงอยู่บ้าง
ตอนนี้เผชิญหน้ากับอันตราย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง วิกฤตความเป็นตายรุนแรงเกิดขึ้นในใจ ร่างกายพลันถอยหลังคิดจะหลบ แต่สวี่ชิงจะให้โอกาสเขาได้อย่างไร ในเสี้ยวพริบตาที่เข้าประชิดก็ทะยานตัวขึ้น มือขวากำเป็นหมัดแล้วชกออกไปเต็มแรง
หมัดนี้ไม่ว่าจะเป็นความเร็วหรือพลัง สวี่ชิงล้วนใช้พลังทั้งหมด
ตอนนี้เมื่อชกออกไป ข้างหลังก็มีเงาขุยเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้น ในยามที่คำรามอย่างไร้เสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกทิศ ก็ผสานเข้าไปในหมัดของสวี่ชิง
ทำให้ในเสี้ยวขณะที่เหวี่ยงหมัดนี้ออกไป อากาศก็เหมือนจะระเบิดออก ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ เป็นระลอกคล้ายว่ารวมพลังสยบไว้ด้วย ซัดเข้าไปที่หน้าอกของผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้พร้อมกับความเหี้ยมเกรียมของเงาขุย
เกราะป้องกันของผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้แตกสลายทันที หมัดของสวี่ชิงชกมาที่หน้าอกของเขาอย่างทรงพลังไม่อาจต้านได้
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะท้อนก้องไปในเมืองที่เงียบสงัดแห่งนี้ฉับพลัน
ผู้บำเพ็ญกลางคนที่เท้าซ้ายแหลกเละคนนั้นกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่งพร้อมเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวน หน้าอกยุบลึก อวัยวะภายในพังเสียหายแตกสลายในเสี้ยวขณะนี้ ร่างม้วนกระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้เหมือนว่าวสายป่านขาด
แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นเก้า ตอนนี้สีหน้าตื่นกลัว พยายามฝืนสะกดอาการบาดเจ็บ อักขระยันต์บินที่ขาขวาพลันกะพริบวาบ พลังบินแผ่กระจาย ทำให้ร่างที่ร่วงหล่นของเขาพลิกตัว จะบินหนีไปกลางท้องฟ้า
แต่เสี้ยวขณะต่อมาประกายเย็นเยือกปรากฏขึ้นอีกครั้ง กระบี่ยาวเล่มหนึ่งแหวกอากาศประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตัดผ่านขาขวาของเขาไปทันที
เลือดสดๆ พวยพุ่ง เสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนดังสะท้อนไปทั่ว ขาขวาที่ติดยันต์บินเอาไว้แยกกับร่างกายทันที
ไม่รอให้คนที่เสียขาขวาคนนี้ร่วงลงมา ขาขวาของสวี่ชิงออกแรงพุ่งออกไปอีกครั้ง ในเสี้ยวพริบตาที่เขาพุ่งไป บนพื้นที่เขาอยู่เมื่อครู่ก็ถูกอีกคนหนึ่งใช้วิชาเวทสร้างลิ่มน้ำแข็งจำนวนมหาศาลเสียบแทงทะลุ
ในขณะเดียวกับที่เฉียดผ่านกัน สวี่ชิงไม่แม้แต่จะปรายตามองข้างหลัง เขาไล่ตามผู้บำเพ็ญกลางคนที่ร่วงหล่นจากกลางท้องฟ้าคนนั้นไป แล้วชกหมัดขวาออกไปท่ามกลางแววตาสิ้นหวังของอีกฝ่าย
เงาขุยคำราม ผสานเข้าไปกับหมัด แล้วกระโจนไปหาผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้อย่างโหดเหี้ยม
ซัดไปที่ศีรษะของคนคนนี้ทันที
เสียงบึ้มดังขึ้น ร่างของผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้ก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง หัวระเบิดพลัน เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว แหลกเละดับดิ้น!
ศพร่วงกระแทกลงพื้นดังสนั่น อสูรกลายพันธุ์ที่ไล่ตามมาพวกนั้นกระโจนเข้าใส่ แยกร่างฉีกทึ้งกัดกิน
สวี่ชิงไม่หยุดแม้เพียงเสี้ยวขณะ ฉีกยันต์บินที่อยู่บนขาข้างที่ขาดบนพื้นออกมา หันไปมองยังผู้อาวุโสสำนักวัชระอีกคนที่ตอนนี้ใบหน้าขาวซีด แววตาแฝงด้วยความหวาดกลัวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
หลังจากเลียริมฝีปาก สายตาราวหมาป่าของสวี่ชิงก็ฉายประกายเย็นเยียบวาบขึ้นมา มองไปทางผู้อาวุโสคนนี้ แล้วบินพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ฆ่า!