ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 47 เจ็ดเนตรโลหิต

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 47 เจ็ดเนตรโลหิต

[ภาค 2 ฝนธัญชาติ] บทที่ 47 เจ็ดเนตรโลหิต

เดือนแปด สิ้นฤดูร้อน

ดวงอาทิตย์ร้อนแรงกลางท้องฟ้าแม้จะยังคงผสานอุณหภูมิของตัวเองไปในสายลมตามอำเภอใจ อาศัยการเคลื่อนที่ของลมทำให้ความร้อนอบอวลโลก แต่ตามการเปลี่ยนแปลงของช่วงฤดูกาล ความร้อนก็มาถึงเวลาสิ้นสุดอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

สุดท้ายมันก็ทำได้แค่อยู่บนท้องฟ้า มองผืนแผ่นดินอย่างจนปัญญา รอการมาเยือนของห่านป่า รอนกนางแอ่นหวนคืนกลับมา รอการมาเยือนของน้ำค้างขาวช่วงฤดูกาลถัดไป

แต่เทียบกับเหล่าผู้คนบนโลกแล้ว จากตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ทำให้มันเห็นเกาะที่ถูกทะเลกว้างใหญ่ไพศาลโอบล้อมเอาไว้ได้อย่างชัดเจนขึ้นระหว่างรอคอยได้

ความจริงแล้วทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเป็นเพียงแค่เกาะแห่งหนึ่งเท่านั้น

รูปร่างของมันเป็นวงรีเบี้ยวๆ ด้านในถูกเทือกเขาอันกว้างใหญ่ประดุจมังกรนอนทอดยาวเหนือจรดใต้ ขวางกั้นตะวันออกและตะวันตก

เทือกเขานี้มีชื่อว่าเทือกเขาสัจธรรม

ทางด้านตะวันตกของเทือกเขากินพื้นที่ไปถึงเจ็ดส่วนของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทั้งหมด ที่นั่นเป็นแดนต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ มีชื่อว่าแดนต้องห้ามปักษาราชัน

ในนั้นเต็มไปด้วยป่าหนาทึบมืดครึ้ม ฝังกลบซากโบราณสถานบรรพกาลมากมาย หมอกลอยอวลอยู่ตลอด มีอสูรกลายพันธุ์มากมาย เรื่องแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ไอพลังประหลาดเข้มข้นหนาทึบ

ส่วนพื้นที่ทางด้านตะวันออกของเทือกเขาทั้งหมดสามส่วนที่เหลือของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณถึงจะเป็นสถานที่อาศัยตั้งถิ่นที่อยู่ของมนุษย์

และที่นี่ก็มีตำแหน่งหนึ่งที่พิเศษมาก ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเทือกเขาสัจธรรม เป็นจุดเริ่มต้นของจุดเชื่อมต่อกับมหาสมุทร

ที่แห่งนี้ทางทิศตะวันตกเชื่อมติดกับแดนต้องห้ามปักษาราชัน ทิศตะวันออกติดกับพื้นที่ของมนุษย์ ทิศเหนือเป็นผืนทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ทิศใต้คือเทือกเขาสัจธรรมที่ทอดตัวยาวไปถึงอีกด้านหนึ่ง

ภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้มันกลายเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ปกติแล้วมีเรือสินค้าใหญ่โตสัญจรไปมาตลอดเวลา มีการค้าที่มาจากเกาะรอบๆ และมีที่มาจาก…แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ในฐานะที่เป็นจุดยุทธศาสตร์พิเศษและสำคัญเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่ขั้วอำนาจธรรมดาๆ ทั่วไปควบคุมได้ และที่นี่ก็เป็นที่ตั้งของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั่นเอง

มองไกลๆ เมืองที่ท่าเรือตั้งอยู่แบ่งเป็นเจ็ดเขตพื้นที่ใหญ่ๆ ท่าเรือเป็นแค่หนึ่งในนั้นเท่านั้น เมืองที่รวมตัวกันจากเขตพื้นที่ทั้งเจ็ดนี้ใหญ่โตจนน่าตกใจ เรียกได้กระทั่งว่าเป็นเมืองขนาดมหึมา

นี่ก็คือเมืองหลักของเจ็ดเนตรโลหิต

และข้างๆ ก็ยังมียอดเขาเจ็ดยอดที่อยู่ทางเหนือสุดของเทือกเขาสัจธรรม ยอดเขาทุกยอดมีรูปดวงตาแกะสลักใหญ่โตขนาดร้อยจั้ง สีสันแตกต่างกันไป แต่ล้วนฉายความเฉียบขาดดุดันออกมา

ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน แสงเจิดจ้าไม่เคยหายไป ก่อเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่ว

ดวงตาขนาดมหึมาเจ็ดดวงนี้ก้มมองผืนแผ่นดินเหมือนกับดวงตาของสัตว์ยักษ์ มาพร้อมความน่าเกรงขามสง่างามและเย็นชา ทำให้ทุกคนเมื่อได้เห็นแล้วต่างจิตใจสั่นสะท้าน

นี่ก็คือที่มาของชื่อเจ็ดเนตรโลหิต

เมืองหลักที่ท่าเรือตั้งอยู่ รวมถึงยอดเขาเจ็ดยอดนี้ก็คือรูปร่างหน้าตาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมด

ยอดเขาที่เจ็ดที่อยู่ใกล้เมืองหลักและยอดเขาที่หนึ่งไกลๆ ที่สูงที่สุดเหมือนยักษ์สองตนยืนตระหง่านอยู่ที่นี่ ทำให้บุคคลตัวเล็กๆ และขั้วอำนาจทั้งหลายในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณต่างหวาดกลัว

อย่างไรเสีย ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ต่อให้เป็นเขตพื้นที่สามส่วนที่มนุษย์พำนักอาศัยก็มีอันตรายมากมาย

ป่าตลบอวลไปด้วยไอพลังประหลาด มีอสูรกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ และโจรผู้ร้ายดักซุ่ม

แม้อสูรกลายพันธุ์จะดุร้ายสู้ในแดนต้องห้ามไม่ได้ แต่จากคำพูดของมนุษย์ส่วนใหญ่ หากออกไปจากเมืองและได้พบกับมันเข้า นั่นก็คือวิกฤตชีวิตความเป็นตายแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเจอกับโจรผู้ร้าย…ในป่ารกร้างที่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเท่าไร น่ากลัวว่าจะอนาถเสียยิ่งกว่าความตาย

ดังนั้นเมืองที่สามารถพำนักอาศัยได้ สำหรับมนุษย์ส่วนมากแล้วเป็นสิ่งที่ถวิลหาแม้แต่ในยามฝัน

และเมืองหลักของเจ็ดเนตรโลหิตก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากจากทั่วทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ไม่ใช่แค่ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองเท่านั้น แต่ในการแผ่ปกคลุมของค่ายกลเจ็ดเนตรโลหิต และการสกัดกั้นไอพลังประหลาดในระดับสูงสุด ทำให้อายุขัยของมนุษย์มากกว่าโลกภายนอกมหาศาล

ดังนั้นการที่สามารถเข้าไปในเมืองเจ็ดเนตรโลหิตได้จึงเป็นความฝันของผู้คนมากมาย

คนจำนวนนับไม่ถ้วนเฝ้าใฝ่ฝันอยากจะมาเยือน คนจำนวนนับไม่ถ้วนเมื่อมาถึงแล้วก็ไม่อยากจากไป เหมือนว่าอยู่ที่นี่พวกเขาสามารถไล่ตามความฝันได้ เพียงแต่…กฎเกณฑ์ของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตโหดร้ายเข้มงวดมาก

คล้ายแส้ไร้รูปร่างเฆี่ยนมาที่ร่างของผู้มาเยือนทุกคน

ชื่อของแส้เส้นนี้คือ…การคัดสรรทางธรรมชาติ

ตอนนี้ ค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่มโหฬารสามค่ายกลในท่าเรือเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต เขตใจกลางเมือง กำลังส่องแสงกะพริบไม่หยุด

มันวางเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยม ผู้มาเยือนหลั่งไหลไม่ขาดสาย

ในค่ายกลส่งข้ามที่สาม เงาร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นตามแสงที่ส่องกะพริบ

ท่อนบนของเด็กหนุ่มสวมเสื้อขนสัตว์สีเข้ม สวมกางเกงใหญ่โคร่ง ขากางเกงรัดเอาไว้ด้วยเชือกฟาง เต็มไปด้วยรอยเลือดที่แห้งกรัง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าก็สกปรกมอมแมม

แต่ดวงตากลับเป็นประกายราวกับดวงดาวน่าประหลาด

เพิ่งจะปรากฏตัวมาเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโหวกเหวกและเสียงคลื่น ยิ่งไปกว่านั้นมีลมร้อนชื้นพัดผ่านร่าง ทำให้เขารู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปหมด

ทุกอย่างนี้กลายเป็นความรู้สึกแปลกใหม่มากมายผุดขึ้นในใจของเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มก็คือสวี่ชิงที่ถูกส่งข้ามมาจากเมืองเขากวางนั่นเอง

“ถึงแล้วหรือ…”

หลังจากที่สวี่ชิงถูกส่งข้ามมาถึงที่นี่ ก็รู้สึกปวดศีรษะตุบๆ นิดๆ ตอนนี้จึงนวดหว่างคิ้ว ไม่ยืนชักช้าบนค่ายกล ตอนที่สาวเท้ายาวๆ เดินออกมาเขาก็เงยหน้ากวาดตามองไปรอบๆ

ทุกอย่างที่นี่เป็นระบบระเบียบ

องครักษ์สวมเกราะสีดำจำนวนมากเดินลาดตระเวน นอกค่ายกลส่งข้ามทุกแห่งล้วนมีแถวยาวราวมังกร ในแถวผู้คนแตกต่างหลากหลาย มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง เสียงเอะอะโหวกเหวก ห่อสัมภาระเล็กใหญ่ ในขณะเดียวกับที่ผู้คนเบียดเสียดมากมาย ก็มีคาราวานรถอยู่ในนี้ด้วย

พวกเขาล้วนเป็นคนที่ถูกส่งข้ามมา ใบหน้าของทุกคนล้วนแฝงไว้ด้วยความปรารถนาต่อเมืองนี้ อีกทั้งยังเห็นได้ชัดอีกด้วยว่าค่าส่งข้ามไม่ใช่น้อยๆ เลย ดังนั้นความวาดหวังในสีหน้าของพวกเขาจึงยิ่งมากขึ้นไปอีก

กวาดตามองรอบหนึ่งแล้ว สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา มองไปยังโลกภายนอกตามกลุ่มคนที่เดินออกไป

ค่ายกลส่งข้ามของที่นี่ไม่เหมือนกับที่เมืองเขากวาง เวลาออกไปต้องตรวจสอบก่อน ในแถวตรวจสอบ สวี่ชิงเงยหน้ามองสภาพแวดล้อมรอบๆ จากที่นี่สามารถมองเห็นทะเลกว้างใหญ่ดำสนิทที่อยู่ห่างไกลออกไป

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขา เจ็ดยอดเขานี้สว่างยิ่งนักใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น โดยเฉพาะรูปสลักดวงตาเจ็ดดวงบนนั้น ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาเหมือนเชื่อมกับฟ้าดิน ทำให้พื้นที่บนท้องฟ้าเจ็ดยอดเขาเกิดเป็นคลื่นวนขนาดมหึมา

ในคลื่นวนชั้นเมฆโอบล้อม เหมือนมีสัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์อะไรแฝงตัวอยู่รางๆ ในขณะที่เคลื่อนตัวก็มีของวิเศษล้ำค่าปรากฏขึ้น แผ่ความศักดิ์สิทธิ์สยบทั่วทุกที่

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน

จนเมื่อคนข้างหน้าเขาตรวจสอบเสร็จ หยิบเอาแผ่นหยกที่แจกให้จากไปก็มาถึงตาเขา สวี่ชิงถึงสูดลมหายใจลึก ดึงสายตากลับมา

“แสดงหนังสืออนุญาตเดินทางและตอบมาว่ามาที่นี่เพื่ออะไร” ข้างหน้าสวี่ชิงมีโต๊ะตัวหนึ่ง ข้างหลังโต๊ะมีคนสองคนนั่งอยู่ เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง

ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลางดงามนัก สวมเสื้อคลุมยาวสีเทา ตอนนี้กำลังหลับตาอยู่ เหมือนกำลังพัก แต่ระลอกคลื่นพลังบนร่างแข็งแกร่งมาก

ผู้หญิงสวมชุดนักพรตสีเทาเหมือนสีเสื้อของชายคนนั้น อายุไม่มากประมาณสิบแปดสิบเก้า ใบหน้าน้อยๆ งดงาม ผิวขาวนวลเนียน

ดวงตาเป็นประกายราวดวงดาว ทำให้คนจมอยู่ในนั้นถอนตัวไม่ขึ้นได้ง่ายๆ

คนที่พูดกับสวี่ชิงก็คือผู้หญิงคนนั้น

นางเงยหน้า กวาดตามองสวี่ชิงอย่างไม่ใส่ใจ ไม่สนใจคราบไคลบนร่างและใบหน้าของเขา

เห็นได้ชัดว่านางเห็นคนเก็บกวาดอย่างสวี่ชิงเช่นนี้มามากมาย ในขณะที่พูดตอนนี้นางก็หยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งขึ้นมา เหมือนกำลังรอคำตอบและจะจดบันทึก

สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังวิญญาณของอีกฝ่าย ระลอกคลื่นนี้ไม่แข็งแกร่ง แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ความรู้สึกอันตรายที่นำมาให้กลับชัดเจนเหลือเกิน

เขาประเมินอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าหากสู้ตัดสินเป็นตายกันขึ้นมาจริงๆ ตัวเองมีความมั่นใจสังหารอีกฝ่ายได้ ดังนั้นจึงหยิบป้ายแนะนำแผ่นนั้นออกมาจากถุงหนังแล้วยื่นไปให้

“หืม” ดวงตาของหญิงสาวฉายความประหลาดใจออกมา หยิบป้ายแนะนำมาตรวจสอบเล็กน้อย ตอนที่ยื่นกลับไปให้สวี่ชิงสีหน้าก็ไม่เย็นชาอีกต่อไป ซ้ำยังมองเขาอย่างลึกล้ำอีกด้วย

“ที่แท้เป็นศิษย์น้องที่จะมาฝากตัวเข้าสำนัก ขอให้เจ้าอยู่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต…อย่างมีความสุข”

คำพูดของอีกฝ่ายค่อนข้างแปลก หลังจากที่สวี่ชิงตั้งข้อสังเกตก็รับป้ายแนะนำมา มองแผ่นหยกในมือของอีกฝ่าย

“เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบบรรณาการแผ่นหยกเหมือนคนทั่วๆ ไป ถือป้ายแนะนำไว้ก็ได้แล้ว นี่คือสิทธิ์ของฐานะเจ้า นอกจากนี้ข้าขอแนะนำเจ้าสักหน่อย ต้องรีบทำการทดสอบเข้าสำนักให้ได้เร็วที่สุด รีบทำความคุ้นเคยกับชีวิตในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต…”

หญิงสาวพูดจบก็ไม่สนใจสวี่ชิงอีก

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร หลังจากไปจากจุดตรวจสอบแล้ว ก็สังเกตเห็นคนที่เข้าแถวอยู่ข้างหลังพวกนั้น ตอนนี้ในแววตาที่มองมาที่เขาล้วนแฝงด้วยความอิจฉาเล็กๆ

นี่ทำให้สวี่ชิงก้มหน้า มองป้ายแนะนำในมืออย่างล้ำลึก

จวบจนเขาจากไปไกล ชายที่หลับตาอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมา แล้วหัวเราะ

“จู่ๆ ก็มีใจเมตตาอวยพรเด็กใหม่เสียอย่างนั้น ซ้ำยังแนะนำด้วยอย่างนั้นหรือ”

“ป้ายที่เขาถือคือป้ายแนะนำของยอดเขาที่เจ็ดของเรา แม้จะเป็นสีขาว แต่ในอนาคตก็ไม่มีใครคาดเดาได้ คำอวยพรกับคำแนะนำไม่สิ้นเปลืองแต้มอุทิศของข้า หากวันใดคนคนนี้ผงาดขึ้นมา อย่างน้อยๆ ข้าก็นับว่าผูกมิตรเอาไว้”

หญิงสาวพูดเสียงเรียบเฉย พลางเรียกให้คนต่อไปมาตรวจสอบ

“จะไปมีอนาคตมากมายอะไร คนคนนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนเก็บกวาด ถือป้ายแนะนำสีขาวก็คงไม่มีวาสนาอะไรเท่าไร จะผ่านการทดสอบเข้าสำนักได้ฐานะลูกศิษย์หรือเปล่ายังต้องว่ากันอีกเรื่อง ต่อให้ได้ ภาษีที่ต้องจ่ายทุกวันวันละสามสิบเหรียญวิญญาณและทรัพยากรฝึกบำเพ็ญที่แพงลิบ ข้าพนันว่าเขาอยู่ได้ไม่ถึงสองเดือน ไม่ถูกขับไล่ก็บึ้มขึ้นมาทีนึง ซี้แหงแก๋”

ผู้ชายยกมือขึ้นมากำหมัดแล้วชกไปอย่างรวดเร็วทำท่าทำทาง

คำพูดของพวกเขาเบามาก สวี่ชิงที่จากไปไกลแล้วจึงไม่ได้ยิน

เขาในตอนนี้ออกไปจากเขตส่งข้าม เดินเข้าไปในเมืองแล้ว

ในใจของสวี่ชิงค่อยๆ เกิดระลอกคลื่นขึ้นมาตามการก้าวเดินเข้าไป

สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขาคือความเจริญรุ่งเรืองและความเจริญที่ไม่เคยมีมาก่อน

ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น สิ่งก่อสร้างทุกอย่างที่นี่เหมือนกับจวนเจ้าเมืองในเมืองที่เขาเคยอยู่ งดงามอลังการยิ่งนัก

ส่วนอิฐกระเบื้องสีเทาและต้นไม้สีเขียวที่เห็นได้ทุกที่ก็ทำให้ที่นี่สะอาดเป็นระเบียบอย่างน่าประหลาด

คนในเมืองยิ่งมีมากมาย หลั่งไหลสัญจรไม่ขาดสาย เสื้อผ้าของทุกคนล้วนสะอาดสะอ้าน ส่วนมากเป็นผ้าไหม น้อยนักที่จะเป็นผ้าป่าน เพียงแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา อีกทั้งยังทำอะไรรีบเร่ง

ตอนนี้ดวงอาทิตย์ตกใกล้พลบค่ำแล้ว มองเห็นบ้านเรือนสองฝั่งถนนล้วนจุดตะเกียงสว่าง ความสว่างของแสงที่สาดส่องลงบนพื้นไม่แตกต่างอะไรกับตอนกลางวันเลย เพียงแต่บ้านเรือนทุกหลังล้วนเงียบสงบ ไม่มีเสียงอะไรดังลอดออกมาเลย

ในแม่น้ำเล็กๆ สายหนึ่งที่อยู่ไกลๆ มีเรือลำเล็กลำหนึ่ง บนนั้นมีหญิงสาวสวมชุดนักพรต ปิดหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าโปร่งบาง กำลังโปรยลูกกลอนลงไปในแม่น้ำ ทำให้ปลามากมายนับไม่ถ้วนในแม่น้ำต่างพากันมาวนล้อม ประเดี๋ยวๆ ก็กระโดดขึ้นมาเกิดเป็นระลอกคลื่นวงน้ำเป็นระลอกๆ ท่ามกลางแสงโพล้เพล้

บนฝั่งมีชายหนุ่มจำนวนไม่น้อย แต่ละคนกระโดดลงมาในแม่น้ำแย่งชิงลูกกลอนกับปลา แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกแปลกใหม่ ระแวดระวังตัวขึ้นมาด้วยในขณะเดียวกัน

เขารู้สึกว่าเมืองนี้ไม่เหมือนกับฐานที่มั่นคนเก็บกวาด และไม่เหมือนกับถ้ำยาจกในเมืองเล็กที่เคยอาศัยในตอนนั้นด้วยเช่นกัน

แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน…

บนถนนของเมืองแห่งนี้สวี่ชิงมักจะได้กลิ่นที่คุ้นเคยดีจางๆ

กลิ่นนี้เบาบางมาก หากไม่ใช่ว่าสวี่ชิงคุ้นชินกับถ้ำยาจกและฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงยากจะได้กลิ่นอย่างเฉียบคมเช่นนี้

นั่นคือกลิ่นคาวเลือด เหมือนกับที่ถ้ำยาจกและฐานที่มั่นคนเก็บกวาด

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ปรายตามมองเมืองแห่งนี้อย่างล้ำลึก ความระมัดระวังในใจยิ่งมากขึ้น

เขาเดินไปบนถนนขณะที่เอ่ยพึมพำ ถนนที่เดินอยู่ไม่ใช่กลางถนน แต่เป็นขอบถนนที่มืดมิด นี่คือความเคยชินของสวี่ชิง

ตอนนี้เขาเตรียมหาโรงเตี๊ยมสักแห่งพักผ่อน กลิ่นคาวเลือดของที่นี่ทำให้เขาไม่อยากอยู่บนถนนนัก

ส่วนที่มาของกลิ่นเลือด สวี่ชิงไม่คิดจะไปสอดรู้ เขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องทำในตอนนี้คือรีบทำการทดสอบเข้าสำนักให้เร็วที่สุด ฝากตัวเป็นศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ใช้เรื่องนี้คลี่คลายการไล่สังหารจากสำนักวัชระ

ตอนนี้เป็นเวลาย่ำค่ำ แสงอาทิตย์เริ่มค่อยๆ อับแสง สวี่ชิงที่ยังหาสถานที่ที่เหมาะสมไม่ได้ก็มองไปรอบๆ ดวงตาค่อยๆ ฉายแววดุดันขึ้น

ทั้งเมืองเปลี่ยนมาเงียบสงัดในความมืดเช่นนี้ กลุ่มคนบนถนนก็รีบเร่งฝีเท้าไปตามท้องฟ้าที่มืดลง

แม้บ้านเรือนต่างๆ จะยังมีแสงไฟ แต่ทุกหลังล้วนปิดประตูสนิท ข้างในเงียบสงัด

บ้านเรือนเป็นเช่นนี้ ร้านค้าก็เป็นเช่นเดียวกัน มีเพียงบางร้านจำนวนไม่มากเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ แต่ข้างในก็ไม่มีแขก

ยามแสงสว่างกลุ่มสุดท้ายลาลับ ทั้งถนนก็ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว

ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงหรี่ตา เดินไปในความมืดอย่างเร็วรี่สามสี่ก้าว สายตาก็กวาดไปรอบๆ มองหาโรงเตี๊ยม

เวลาไหลไป หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป ในที่สุดสวี่ชิงก็เห็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ยังเปิดอยู่ลิบๆ กำลังจะเดินไป แต่ตอนนี้เขาก็พลันมองไปที่ไกล

บนถนนกว้างขวางมืดมิดมีเงาหนึ่งกำลังหนีอย่างรวดเร็วไกลๆ ข้างหลังเงานั้นมีผู้ชายตัวใหญ่กำยำเจ็ดแปดคนยิ้มเหี้ยมเกรียมไล่ตาม

“คิดหนีหรือ ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปที่ใดได้!

“ไม่เจอคนใจกล้าแบบนี้มานานมากแล้ว กล้าชิงลงมือกับมนุษย์แต้มอุทิศที่พวกเราหมายตาเอาไว้!”

ดวงตาเย็นเยียบของสวี่ชิงกวาดไป คนที่หนีอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บ ฝีเท้าโซเซ ผมสยายกระเซิง พอจะเห็นได้ว่าใบหน้างดงามแฝงด้วยความดุดันลางๆ

สวี่ชิงถอนสายตากลับมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ดังนั้นจึงไม่สนใจ เดินไปทางโรงเตี๊ยมที่เปิดอยู่

ในขณะเดียวกันนี้ ผู้หญิงที่หนีอยู่ไกลๆ ก็มองเห็นสวี่ชิงเช่นกัน ดวงตาของนางส่องประกายเล็กน้อย แล้วพลันตะโกนขึ้นมา

“ได้แต้มอุทิศมาแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังรอรับอยู่ที่นี่อีก รีบหนีสิ”

ประกายเย็นเยียบปรากฏในดวงตาสวี่ชิง มองไปทางผู้หญิงที่พูดจาไร้ชั้นเชิงได้ถึงเพียงนั้นคนนี้

ถูกสายตาเช่นนี้ของสวี่ชิงกวาดมองมา ผู้หญิงคนนี้ตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ รู้สึกเหมือนทั้งตัวตกอยู่ในความหนาวเหน็บ ดวงตาหดเล็ก ในใจสั่นสะท้านบ้าคลั่ง แผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็น ความรู้สึกอันตรายรุนแรงกระทั่งว่ามากกว่าการถูกไล่สังหารจากพวกคนที่อยู่ข้างหลังเสียอีก

นางลอบร่ำร้องในใจ แต่ก็ไม่อาจเก็บคำที่พูดออกไปแล้วกลับมาได้ ทำได้เพียงกัดฟันเปลี่ยนทิศทางหนี

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท