น่าเสียดายที่แม้แต่เรื่องที่ผู้ใดเป็นคนส่งฟ้าผ่าลงมากลางอากาศ พวกเขาก็ยังไม่รู้
ในดินแดนจิ่วโจว มีแต่เพียงยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรได้อย่างยอดเยี่ยมบรรลุขั้นกลายเป็นเซียน จึงจะดึงดูดให้เกิดฟ้าผ่า
แต่ก็ไม่มีใครจำได้แล้วว่านานเท่าไหร่แล้วที่ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีเซียนท่านใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา
อ้อ ครั้งล่าสุดนั่น ก็คือตอนที่ บรรพชนของซ่งชิงอีแห่งวังตันติ่งกงบรรลุเป็นเซียนกระมัง จึงได้ดึงดูดให้เกิดฟ้าผ่า
แต่ว่าฟ้าที่ผ่าลงมาในคราวนั้น ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับฟ้าผ่าที่ผ่าลงมาในเมืองว่านฮวาเชิงได้เลย
พลังทำลายล้างและคลื่นความรุนแรงแตกต่างกันอย่างลิบลับ
ผู้คนต่างตกอยู่ในความประหวั่นใจ พรั่นพรึง
ราวกับว่าผ่านไปเพียงแค่ค่ำคืนเดียว ดินแดนจิ่วโจวทั้งหมดก็ตกอยู่ในเมฆหมอกชั้นหนึ่ง
ลองคิดดูสิ ขนาดเมืองอย่างว่านฮวาเฉิง ที่เดิมมีเขตอาคมอันแข็งแกร่งปกป้องรักษา ไม่มีทางที่จะถูกทำลายได้ง่ายๆ
แต่ว่าฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างไร้หนทางป้องกัน ทำให้ผู้คนทั้งหลายตกอยู่ในความวิตกกังวล ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าจะเกิดฟ้าผ่าลงมาเช่นนี้อีกหรือไม่ ในดินแดนจิ่วโจวจะยังมีเมืองใดที่สามารถทนรับฟ้าผ่าที่รุนแรงเช่นนี้ได้กัน?
แถมในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ทั้งท่านเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักตันติ่งกงต่างก็หายสาปสูญจนไร้ร่อยรอยให้ติดตาม
ผู้คนล้วนใจหาย…..
ต่างก็เริ่มคาดเดาเหตุการณ์กันไปต่างๆนานา
บางก็ว่าทั้งสองคนฉากหน้าเป็นมิตรต่อกันแต่ในใจมีความขัดแย้ง จึงต่อสู้กันบนเกาะลอยฟ้า จนตกตายกันหมดสิ้น
แต่ก็ไม่มีศพให้เห็น แม้แต่ซากขี้เถ้าก็ยังไม่มี
บางก็ว่ามีขุมกำลังที่แข็งแกร่งและมีพลังอันยิ่งใหญ่บุกเข้ามาในดินแดนจิ่วโจว …..ท่านเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างก็ถูกขุมกำลังนี้สำเร็จโทษไปแล้ว
คนจำนวนมากพากันเชื่อถือในเรื่องนี้
ดังนั้นในใจของพวกเขาจึงยิ่งเกิดความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
แม้แต่สำนักหยินหยางและตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังถูกกำจัดได้ เช่นนั้นขุมกำลังนี้จะต้องแข็งแกร่งจนถึงเพียงไหน?
โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวลือจากที่ใดก็ไม่รู้บอกว่า ขุมกำลังนั้น ก็คือบรรพชนที่อยู่เบื้องหลังของวังตันติ่งกง
แดนเซียน!
บรรพชนของซ่งชิงอีมีคนที่ฝึกฝนสำเร็จจนกลายเป็นเซียนวิเศษ เรื่องนี้มิใช่ความลับอันใดในแดนจิ่วโจว!
พอลองคิดดูให้ดีๆ เจ้าสำนักหยินหยางทำลายล้างวังตันติ่งกงจนราบคาบ ซ่งชิงอีก็ตายอย่างน่าอนาถ บรรพชนของนางจะยอมปล่อยปละเขาไปได้หรือ?
ยังมี หลานสาวของเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็ยังเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักหยินหยาง สองฝ่ายที่เดิมทีเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่กลับหลอมเข้ากันได้เพราะฮ่องเต้หญิงตัวน้อยผู้นั้น
เห็นได้ชัดว่าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนจะต้องถูกลูกหลงไปด้วยอย่างแน่นนอน
ยิ่งไปกว่านั้น สายฟ้าที่ผ่ากระหน่ำลงมาทั่วท้องฟ้าแฝงเอาไว้ด้วยพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเกินใครจะเทียบ มันไม่ใช้พลังในดินแดนจิ่วโจว
ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญด้วยเหตุผลกลับไปกลับมาแล้ว ไม่นานทุกคนต่างก็พากันเชื่ออย่าง
สนิทใจ
ทุกวันนี้ผู้คนในในดินแดนจิ่วโจวต่างก็ใช้ชีวิตอย่างผู้เข้มแข็งกลืนกินผู้อ่อนแออยู่แล้ว หากพลาดพลั้งไม่ทันระวังเมื่อไหร่มีหวังต้องกลายเป็นสิ่งของร่วมกลบฝังไปกับซ่งชิงอี
……………..
หุบเขาหมื่นปีศาจ ยามที่ตู๋กูซิงหลันเดินทางมาถึงความมืดก็คล้อยไปทางตะวันตกหมดแล้ว
ตะวันใหม่กลมดั่งผลส้ม แดงจนบาดตา
ท้องฟ้าวันนี้อากาศแจ่มใส สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขาเขียวที่มีหิมะปกคลุมยอดได้แต่ไกล
เพียงแค่ยืนอยู่ที่เชิงเขาของหุบเขาหมื่นปีศาจ ก็รู้สึกได้ถึงไอปีศาจที่แข็งแกร่งแล้ว
หุบเขาหมื่นปีศาจสูงตระหง่านเสียดยอดเมฆา ทิวเขาทอดตัวยาวเหยียด ทั้งงดงามและตระการตา
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองว่านฮวาเฉิงนับพันลี้ ยังดีที่ก้น**บของฟ่านอิงมีของวิเศษ ที่สามารถส่งคนเดินทางด้วยความรวดเร็วได้ พวกเขาจึงสามารถมาถึงหุบเขาปีศาจได้ในช่วงเวลาอันสั้น
เพียงแต่ว่าหุบเขาปีศาจมีเขตอาคม ไม่อาจล่วงล้ำได้ง่ายๆ ดึงนั้นจึงส่งมาถึงแค่เชิงเขาเท่านั้น
สีหน้าของท่านเจ้าสำนักไม่ค่อยดี เขายืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน มองดูหุบเขาหมื่นปีศาจ
ทั่วทั้งหุบเขามีแต่กลิ่นของปีศาจจิ้งจอกที่เขาไม่ชอบเท่าไหร่
แต่เพราะว่าพี่ชายของศิษย์น้อยอยู่ที่นี่ จึงได้แต่ต้องจำใจเข้าไป
ตู๋กูซิงหลันหยุดอยู่ที่เชิงเขาครู่หนึ่ง ก็เอ่ยว่า “ขึ้นไปกันเถอะ”
ตอนนี้นางกำลังเป็นห่วงร่างกายของพี่รอง ถึงแม้ว่าเขาจะมีสายเลือดของเผ่ามังกรทมิฬอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ว่าพิษนั่นก็มาจากแดนสวรรค์ กลัวว่าเขาจะต้านทานไม่ไหว
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป ก็เห็นว่ามีอะไรกลมๆเหมือนลูกบอลขนฟูๆกระเด้งดุ๋งๆออกมาจากในเขาด้วยความรวดเร็ว
ลูกบอลกลมๆนั่นยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้พวกนาง พวกมันก็เปลี่ยนร่างกายเป็นร่างมนุษย์
จากนั้นฝูงจิ้งจอกน้อยในร่างมนุษย์ที่มีหูยาวและหางเป็นพวงก็พุ่งมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าพวกนาง
ทั้งหมดรั้งอยู่ในเขตอาคมป้องกัน รักษาระยะห่างจากพวกนางช่วงหนึ่ง
แต่ละตัวจับจ้องมองมาด้วยความหวาดระแวงอย่างเต็มที่
นี่เป็นครั้งแรกที่ตู๋กูซิงหลันได้เห็นลูกบอลมีขนกลายร่าง…..ถึงแม้ว่าจะได้เห็นปีศาจมามาก แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพวกมันกลายร่างกับตา
ดูไปแล้วแปลกประหลาดไม่น้อย ดวงตาดอกท้อต้องเบิกกว้างขึ้นมา
ในมือของปีศาจน้อยเหล่านี้ยังมีหอกและอาวุธต่างๆ พอกวาดตามองดูร่างของพวกมันรอบหนึ่ง พวกมันก็พากันพองขนขึ้นมา
“พวกเจ้าเป็นเผ่ามนุษย์?”
ตัวจ่าฝูงเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่ง หลังจากแปลงร่างเป็นมนุษย์ ตลอดร่างก็สวมใส่ชุดฟูๆสีขาวสะอาด หางใหญ่เป็นพวงแกว่งไปมาอยู่ด้านหลัง
ถึงแม้ว่าสีหน้าจะดูสงบนิ่ง แต่ว่าหางขนาดใหญ่ของมันกลับเคลื่อนไหวไปมาไม่มีหยุด
ทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจต่างก็รู้กันดีว่าพวกมนุษย์นั้นมิใช่ตัวดีอะไร
โหดเ**้ยม เห็นแก่ตน กระหายเลือดและบ้าอำนาจ
ที่สำคัญพวกมันกินทุกอย่าง!
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว บนหุบเขาหมื่นปีศาจ บรรดาปีศาจน้อยที่ยังไม่สามารถแปลงร่างได้ มักถูกพวกมนุษย์บุกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จับตัวเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกมันไปไม่น้อย
พวกปีศาจหมีถูกจับไปตัดอุ้งมืออุ้งเท้า กรีดถุงน้ำดีออกมากินทั้งเป็น
พวกจิ้งจอกและตัวมิงค์ก็ถูกจับไปถลกหนังทั้งเป็น ทำเป็นผ้าพันคอผ้าคลุมขนมิงค์ หนังจิ้งจอก
ทุกตนต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตในหกภพภูมิ ต่างก็มีสิทธิจะมีชีวิตอยู่ในโลกเหมือนกัน เผ่ามนุษย์กินเนื้อ บรรพชนของพวกมันรู้จักเลี้ยงดูไก่เป็ดปลาเอาไว้กินมานานนับพันนับหมื่นปีแล้ว แต่พวกมันก็ยังออกล่า ลงมือกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆอย่างโหดร้าย
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ความผิดมากมายเท่าไรที่ต้องตายไปภายใต้ความโลภโมโทสันอันไร้ที่สิ้นสุดของพวกมนุษย์
อย่าได้เห็นว่าตอนนี้พวกปีศาจและพวกมนุษย์จะแยกกันอยู่อย่าสงบ
ที่จริงแล้วยังมีพวกปีศาจจำนวนไม่น้อยถูกพวกมนุษย์จับตัวไป กระทำการชั่วช้า เพื่อรีดเค้นเอาพลังวิญญาณของพวกมัน
บนหุบเขาหมื่นปีศาจ ปีศาจทั้งหลายต่างก็เกลียดชังพวกมนุษย์
อ้อ นอกเสียจากองค์ชายน้อย ที่พึ่งจะกลับมา หลังจากไปเกิดในครรภ์มนุษย์มาครั้งหนึ่ง
ในสายตาของประชากรเผ่าปีศาจทั้งหลาย องค์ชายน้อยคือตัวประหลาด
ดังนั้นทันทีที่พวกมันได้เห็นกลุ่มของตู๋กูซิงหลัน ทั้งยังเห็นว่าพวกนางมีไอหยินเข้มข้น ในใจของพวกมันก็เกิดความคิดต่อต้านอย่างรุนแรงขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะบุรุษสองคนนั้น ทั่วทั้งร่างมีแต่หมอกสีดำปกคลุม ทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
แค่ดูก็รู้ว่ามิใช่ตัวดีอะไร!
ดังนั้นไม่อาจปล่อยให้พวกมันก้าวเท้าเข้ามาในหุบเขาหมื่นปีศาจได้แม้แต่ก้าวเดียว!
ตู๋กูซิงหลันมองดูจิ้งจอกน้อยที่เป็นหัวหน้าตัวนั้น ก็รู้สึกว่ามันดูน่ารักมาก นางคิดจะลูบไล้มันดู จนอดที่จะขยับเข้าไปหาไม่ได้
แต่พอเห็นสายตาของนาง อีกฝ่ายถึงกับทำตัวแข็งทื่อแทบจะพองขนขึ้นมาทั้งตัวแล้ว
ดังนั้น ตู๋กูซิงหลันจึงได้แต่เก็บสายตากลับไป
“ข้ามาตามหาซูเยา”
นางพูดต่อไป “เมื่อวันก่อน เขาน่าจะนำตัวบุรุษรูปงามผู้หนึ่งกลับมา”
“เผ่ามนุษย์มีอะไรงดงามกัน ล้วนเป็นตัวอัปลักษณ์!” ปีศาจจิ้งจอกน้อยแยกเขี้ยวยิงฟันเชิงข่มขู่
ท่านเจ้าสำนักเห็นแล้วชักจะไม่พอใจ ดวงตาหงส์ของเขาจับจ้องไปยังเจ้าจิ้งจอกน้อย “เจ้าว่าใครไม่งดงาม?”
จิ้งจอกน้อย “……”
อยู่ๆมันก็รู้สึกเหมือนถูกบุรุษผู้นั้นข่มขู่ขึ้นมาจนเหงื่อเย็นๆหลั่งทั่วตัว
…………………………