ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 56 สมาชิกใหม่ของกรมปราบพิฆาต

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 56 สมาชิกใหม่ของกรมปราบพิฆาต

กระดูกสัตว์ชิ้นนี้รูปร่างเหมือนตะขอ ขนาดประมาณฝ่ามือ สีแดงทั้งชิ้น เปล่งประกายประหลาดออกมา

พอมองอย่างละเอียด จะเห็นถึงลวดลายธรรมชาติบางส่วนอยู่ที่ผิวนอก

ลวดลายเหล่านี้แฝงพลังบางส่วนเอาไว้ ดูดรับพลังวิญญาณจากทุกทิศทางด้วยตนเองได้ จนก่อเกิดสายลมเป็นวูบๆ หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของจางซาน

“กระดูกปลาบินหรือ ของสิ่งนี้ถ้าใช้กับค่ายกล จะเสริมแรงให้กับความเร็วของเรือเวทได้ไม่เลวเลย จางซาน ทำไมวันนี้เจ้าถึงใจกว้างเสียเหลือเกิน” นายกองที่หกกินสาลี่ในมือ ย่อตัวลงไปข้างๆ จางซาน ใช้ไหล่สะกิดจางซาน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องสวี่ชิงพึ่งเข้ามา ข้ายังไงก็ต้องแสดงน้ำใจบ้างสิ” จางซานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบง่าย

สวี่ชิงไม่ได้รับของขวัญชิ้นนี้ แต่มองไปทางนายกอง ขอความเห็นจากอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าที่จางซานทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะตนเอง แต่น่าจะเป็นเพราะนายกองมากกว่า

เห็นสายตาของสวี่ชิง นายกองก็คลี่ยิ้ม

“รับไว้เถอะ ที่เขาให้สิ่งนี้กับเจ้าก็เพื่อบอกว่าหลังจากนี้ถ้าไม่มีเรื่องก็อย่ามาจับคนร้ายแถวนี้บ่อยนัก”

สวี่ชิงพอได้ยินก็มองจางซานผาดหนึ่ง จางซานก็ยิ้มกลับอย่างจริงใจ

สวี่ชิงพยักหน้า รับกระดูกปลามาพิจารณาอย่างสนอกสนใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บเข้าไปในถุงเก็บของ

หลังจากครุ่นคิด เขาก็เลียนแบบนายกอง ย่อตัวลงนั่งข้างๆ แต่ยังรักษาระยะไว้ส่วนหนึ่ง

เมื่อเห็นสวี่ชิงทำเช่นนี้ รอยยิ้มจางซานก็ยิ่งจริงใจมากขึ้นอีก

“จางซาน ช่วงนี้ที่นี่มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่” นายกองกินสาลี่ในมือจนหมด จากนั้นก็หยิบท้อออกมาอีกผล กัดลงไป

สวี่ชิงสนใจทันที มองไปทางจางซาน

จางซานล้วงยาสูบมวนหนึ่งออกมา หลังจากสูดไปคำหนึ่ง ก็เคาะเบาๆ พอเขม่าร่วงลงบนพื้นก็กลายเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่ง รวมไปถึงตัวหนังสืออีกแถว

“ช่วงนี้มีหน้าใหม่เข้ามาทางท่าเรือทางใต้เยอะมาก”

นายกองที่หกทำหน้าเหมือนครุ่นคิด ตบๆ ลงบนบ่าจางซาน ยิ้มให้กับสวี่ชิง

“ศิษย์น้อง เจ้าไปก่อนเถอะ วันนี้เลิกเวรแล้ว จำไว้ว่าพรุ่งนี้อย่ามาสาย”

สวี่ชิงพอได้ยิน รู้ว่าทั้งสองคนมีเรื่องคุยกัน จึงพยักหน้า ประสานมือไปทางนายกองกับจางซาน จากนั้นหันหลังเดินออกมา

ตอนนี้เป็นช่วงเย็น แสงตะวันสีส้มสาดลงมาบนตัวเขา ส่องจนชุดนักพรตสีเทาทั้งตัวเกิดสีเจิดจ้า ทั้งสองคนที่นั่งยองอยู่ด้านหลังเขา ล้วนเงยหน้าสายตาจับจ้องตามหลังไป

จนกระทั่งสวี่ชิงเดินห่างออกไประยะหนึ่ง นายกองจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“สมาชิกใหม่คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เจ้าดูใจกว้าง หาได้ยากเสียจริง”

“สมาชิกใหม่หรือ เจ้าไปหาเด็กนี้มาจากที่ใด ปฏิกิริยาแรกที่เจ้าเด็กนี่มองข้าก็คือมองมาที่คอ คนเช่นนี้ข้าจะไม่ใจกว้างด้วยได้อย่างไรกัน!”

นายกองพอฟังถึงจุดนี้ ก็หัวเราะร่าขึ้นมา

“เจ้ายังหัวเราะอีกหรือ ความเคยชินแบบใดกันที่จะบ่มเพาะสัญชาตญาณจ้องมองคออื่นเขา”

จางซานยิ้มขืน ลูบคอตนเอง จนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกสยองพองเกล้าอยู่เลย สูบยาสูบหนักๆ ไปทีหนึ่ง

“แน่นอนว่าคงเป็นคนที่เชือดคอคนมาจนชินแล้วนั่นล่ะ” นายกองที่หกยิ้มอย่างเบิกบาน เมื่อกินลูกท้อในมือหมด ก็ล้วงเอาลูกท้ออีกผลออกมากัดคำใหญ่

“เด็กคนนี้ หน้าตาก็งดงาม แต่ปราณสังหารบนเข้มข้นเหลือเกิน แม้เขาจะปิดบังไว้สุดกำลัง แต่ข้าก็ยังสัมผัสได้ โดยเฉพาะสายตาของเขา” จางซานสีหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าสังเกตเห็นหรือยัง นั่นเป็นดวงตาที่มีนิสัยหากเป็นหนี้ต้องชดใช้ ราวกับว่าเรื่องการสังหารคน ขอแค่สอดคล้องกับหลักการตนเอง ก็ไม่มีอะไรที่สังหารไม่ได้…

“คนเช่นนี้ ถ้าเจ้าใช้เป็นก็จะดี แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็ต้องระวังถูกแว้งกัดด้วย ข้าสัมผัสได้รางๆ ว่ามีคนที่ตายด้วยมือเขาไปไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้รู้สึกอันตรายสุดๆ อีก

“ถ้าหากข้าเจอบนทะเล ข้าไม่มีทางไปยั่วโมโหแน่ ข้ายังไม่อยากตาย” จางซานมองนายกองที่หกอย่างตั้งใจ

“เป็นศิษย์น้องที่น่าสนใจ” นายกองที่หกมองทิศทางที่สวี่ชิงเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนว่าจางซานยิ่งพูดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเบิกบานใจ

จางซานด้านข้างถอนหายใจอย่างจำใจออกมา เมื่อแอบมองเจ้าหมอนี่ก็ดูไม่ปกติเหมือนกัน พฤติกรรมก็แปลกประหลาดเหลือเกิน

ตอนที่นายกองกับจางซานเอ่ยถึงสวี่ชิง เขาก็เดินมาถึงถนนของท่าเรือแล้ว เวลานี้สีท้องฟ้าใกล้จะโพล้เพล้ คนบนถนนก็ค่อยๆ บางตา ร้านขายยาส่วนใหญ่ก็ล้วนปิดแล้ว สวี่ชิงจึงกลับไปยังท่าจอดเรือของตนเอง

หลังจากกลับมา เขาไม่ได้ล้วงเรือเวทออกมาทันที แต่ตรวจสอบที่นี่อย่างละเอียดเสียรอบหนึ่ง

เมื่อวานมีคนเข้ามาที่นี่ด้วยจิตสังหาร ดังนั้นวันนี้สวี่ชิงกลับมาก็ตรวจสอบอย่างละเอียด กระทั่งยังสาดผงพิษบางส่วนลงไปในทะเลด้วย พอยืนยันว่าไร้เหตุผิดปกติ จึงล้วงเรือเวทออกมา เหยียบขึ้นไปบนเรือ

พริบตาที่เกราะป้องกันเรือเวทปรากฏขึ้น สวี่ชิ่งที่เดินเข้าไปในเรือ ในใจลึกๆ ก็วางใจขึ้นเล็กน้อย

หลังจากนั่งขัดสมาธิ เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญทันที แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องทั้งหมดในวันนี้

สวี่ชิงมองนายกองทางนั้นไม่ออก แต่เขาจดจำคำพูดทั้งหมดที่อีกฝ่ายพูดไว้แล้ว ลางสังหรณ์บอกกับตนเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง

ส่วนจางซาน สวี่ชิงสังเกตว่าอีกฝ่ายเหมือนจะซ่อนอารมณ์บางอย่างไว้ ราวกับกำลังหวาดกลัวตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แล้วก็ศิษย์ที่แต้มอุทิศเป็นศูนย์ ไม่สามารถออกจากที่นี่ด้วยตนเองได้ จ้องมองท้องฟ้าอย่างสิ้นหวังและสุดท้ายก็ตายจนกลายเป็นฝุ่นคนนั้น

สิ่งที่เห็นในวันนี้ ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ว่าศิษย์ส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่โหดร้ายของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งนี้ได้ล้วนไม่ธรรมดา จะมองเพียงเปลือกนอกเสียทั้งหมดไม่ได้

อย่างนายกองหรือจางซาน ไม่ว่าจะคนใดหากไปอยู่ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดล่ะก็ เกรงว่าคงจะเอาชีวิตคนเหล่านั้นมาวางบนฝ่ามือ ชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนอื่นได้แน่นอน

และทั้งเจ็ดเนตรโลหิต จากที่สวี่ชิงเห็นเวลานี้ ก็ดูคล้ายกับพื้นที่ต้องห้ามอีกแห่งหนึ่งจริงๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องหมั่นฝึกบำเพ็ญ

โดยเฉพาะตอนที่คิดไปถึงชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่เห็นเมื่อตอนกลางวันคนนั้น แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ระดับรวมปราณ แต่ฐานะสูงส่งรวมไปถึงท่าทีที่ผู้คนรอบๆ ก้มหัวให้ ก็ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความห่างชั้นที่คุ้นเคย

ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเห็นความแตกต่างทางชนชั้นมามากมาย และรู้ว่าจะจัดการอย่างไร

นอกจากนั้น ก็ยังเป็นความระแวดระวังโดยพื้นฐาน สวี่ชิงจึงไม่ไปสอบถามนายกองเกี่ยวกับข้อมูลคนที่มอบป้ายแนะนำให้แก่ตนเอง

ถ้าหากอีกฝ่ายจะปรากฏตัว ก็คงปรากฏตัวออกมาเอง ถ้าไม่คิดจะออกมา สวี่ชิงเองก็ไม่อยากจะเฟ้นหาคำตอบเช่นกัน

‘ไม่น่าจะเป็นการช่วยเหลือของปรมาจารย์ไป่’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท สวี่ชิงลืมตาขึ้นในความเงียบงันนี้ แววตาเผยความลังเล

เขาสัมผัสได้ว่าความเร็วในการฝึกบำเพ็ญ ช้าลงกว่าเมื่อวานนี้มาก และเขารู้ถึงสาเหตุด้วย

หากเอาร่างกายมาเทียบเป็นภาชนะใบหนึ่ง ตัวเขาเมื่อวานนี้ ด้านในภาชนะกว่าครึ่งว่างเปล่า ดังนั้นจึงสามารถสูดรับพลังวิญญาณที่มากกว่าได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง แต่ตอนนี้ภาชนะอัดแน่นขึ้นมาไม่น้อย จึงจำใจต้องยกระดับความสามารถการสูดรับ แล้วสูบเอาพลังวิญญาณจากโลกภายนอกเข้ามาในระหว่างการฝึกบำเพ็ญ

‘นอกเสียจากไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงไปสูดรับก็สามารถทำให้พลังวิญญาณหลั่งทะลักเข้ามาได้ แต่เรื่องนี้พลังวิญญาณภายนอกจำเป็นต้องมีความเข้มข้นจึงจะทำได้’ หลังจากครุ่นคิดสวี่ชิงก็ก้มหน้า ทำปางมือ ชี้ไปที่กระดานเรือข้างๆ

จุดที่เขาชี้ มีประกายแสงเจิดจ้า เกิดเป็นเส้นแสงหลายสายลอยออกมา แผ่ซ่านไปทั่วทั้งลำเรือเวท เหมือนเป็นค่ายกล

ตอนนี้ค่ายกลกำลังทำงาน ทำให้แม้พลังวิญญาณโลกภายนอกหลั่งไหลอย่างเชื่องช้า แต่เข้ามาต่อเนื่องอย่างชัดเจน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ฝึกบำเพ็ญในเรือเวทรวดเร็วกว่าภายนอก

เพราะค่ายกลนี้ มีชื่อว่ารวมพลังวิญญาณ

“ต้องยกระดับแหล่งพลังงานเสียหน่อย” สวี่ชิงเหมือนมีความคิด เขารู้ว่าการยกระดับตัวเรือจากแผ่นหยกของเรือเวท นอกจากการสนับสนุนของชิ้นส่วนจากสิ่งมีชีวิต ยังมีอีกจุดสำคัญ

นั่นก็คือแหล่งพลังงาน

เป็นศูนย์กลางของเรือ เป็นเหมือนหัวใจ กำหนดพลังงานของตัวเรือ สามารถยกระดับขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด เป็นส่วนที่เมื่อเปลี่ยนแล้วจะมีราคาแพงที่สุด

ดังนั้นเรือเวทเริ่มต้นของศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด แหล่งพลังงานจึงเป็นแค่ค่ายกลรวมพลังวิญญาณค่ายเดียวเท่านั้น สามารถดูดซับพลังวิญญาณรอบด้านได้อย่างช้าๆ แล้วกักเก็บไว้แทนที่แหล่งพลังงาน

ถ้าหากศิษย์รู้สึกว่าพลังงานไม่เพียงพอ ก็สามารถวางหินวิญญาณลงไปทำให้พลังงานแข็งแกร่งขึ้น ค่ายกลก็จะยิ่งมีพลานุภาพมากขึ้นได้

นอกจากนี้ หัวใจของอสูรกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งบางตัว มักเป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดของแหล่งพลังงาน และยิ่งพลังงานแข็งแกร่ง พลานุภาพของค่ายกลรวมพลังวิญญาณก็จะยิ่งแข็งแกร่งมาก ขณะเดียวกันไม่ว่าจะความเร็วเรือหรือการป้องกัน ก็ล้วนสามารถปลดปล่อยระดับความแข็งแกร่งที่มากที่สุดออกมาได้

มิเช่นนั้น ถ้าระดับของแหล่งพลังงานไม่พอ ต่อให้ด้านนอกจะทำเลที่ตั้งดีเพียงใด ก็ยังยากที่จะแสดงพลังออกมาได้สมบูรณ์

พอคิดถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็กัดฟัน หยิบเอาหินวิญญาณที่เหลืออยู่แค่สิบก้อนออกมาก้อนหนึ่ง วางไว้บนค่ายกล พริบตาต่อมาหินวิญญาณก็สลายไป และเรือเวทของสวี่ชิงก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ระหว่างที่ค่ายกลส่องเส้นแสงเจิดจ้า เรือเวททั้งลำเหมือนกลายเป็นกระแสวน พลังวิญญาณที่เข้มข้นกว่าก่อนหน้า ถูกดูดเข้ามาทั่วสารทิศ

สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญทันที และครั้งนี้ ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญก็รวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

จนกระทั่งตอนฟ้าสาง สวี่ชิงก็ลืมตา ดวงตาแสงม่วงเปล่งประกาย

“คัมภีร์แปรสมุทร ขั้นที่หก!” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สัมผัสถึงทะเลวิญญาณหกสิบจั้งในร่างกายเวลานี้ แม้ดูแล้วเหมือนจะกว้างกว่าก่อนหน้าสิบจั้ง แต่สิบจั้งนี้คืออาณาเขตทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงระดับความลึกที่มากกว่าเดิมอีกด้วย

ดังนั้นจึงลึกขึ้นมากจากด้านปริมาณ ที่สำคัญที่สุดคือประเภทที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็มีมากขึ้น พลานุภาพก็เช่นกัน

“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ใช้เวลาอีกไม่กี่วัน คัมภีร์แปรสมุทรเองก็คงจะไล่ทันระดับของเคล็ดคีรีสมุทรแล้ว” สวี่ชิงพอใจกับความเร็วนี้มาก สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือสิ้นเปลืองเสียเหลือเกิน

ช่วงเวลาคืนเดียว ก็ใช้หินวิญญาณไปจนหมดหนึ่งก้อน

เวลานี้สีท้องฟ้าด้านนอกสว่างแล้ว สวี่ชิงจัดการร่างกายตนเอง เดินออกจากเรือเวทไปยังกองกำลังปราบพิฆาต เริ่มทำงานวันที่สองของเขา

ทำงานในกรมปราบพิฆาต มีทั้งหน้าที่รับผิดชอบ และมีเงินเดือนที่ได้รับอีกด้วย จากข้อมูลหน้าที่รับผิดชอบในป้ายฐานะ ทุกเดือนจะมีค่าตอบแทนสามพันแต้มอุทิศ

ดังนั้นสวี่ชิงจึงตั้งใจอย่างมาก ตอนที่ตะวันขึ้นไม่นาน เขาก็มาถึงกรมปราบพิฆาต เดินตรงไปที่หน่วยนิลกาฬ และพบกับนายกองที่หกรวมถึงสมาชิกในกอง

ทั้งกองที่หก มีสมาชิกยี่สิบกว่าคน มีทั้งชายและหญิง รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป คลื่นพลังบำเพ็ญของแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา พวกเขาเองก็มองสวี่ชิง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเย็นชา ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังกันและกัน

นิสัยเดิมทีของสวี่ชิงก็ไม่ถนัดคบค้าสมาคมอยู่แล้ว จึงนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ รักษาระยะห่างกับคนทั้งหมด เพียงไม่นาน นายกองที่หกก็เดินกินผิงกั่วพลางออกมาจากในห้องอย่างเกียจคร้าน

“ภารกิจในวันนี้ ยังคงให้แต่ละคนออกไปค้นหาพวกนกเขาราตรีต่อ

“ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่าเอาแต่คอยจดจ้องคนในประกาศจับเหล่านั้น แม้รางวัลจะมากโข แต่นกเขาราตรีต่างหากที่เป็นหน้าที่สำคัญในช่วงนี้ของพวกเรา จำเอาไว้หากเจอเบาะแสก็อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น กลับมารายงานในกรมเสียก่อน แล้วทางกรมจะจัดคนอื่นออกไปตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมไปถึงวางแผนทั้งหมดอย่างรอบคอบด้วย”

“ตอนนี้ แยกย้ายไปทำงานได้!”

พอนายกองพูดจบ สมาชิกกองที่หกก็แยกย้าย ครั้งนี้นายกองไม่ได้นำทางสวี่ชิงแล้ว แต่มอบแผ่นหยกบันทึกประกาศจับชิ้นหนึ่งให้แก่เขา ให้เขาออกปฏิบัติการเพียงลำพัง สวี่ชิงไม่ได้คัดค้านกับแผนการเช่นนี้ ดังนั้นจึงออกจากกรมปราบพิฆาตอย่างรวดเร็ว ตรวจสอบแผ่นหยกพลางออกลาดตระเวนในเมืองไปด้วย

เขาไม่รู้ว่าทิศทางการลาดตระเวนคือทางใด ดังนั้นจึงเลียนแบบนายกองเมื่อวาน เดินไปยังพื้นที่ท่าเรือ ตลอดทางยังคงระแวดระวัง และปลดตราของกรมปราบพิฆาตออก ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังปรากฏตัวอยู่ในตำแหน่งมืดๆ และไม่ดึงดูดสายตาคนอื่น

สวี่ชิงมองไปยังฝูงชนที่เร่งรีบบนถนน มองร้านรวงต่างๆ ที่ผู้คนเข้าออกในมุมมืด เขาก็ยิ่งรับรู้ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลักนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

จนเขามองเห็นร้านที่ขายถังหูลู่[1] สวี่ชิงคิดถึงความปรารถนาเมื่อวัยเยาว์ จึงเดินไปซื้อมาไม้หนึ่ง พอตรวจสอบแล้วว่าปกติดี จึงเดินไปพลางกินไปพลางในความมืด

เขาอ่านแผ่นหยกประกาศจับทั้งหมด และเข้าใจสาเหตุแล้วว่าเพราะเหตุใดนายกองจึงกำชับกับสมาชิกกองที่หกว่าอย่าจับจ้องอยู่แต่คนในประกาศจับนัก เงินค่าหัวมากมายมหาศาลจริงๆ น้อยที่สุดรางวัลก็ยังเป็นหินวิญญาณถึงสิบก้อน มากสุดจนไปถึงหลักร้อย

กระทั่งช่วงสาย ขณะที่เข้าใกล้ช่วงกลางวัน สวี่ชิงที่กินช้าๆ และยังคงกินถังหูลู่ไม้นั้นไม่หมด จู่ๆ ก็หยุดเท้า มองตรงไปในกลุ่มคนที่อยู่ห่างออกไป

จุดที่มองไปนั้น ตรงนั้นมีหญิงสาวที่แต่งตัวเรียบง่ายแต่ปิดบังรูปร่างสะโอดสะองไม่มิด กำลังขโมยถุงสองใบขณะที่เดินผ่านกลุ่มคนอย่างช่ำชอง

หญิงสาวที่หน้าตากับรูปร่างไม่เลวคนนี้เหมือนเชื่อมั่นกับความมือเบาของตนเอง หลังจากเดินผ่านกลุ่มคนก็ยังชั่งน้ำหนักถุงหนังคร่าวๆ ในมือ มุมปากยกขึ้น เผยรอยยิ้มลำพอง

เพียงแต่รอยยิ้มนี้หลังจากที่นางมองเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ของสวี่ชิงที่อยุ่ในมุมไม่ห่างไปนัก ก็แข็งทื่อขึ้นเล็กน้อย

และไม่นาน นางก็เผยความเขินอายออกมา ก้มหน้าลงแดงก่ำคิดจะเดินหนี แต่หางตากลับยังสังเกตว่าสวี่ชิงกำลังเดินมาหาตนเอง

สิ่งนี้ทำให้นางหวาดระแวงมาก แต่ยังคงจำสวี่ชิงไม่ได้ ทว่าความรู้สึกที่เหมือนตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่มาจากสัญชาตญาณ ก็ทำให้นางรีบไหวตัวสาวเท้าอย่างรวดเร็ว คิดจะกลมกลืนหายเข้าไปในฝูงคน

แต่สวี่ชิงจำนางได้

หญิงสาวคนนี้ ก็คือคนที่ยัดปัญหามาให้เขาเพื่อจะหลบหนีเมื่อไม่กี่คืนก่อนหน้านี้

ทำเขาจำใจต้องสังหารคนตั้งแต่วันแรก

สวี่ชิงจึงกินถังหูลู่ลูกสุดท้ายในมือ สะบัดไม้เสียบออกไปจากมือขวา พริบตานั้นก็พุ่งผ่านอากาศหวีดหวิวราวแสงอัสนีสายหนึ่ง ตรงไปทางหญิงสาว

เพราะรวดเร็วยิ่ง หญิงสาวคนนี้จึงหน้าถอดสีหลบไม่ทัน ร่างกายยังไม่ทันหายเข้าไปในฝูงคน ขาขวาของนางก็ถูกไม้เสียบนี้แทงทะลุเสียงดังฉึก ตอกร่างงามของนางเอาไว้กับพื้น

เสียงกรีดร้องดังออกจากปากนางที่ใบหน้าซีดขาวทันที จากนั้นก็เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ราวกับเป็นหญิงสาวที่ถูกรังแกอย่างโหดร้าย

ขณะเดียวกัน เสียงเย็นเยียบของสวี่ชิงก็ส่งมายังหูของนางที่สั่นเทิ้มไปทั้งร่างตอนที่เขาเดินเข้ามา

“ถ้าเจ้ายังส่งเสียงตะโกนอีก ข้าจะฉีกปากเจ้าเสีย”

ทักษะการเรียนรู้กับการเลียนแบบของสวี่ชิง เป็นเช่นเดียวกับความจำของเขา ล้วนยอดเยี่ยมไร้ที่ติ….

[1] ถังหูลู่ หรือ ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ เป็นขนมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของประเทศจีน ซึ่งเดิมทีจะใช้พุทราป่าที่มีสรรพคุณทางยาสำหรับการรักษาโรค โดยใช้รักษาครั้งแรกกับพระสนมองค์หนึ่งของจักรพรรดิในราชวงศ์ซ่ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท