บทที่ 63 สวี่ชิงที่ขยันขันแข็ง
ฝึกบำเพ็ญต้องใช้ทรัพยากร
โดยเฉพาะการมาเยือนของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าทำให้ทุกสรรพสิ่งถูกไอพลังประหลาดกัดกิน นี่ทำให้การได้มาซึ่งทรัพยากรยากลำบากมาก อีกทั้งส่วนมากล้วนแปดเปื้อนกลิ่นคาวเลือด
ในดวงตาของสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด หินวิญญาณและทรัพยากรที่เขาต้องการเป็นจำนวนมหาศาล และผลเก็บเกี่ยวจากการหลอมลูกกลอนขาวก็ไม่เพียงพอเลย
‘กรมปราบพิฆาตจ่ายหินวิญญาณให้สามก้อนทุกเดือน ลูกกลอนขาว…ถ้าข้าขยันสักหน่อย ทุกเดือนก็น่าจะได้หินวิญญาณยี่สิบก้อน คำนวณเช่นนี้ ทุกเดือนก็จะได้หินวิญญาณยี่สิบสามก้อน’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว
หากตอนนี้เขาอยากรักษาระดับความเร็วการฝึกบำเพ็ญเอาไว้ ก็จะต้องใช้หินวิญญาณหนึ่งก้อนทุกวัน นึกถึงวัตถุดิบในการหลอมเรือที่ร้านของลูกศิษย์ยอดเขาที่หก ล้วนไม่มีที่ราคาหินวิญญาณต่ำกว่าหลายสิบก้อน
‘ทุกเดือนต้องจ่ายค่าช่องจอดเรือสามสิบก้อนหินวิญญาณ เช่นนั้นอย่างน้อยข้าต้องมีรายรับเป็นหินวิญญาณหกสิบก้อนขึ้นไปทุกเดือนถึงจะพอกล้อมแกล้มรักษาการฝึกบำเพ็ญของข้าต่อไปได้ หากอยากหลอมเรือเวท เงื่อนไขก็จะยิ่งมากขึ้นไปอีก’ สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ก็เปิดถุงเก็บของดู
ในนี้ตอนนี้ยังมีหินวิญญาณอีกยี่สิบก้อน นี่เป็นรางวัลที่กรมปราบพิฆาตมอบให้หลังจากที่เขาสังหารชิงอวิ๋นจื่อ
‘หากอยากได้หินวิญญาณมากขึ้นอีกมีสามวิธี หนึ่งคือไปล่าที่พื้นที่ต้องห้าม อีกวิธีคือสังหารคนร้าย สุดท้ายคือออกทะเล อาศัยความสามารถของตัวเองให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบ’
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง วิธีที่หนึ่งเขาต้องใช้เส้นทางของยอดเขาที่หนึ่ง เพราะพื้นที่ต้องห้ามข้างสำนัก หากจะเข้าออกก็ต้องมีหนังสืออนุญาตเดินทางของยอดเขาที่หนึ่ง อีกทั้งลูกศิษย์ยอดเขาอื่นเดินทางเข้าไปก็จะมีค่าใช้จ่ายในระดับหนึ่ง
ส่วนวิธีที่สาม ออกไปล่าในทะเล แน่นอนว่าเป็นวิธีที่เหมาะที่สุด แต่นอกจากจะมีเงื่อนไขทางเรื่องพลังบำเพ็ญแล้ว ก็มีเงื่อนไขของเรือเวทด้วย หากไม่มีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง เกรงว่าจะไปไม่ได้กลับ
ด้านพลังบำเพ็ญสวี่ชิงมั่นใจว่าไหว แต่ระดับของเรือเวทต่ำเกินไป อีกทั้งจะยกระดับเรือเวทก็ต้องใช้หินวิญญาณและวัตถุดิบ นี่เป็นปัญหาที่วนไม่รู้จบ
‘ดังนั้นวิธีที่เร็วที่สุดก็คือฆ่าคนร้าย หรือไม่ก็แย่งชิงสหายสำนักเดียวกัน ใช้วิธีนี้ยกระดับเรือเวทและพลังบำเพ็ญให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นก็ออกทะเลไปล่าได้แล้ว และจะทำให้ทุกอย่างเหมือนกับก้อนหิมะกลิ้ง พลังอำนาจไม่อาจต้านทานขึ้นเรื่อยๆ!’
ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก เทียบกับแย่งชิงสหายร่วมสำนักที่ไม่ได้มาหาเรื่องตัวเองแล้ว เขารู้สึกว่าฆ่าโจรร้ายเหมาะยิ่งกว่า
หลังจากตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ สวี่ชิงก็นั่งขัดสมาธิในเรือเวทระดับสองของตัวเอง เติมหินวิญญาณเข้าไปในค่ายกลรวมพลังวิญญาณก้อนหนึ่ง เริ่มการฝึกบำเพ็ญ
แต่ฝึกบำเพ็ญได้ไม่นานเท่าไร สวี่ชิงก็ลืมตาขึ้น หยิบป้ายฐานะของตัวเองออกมาอย่างสงสัย บนนั้นมีข้อความสั้นๆ ถ่ายทอดเสียงปรากฏอยู่
‘ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้าคือโจวชิงเผิง คนที่ข้าเจอที่ร้านขายยาครั้งที่แล้วคือเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าเปลี่ยนไปเยอะเลย ข้านึกอยู่ตั้งนานกว่าจะคิดออกว่าน่าจะเป็นเจ้า ข้าเห็นเจ้าเหมือนสนใจแมงดาพรายปรารถนาตัวนั้นมาก สิ่งนั้นข้ารู้จัก กิจการบ้านข้าก็คือวัตถุดิบยา หากเจ้าต้องการข้าฝากให้คนไปหามาให้เจ้าได้ เพียงแต่ราคาค่อนข้างสูง’
หลังจากที่อ่านแล้วสวี่ชิงก็คล้ายครุ่นคิด ดูออกว่าโจวชิงเผิงคิดจะหาหินวิญญาณจากเขา ส่วนเขาก็ต้องการแมงดาพรายปรารถนามาศึกษาค้นคว้าพิษของมันจริงๆ ดังนั้นจึงตกลง
เวลาไหลไป ไม่นานก็ผ่านไปหกวัน
ในหกวันนี้สวี่ชิงไปเข้าเวรที่กรมปราบพิฆาตทุกวัน และสังเกตรายชื่อคนร้ายด้วย สายของเขาก็ให้ความสนใจทางด้านนี้มากขึ้นตามความต้องการของเขา
เพียงแต่…ในกรมปราบพิฆาต คนที่หาเงินด้วยวิธีนี้ก็มีไม่น้อย ข่าวประเภทนี้ส่วนมากล้วนเก็บเป็นความลับกับตัวเอง ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงได้ข่าวมาบ้างเป็นบางครั้ง เมื่อมุ่งหน้าไปก็มักจะคว้าน้ำเหลว
นี่ทำให้สวี่ชิงจำต้องเปลี่ยนวิธี
ในขณะเดียวกัน กรมปราบพิฆาตหลายวันมานี้ก็มีสมาชิกใหม่หลังจากสวี่ชิงเข้ามา
แต่สมาชิกใหม่คนนี้เห็นได้ชัดว่ามีเบื้องหลัง เขาไม่ได้อยู่หน่วยปราบเดียวกับสวี่ชิง หลังจากที่มาก็ไม่ใช่ระดับสมาชิก แต่ขึ้นเป็นนายกองของหน่วยปราบพสุธากองสามเลย
อีกทั้งคนคนนี้เหมือนมีฝีมืออยู่บ้าง รับตำแหน่งยังไม่ถึงสองวัน สมาชิกยี่สิบกว่าคนใต้บังคับบัญชาก็เชื่อฟังเคารพนอบน้อมหมด
ทว่าสี่หน่วยปราบของกรมปราบพิฆาต เนื่องจากมีรองเจ้ากรมคนละคนปกครองดูแล ดังนั้นนอกจากร่วมมือกันดำเนินภารกิจขนาดใหญ่แล้ว ปกติต่างฝ่ายต่างมองเป็นศัตรู กระทั่งว่าเดี๋ยวๆ ก็เกิดข้อพิพาทขัดแย้งกัน
ดังนั้นเรื่องที่หน่วยปราบพสุธากองสามเปลี่ยนนายกองคนใหม่ หน่วยอื่นก็แค่รับฟังไว้เท่านั้น เดิมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรอยู่แล้ว มีเพียงแค่การรับตำแหน่งของคนคนนี้เท่านั้นที่ทำให้เกิดคลื่นลมบ้าง
เพราะ…นายกองที่สามของหน่วยปราบพสุธาที่รับตำแหน่งคนนี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์
สวี่ชิงเคยเห็นไกลๆ อยู่ครั้งหนึ่ง ก็จำนายกองที่สามหน่วยปราบพสุธาที่เลื่อนขั้นใหม่คนนี้ได้ทันทีว่าเป็นเด็กหนุ่มต่างเผ่าที่ยืนติดตามองค์ชายสามกลับมาอยู่ข้างหลังเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง
วันนั้นสวี่ชิงสังเกตเห็นในดวงตาของเด็กหนุ่มต่างเผ่าฉายแววเหยียดหยามออกมาเมื่อเห็นองค์ชายสามโอบพี่สาวร่วมเผ่าทั้งสองคนของเขา
ส่วนสถานะของเขา ไม่นานคนที่คอยจับตามองทุกคนในกรมปราบพิฆาตก็ขุดออกมาได้ สวี่ชิงได้ยินสมาชิกของกองที่หกพูดถึง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าเงือก
เผ่าเงือกแม้จะต่างเผ่าพันธุ์ แต่เป็นพันธมิตรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต มีกิจธุระไปมาหาสู่กันมากมาย และคนคนนี้ก็ได้ยินมาว่าก็มีสถานะสูงส่งในเผ่าเงือกเช่นกัน
หลังจากที่องค์ชายสามพามา เนื่องจากเขาอยากฝากตัวเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จึงมายังกรมปราบพิฆาตด้วยการจัดการขององค์ชายสาม
ส่วนสถานะขององค์ชายสาม สวี่ชิงก็คาดเดาเอาไว้แล้ว และก็ได้ถามคนอื่นๆ ด้วย เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่เขาคิด
เจ้ายอดเขาของยอดเขาที่เจ็ดแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีลูกศิษย์สายตรงสามคน ชายสองหญิงหนึ่ง
ทั้งสามคนนี้ทุกคนอยู่ที่ยอดเขาที่เจ็ดก็เป็นบุคคลปานรัชทายาทองค์หญิง เพียงคำเดียวก็สามารถทำให้ลูกศิษย์นับไม่ถ้วนของยอดเขาที่เจ็ดก้มศีรษะ กระทั่งว่าทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเช่นนี้
นับเป็นลำดับลูกศิษย์สายตรงของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
และเพราะเจ้ายอดเขาของยอดเขาที่เจ็ดก็พรสวรรค์เยี่ยมยอดน่าตะลึงอยู่แล้ว ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ กำลังรบมหาศาล อำนาจก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นในสถานะที่เป็นถึงลูกศิษย์สายตรงของเขา ลำดับในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมสูงมากเช่นกัน
หนึ่งในนั้นเป็นองค์ชายใหญ่ปิดด่านทะลวงจุดติดขัดมานาน ไม่มีใครเห็นหลายปีแล้ว แต่สวี่ชิงได้ยินตอนที่สหายร่วมกองซุบซิบกันว่า องค์ชายใหญ่ผู้นี้ลึกลับมาก กำลังรบยิ่งน่ากลัว
ในตอนที่เป็นระดับสร้างฐานก็เคยสังหารคนระดับเดียวกันมากมาย อีกทั้งยังมีวีรกรรมโหดเหี้ยมสังหารล้างเผ่าเล็กๆ ต่างเผ่าหลายเผ่า ลำดับขององค์ชายใหญ่ในบรรดาลูกศิษย์สายตรงของทุกยอดเขาในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ลำดับที่สอง
ตอนซุบซิบ หัวหน้ากองหกที่กินผิงกั่วอยู่ข้างๆ ก็พูดชี้จุดสำคัญขึ้นมา
“ปกติแล้ว คนแบบนี้ส่วนมากไม่ใช่คนกระหายเลือด แต่ด้วยนิสัยสุดโต่ง เมื่อถูกแตะเกล็ดใต้คอมังกร ย่อมต้องฆ่า”
สวี่ชิงได้ยินประโยคนี้ ก็เห็นด้วยว่าย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ส่วนศิษย์พี่รอง ตอนสหายร่วมกองพูดถึง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหวาดกลัวนิดๆ เทียบกับองค์ชายใหญ่ผู้ลึกลับที่น้อยนักจะมีคนพบเห็นในหลายปีมานี้ คนที่เคยเห็นองค์หญิงรองมีมากมายก่ายกอง
ปกตินางจะเดินเล่นอยู่ที่ท่าเรือ นิสัยแข็งกร้าวชอบเอาชนะ ลงมือเด็ดขาด ทำอะไรขึ้นชื่อได้ว่าอันธพาลเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังมีพลังประหลาด หากระเบิดโทสะออกมา แม้แต่ผู้อาวุโสของยอดเขาที่เจ็ดเหล่านั้นยังต้องปวดหัว
“นางนั่นเรียกว่าป่วย ต้องรักษา” นายกองที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงกระซิบ
และในบรรดาลูกศิษย์ของเจ้ายอดเขา คนที่เป็นที่นิยมที่สุดก็คือองค์ชายสาม
องค์ชายสามนอกจากเจ้าชู้แล้วก็แทบจะไม่มีข้อเสียอะไร ปกติก็หน้าตายิ้มแย้ม ไม่วางมาดอะไรกับเหล่าลูกศิษย์ อีกทั้งยังใจกว้างมาก
คำขอร้องของเหล่าลูกศิษย์ก็ล้วนพยายามไปแก้ไข ความสัมพันธ์กับพวกต่างเผ่าในทะเลเหล่านั้นยิ่งคุ้นเคยดีเป็นพิเศษ กระทั่งว่าลูกศิษย์หลายๆ คนขนานนามเขาเอาไว้ว่าทูตสันถวไมตรีแห่งยอดเขาที่เจ็ด
ส่วนความเจ้าชู้ของเขาก็เป็นประเด็นร้อนแรงของเหล่าลูกศิษย์
นายกองหกกินผิงกั่วพลางคิดอยากจะวิพากย์วิจารณ์เสียหน่อย แต่ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่กัดผิงกั่วในมือติดๆ สองคำ ยิ้มตาหยีมองทุกคน
แม้สวี่ชิงจะตั้งใจฟังคำวิพากย์วิจารณ์ของบรรดาสมาชิกแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มเผ่าเงือก หรือจะเป็นรัชทายาททั้งสามของยอดเขาที่เจ็ดล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับเขาทั้งนั้น
เรื่องสำคัญของสวี่ชิงในช่วงนี้คือคนร้าย ส่วนวิธีหาตัวพวกมัน เขาก็หาทิศทางการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
นั่นก็คือคอยกระต่ายใต้ต้นไม้
คืนวันนี้เป็นวันที่สวี่ชิงต้องเข้าเวรกลางคืน
กลางดึกมืดมิดลมพัดกระหน่ำ แสงจันทร์มืดสลัว ลมทะเลนำความชื้นลอยอวลไปทั่วทุกมุมในเมือง เหมือนจะเป็นพยานให้กับความดำมืดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมือง
โรงพนัน หอนางโลมก็เปิดร้านกันอย่างคึกคักยามราตรี คนสัญจรไปมาขวักไขว่ไม่ขาดสาย ประเดี๋ยวๆ ก็เห็นเงาร่างที่สวมชุดดำจำนวนหนึ่ง กระโดดเหินเดินอยู่ตามสิ่งก่อสร้างทุกแห่ง
ประเดี๋ยวๆ ในตรอกก็มีระลอกคลื่นพลังวิญญาณแผ่ออกมา เหมือนว่าภูตผีปีศาจทั้งหลายจะค่อยๆ ปรากฏตัวมาในโลกมนุษย์ตามแสงจันทร์
เพียงแต่ความอึกทึกทั้งหมด ล้วนแปรเปลี่ยนมาเงียบสงัดด้วยการเดินผ่านมาของเงาร่างหนึ่ง
จวบจนเงาร่างนั้นจากไป ทุกอย่างถึงได้กลับคืนสู่ปกติ
เงาร่างนี้ก็คือสวี่ชิงนั่นเอง
นับจากที่เขาลากศพของชิงอวิ๋นจื่อเดินไปเกือบครึ่งเมืองเมื่อครั้งที่แล้ว ทุกครั้งที่เข้าเวรกลางคืนก็ล้วนเป็นเช่นนี้
ในเมืองหลักไม่มีความลับอะไร สามารถจับเป็นชิงอวิ๋นจื่อที่เป็นระดับรวมปราณขั้นเก้าได้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ระดับรวมปราณจากสำนักเล็กๆ แต่กลับทำให้เขาหลบหนีไม่ได้ ทั้งยังลงมืออย่างเหี้ยมโหดเหลือประมาณ นี่ก็สามารถแสดงให้เห็นถึงพลังแท้จริงได้
อีกทั้งยังสามารถจากไปอย่างปลอดภัยได้หลังจากที่ประจันหน้ากับเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ถนนทองผุด ทั้งหมดนี้มากพอจะบอกแล้วว่าสมาชิกใหม่ของกรมปราบพิฆาต ไม่อาจล่วงเกินหาเรื่องกันได้ง่ายๆ
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลังจากชิงอวิ๋นจื่อแล้วก็ไม่ได้เจอคนร้ายคนอื่นอีก
แต่ไม่เป็นไร สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองหาวิธีใหม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาเดินอยู่ในจุดมืดมิดในเมืองมาจนถึงถนนทองผุด มองโรงเตี๊ยมที่ยังเปิดอยู่ห่างออกไปไม่ไกลแห่งนั้น พลางยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่มุมใต้หลังคา
ร่างของเขาเหมือนผสานไปกับความมืด รอคอยอย่างเงียบๆ
ในเมื่อหาเบาะแสไม่ได้ หาคนร้ายไม่เจอ เช่นนั้นมิสู้เฝ้าต้นไม้คอยกระต่าย รอเอาก็ได้แล้ว
ความอดทนเป็นสิ่งที่สวี่ชิงมี ส่วนเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายอาจไปล่วงเกินตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมได้นั้น สวี่ชิงก็พิจารณามาก่อนแล้ว แต่หินวิญญาณสำคัญกว่า อีกทั้งสวี่ชิงยังรู้สึกว่ากำลังรบของตัวเองวันนี้ก็ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้
เวลาค่อยๆ ไหลไปเช่นนี้ หลังจากนั้นสองชั่วยาม…ก่อนที่รุ่งสางจะมาเยือน เงาร่างหนึ่งก็พุ่งมาอย่างรวดเร็วไร้สุ้มเสียงจากที่ไกล เป้าหมายคือโรงเตี๊ยม
คนคนนี้เป็นชายกลางคนร่างกายผอมแห้ง ดวงตาเรียวเล็ก หนวดเครายาว ทำให้คางที่เรียวแหลมอยู่แล้วยิ่งดูแปลกประหลาด ดูแล้วเหมือนหนูตัวหนึ่ง
ตอนนี้ในดวงตาเล็กทั้งสองข้างที่มีแววระแวดระวัง เห็นว่าเข้าใกล้ประตูของโรงเตี๊ยมมาทุกทีๆ ใจของเขาก็ผ่อนคลาย สีหน้าแฝงด้วยร่องรอยทอดถอนใจ สาวเท้าเร็วๆ เข้าใกล้โรงเตี๊ยม
“เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตช่างยอดเยี่ยมจริงๆ โดยเฉพาะโรงเตี๊ยมที่เปิดดึกๆ พวกนี้ทำตามกฎ มอบความคุ้มครองให้ในจุดนี้ยอดเยี่ยมมากๆ แต่ว่าแพงหูฉี่เลย
“วันแรกแปดสิบ วันที่สองเอาร้อยหกสิบ ทบเท่าทุกวัน…ท่าทางอีกไม่กี่วันคงต้องหาเมืองเล็กๆ ทำการใหญ่สักหนแล้ว น่าเสียดายที่ประชาชนคนธรรมดาในเมืองเล็กๆ พวกนั้นนอกจากเสียงร้องจะน่าสังเวชนิดหน่อยแล้วก็ไม่มีทรัพย์สินสะสมอะไร” ชายกลางคนผอมร่างแห้งบ่นพึมพำ ห่างจากโรงเตี๊ยมอีกแค่สองจั้งเท่านั้น กำลังจะกระโดดข้ามเข้าไป
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ ข้างหลังเขาก็มีลมเย็นระลอกหนึ่งพัดมา เสียงเย็นเยือกดังขึ้นมาในหู
“นักพรตหนูหรือ”
ชายกลางคนร่างผอมแห้งแววตาหดเล็ก ขนลุกชูชันทั้งตัวในเสี้ยวขณะนี้ มือขวาสะบัดมือเหมือนจะมีผงฟุ้งกระจายไปข้างหลังอย่างไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ร่างปะทุพุ่งไปข้างหน้าทันที
แต่ก็ยังสายไปแล้ว แทบจะในเสี้ยวพริบตาเดียวกับที่เขายกมือขวาขึ้น กริชเล่มหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ที่หน้าลำคอของเขา แล้วปาดอย่างโหดเหี้ยม!
เสี้ยวพริบตาต่อมา ในขณะเดียวกับที่เลือดพุ่ง ทั้งร่างชายกลางคนผอมแห้งก็สั่นสะท้าน แขนขากระตุกเกร็ง ปากส่งเสียงเฮือกๆ แต่กลับพูดไม่ออก ในขณะที่หมุนตัวอย่างดิ้นรนก็มองเห็นสวี่ชิงที่หน้าตาไร้อารมณ์ข้างหลัง
ผงพวกนั้นไม่มีผลอะไรกับสวี่ชิงทั้งนั้น
“นักพรตหนู มาจากลัทธินอกวิถี เชี่ยวชาญยากล่อมประสาท จิตใจบิดเบี้ยว ชอบฆ่าคนธรรมดาเพื่อความสนุก เมื่อครึ่งปีก่อน ผืนอินทนิลได้แจ้งประกาศจับไปทั่วทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณด้วยค่าตอบแทนเป็นหินวิญญาณสิบห้าก้อน”
สวี่ชิงไม่มองนักพรตหนูที่ไร้ลมหายใจไปแล้ว แต่เงยหน้ามองไปยังชายชราสีหน้าเคร่งขรึมที่ยืนอยู่ในโรงเตี๊ยม ปากก็อ่านเนื้อหาในแผ่นหยกประกาศจับ
“ไม่ต้องอ่านแล้ว ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนร้ายประกาศจับ” ชายชราเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
สวี่ชิงนิ่งเงียบ ตัดหัวนักพรตหนู เอาถุงหนังของเขาไป ยกเท้าเตะไปที่ศพ
เสียงตุบดังขึ้น ศพก็ร่วงลงที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม
“เขาไม่ได้เข้าไปในโรงเตี๊ยม ข้าไม่ได้ทำลายกฎของเจ้า เจ้าไม่ต้องจ่ายเงินซื้อศพ ข้าให้”
พูดแล้ว สวี่ชิงก็ถอยไปสามสี่ก้าว จวบจนอยู่ในระยะปลอดภัย เขาก็หิ้วศีรษะของนักพรตหนู ก้าวเท้าเร็วจากไป
“เดือนนี้ยังขาดหินวิญญาณอีกสี่สิบห้าก้อน…”