บทที่ 68 แต่ละคนล้วนไม่ง่าย
จากเสียงก้องสะท้อนของหลี่จื่อเหมย สวี่เสี่ยวฮุ่ยในห้องส่วนตัว ก็อดถลึงตาโตขึ้นมองไปทางสวี่ชิงไม่ได้
ไม่แปลกที่นางจะมองไม่ออก อันที่จริงสวี่ชิงในความทรงจำนางคือคนที่สกปรกมอมแมมไปหมดทั้งตัว
ทว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องส่วนตัวตอนนี้ ร่างสูงผมตรงยาวทิ้งตัวเหมือนต้นสนเผยความสง่างามเกินบรรยาย โดยเฉพาะใบหน้าที่ชวนให้ลุ่มหลงนั่น
หล่อเหลาเอาการ
ใบหน้างามราวรูปสลัก องคาพยพคมชัดเป็นสัดส่วน ดวงตาเย็นชาเรียวยาวมืดมิดลุ่มลึกใต้คิ้วกระบี่เผยประกายสง่างามและพลังวิญญาณออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้คนไม่กล้าดูถูกหยามหมิ่น
“ข้าเอง” สวี่ชิงพยักหน้า
สวี่เสี่ยวฮุ่ยใบหน้าแดงระเรื่อ หยิบจอกสุราดื่มลงไปเพื่อกลบเกลื่อนระลอกคลื่นในใจ
โจวชิงเผิงที่หัวเราะร่าอยู่ข้างๆ ก็ลุกมาเชื้อเชิญให้เข้ามา
“ศิษย์น้องสวี่ชิง มานั่งเถอะ”
สวี่ชิงเห็นพวกเขา ประสานหมัดตามมารยาทจากนั้นจึงนั่งลงด้านหนึ่ง สายตาก็กวาดมองคนทั้งสาม เมื่อเทียบกับความเย็นชาและความโหดร้ายที่แฝงอยู่ในสำนักแล้ว ศิษย์สามคนนี้ที่เข้าร่วมสำนักพร้อมเขากลับยังเหลือความอบอุ่นอ่อนโยนอยู่เล็กน้อยอย่างชัดเจน
แต่ด้วยสภาพแวดล้อมของสำนักก็เปลี่ยนแปลงพวกเขาไปบ้างเช่นกัน อย่างโจวชิงเผิงแม้ใบหน้าจะยิ้มละไม แต่สวี่ชิงก็มองเห็นความเหนื่อยล้าที่แฝงอยู่ในสีหน้า
โดยเฉพาะบนตัวเขายังแฝงความกร้านโลกเล็กน้อย ซึ่งนี่คือการเติบโตหลังจากที่ผ่านเรื่องราวบางอย่างมา
ส่วนสวี่เสี่ยวฮุ่ย สวี่ชิงยังอธิบายการเปลี่ยนแปลงของนางไม่ได้ เขาแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคล้ายกับหญิงสาวกระโจมขนนกในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดมากขึ้นเรื่อยๆ
มีเพียงหลี่จื่อเหมยที่เปลี่ยนไปไม่มากนัก เพียงแต่ในความน้อยเนื้อต่ำใจกับความระแวง ดวงตานางมีความระแวดระวังกับความรอบคอบยิ่งกว่า ราวกับว่าใครก็ตามที่ปรากฏตัวรอบๆ ล้วนระแวงไปหมดทั้งสิ้นสำหรับนาง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ส่วนใหญ่สวี่ชิงจะนิ่งงันไม่พูดจา แต่บรรยากาศในห้องก็ยังอบอวลไปด้วยความรู้สึกที่เข้ากันได้จากการที่ทุกคนพูดคุยสัพเพเหระ ถึงอย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว ช่วงเวลาที่เข้าสำนักก็ยังผ่านไปไม่นานนัก
เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงพูดคุยหัวเราะของโจวชิงเผิงกับสวี่เสี่ยวฮุ่ย หลี่จื่อเหมยก็เป็นอย่างสวี่ชิง เลือกที่จะนิ่งเงียบ บางครั้งมองมาทางสวี่ชิงก็เห็นความอึดอัดและน้อยเนื้อต่ำใจบนสีหน้านางได้ชัดเจน
เพียงไม่นาน โจวชิงเผิงที่ดื่มไปหลายจอกก็เอ่ยขึ้นอย่างปลงอนิจจัง
“อันที่จริงก่อนที่จะเข้ามาที่นี่ ข้าก็พอรู้เรื่องราวของสำนักอยู่บ้าง แต่พอเข้ามาจริงๆ ถึงพบว่าสิ่งที่ได้ยินกับสิ่งที่ได้สัมผัสกับตัวนั้นคนละเรื่องกันเลย ในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต…หากคิดจะใช้ชีวิตให้สุขสบายหน่อยมันยากเสียเหลือเกิน ประมาทพลาดพลั้งเพียงนิดก็ตายได้เลยเช่นกัน
“พวกเจ้าก็น่าจะรู้สึกเหมือนกันกระมัง…ศิษย์น้องสวี่ชิง ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าอยู่หน่วยใด ข้าอยู่กรมคุ้มกันสมุทร เสี่ยวฮุ่ยเองก็มีความสามารถ แค่เวลาสั้นๆ ก็แลกเรือเวทมาได้แล้ว ถูกส่งตัวไปกรมเคลื่อนย้าย”
สวี่เสี่ยวฮุ่ยข้างๆ พอได้ยิน รอยยิ้มก็ซับซ้อนเล็กน้อย พยักหน้า
“ข้าอยู่ที่กรมปราบพิฆาต” สวี่ชิงไม่ค่อยคุ้นเคยกับบรรยากาศในนี้อยู่บ้าง เพราะมันทำให้เขารู้สึกขัดแย้งกับความเย็นชาโหดร้ายของคนภายนอก จึงเอ่ยตอบขึ้นมาเสียงเบา
“กรมปราบพิฆาต?” สวี่เสี่ยงฮุ่ยดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
แววตาหลี่จื่อเหมยที่อยู่ข้างๆ ก็เผยความอิจฉาอยู่บ้างเช่นกัน ถึงแม้ปัจจุบันนางจะไม่ได้แต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดสกปรกมอมแมมแล้ว เมื่อเทียบกับสวี่เสี่ยวฮุ่ย ก็ยังคงธรรมดาแสนสามัญ ดังนั้นจังหวะที่ก้มหน้าลงจึงมีอยู่มาก
สำหรับนางแล้ว สี่คนรุ่นเดียวกันนี้ ทั้งสามคนล้วนมีเรือเวทกันหมด มีเพียงตนเองที่ยังคงเป็นเช่นเดิม สิ่งนี้ทำให้นางที่นั่งอยู่ที่นี่รู้สึกแรงกดดันมาก
“ที่แท้ศิษย์น้องสวี่ชิงก็ไปที่กรมปราบอาฆาตนี่เอง หลายวันก่อนกรมพวกเจ้าทำการใหญ่นี่ ศีรษะของพวกนกเขาราตรีแขนอยู่ที่กำแพงเมืองนับพันหัวเชียว หลายวันนี้ทุกคนก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน จริงสิ ด้วยพลังเลือดลมหลอมเป็นเงาตอนที่ทดสอบเข้าสำนัก ปฏิบัติการนั้นของพวกเจ้า เจ้าเองก็คงเข้าร่วมด้วยใช่หรือไม่”
เมื่อโจวชิงเผิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้งที่แล้วที่เขาเห็นสวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณบนตัวสวี่ชิงได้ ที่ได้พบเมื่อครู่เองก็เห็นว่าเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว จึงลองเอ่ยหยั่งเชิงดู
“แต่ว่าอันที่จริงภารกิจใหญ่ขนาดนี้ก็เสี่ยงมาก ศิษย์น้องสวี่ชิงถึงแม้จะฝึกกายาได้ไม่เลว แต่ถึงอย่างไรวิชาเวทต่างหากถึงจะเฉียบคมที่สุด พวกเราในฐานะศิษย์ใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสำนัก การพยายามเอาตัวรอดกับฝึกบำเพ็ญต่างหากที่สำคัญ หลังจากนี้มีโอกาสอีกมากให้พวกเราได้สำแดงความสามารถ”
สวี่ชิงมองโจวชิงเผิงผาดหนึ่ง มองการหยั่งเชิงของอีกฝ่ายออก อันที่จริงเขาก็รู้สึกว่าในรุ่นสามคนนี้ นิสัยใจคอดีมาก ไม่ค่อยมีความคิดเลวร้าย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เขายอมมาที่นี่นอกเหนือจากเรื่องแมงดาพรายปรารถนา
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า ไม่พูดอะไร
“กรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ดก็เหมือนกับกรมคุ้มกันสมุทรของพวกข้าที่ภายในล้วนมีแต่คนเก่ง จริงสิศิษย์น้องสวี่ชิง ได้ยินว่าในระหว่างปฏิบัติการครั้งนี้กรมปราบพิฆาตของพวกเจ้ามีคนยอดเยี่ยมปรากฏตัวออกมาด้วย
“เหมือนว่าในหน่วยนิลกาฬกรมปราบพิฆาตของพวกเจ้ามีคนเก่งนี่ ชื่ออะไรข้าก็ไม่รู้ แต่ได้ยินว่าคนผู้นี้สังหารหัวหน้าศัตรูรวมปราณขั้นบริบูรณ์ เป็นคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ระดับหัวหน้าแต่สังหารหัวหน้าศัตรูลงได้ในปฏิบัติการครั้งนี้ ดูท่าคงต้องถึงคัมภีร์แปรสมุทรขั้นสุดยอดก่อนจึงจะทำได้ คุณงามความดีเช่นนี้ เห็นว่าจะได้เลื่อนขั้นด้วย”
โจวชิงเผิงทอดถอนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพชื่นชม ประโยคนี้ไม่ใช่การหยั่งเชิงอีกแล้ว แต่เป็นความอิจฉาอย่างแท้จริง
จากที่เขารู้ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเกี่ยวข้องกับสวี่ชิง ถึงแม้สวี่ชิงฝึกกายาจะแข็งแกร่งมาก เลือดลมหลอมเป็นเงา แต่หลังจากโจวชิงเผิงได้ฝึกบำเพ็ญคัมภีร์แปรสมุทรถึงตระหนักได้ว่า ความเฉียบคมของวิชาเวทคัมภีร์แปรสมุทรสามารถสังหารฝึกกายาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะในสถานที่อย่างกรมปราบพิฆาตที่ผู้แข็งแกร่งก็มีอยู่เต็มไปหมด
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะสังเกตเห็นว่าคลื่นพลังวิญญาณคัมภีร์แปรสมุทรของสวี่ชิงในร้านขายยาก่อนหน้าแข็งแกร่งมาก แต่ยังเชื่อมโยงกับเรื่องที่โดดเด่นในกลุ่มผู้แข็งแกร่งกรมปราบพิฆาตจนสังหารหัวหน้าศัตรูรวมปราณขั้นบริบูรณ์ไม่ได้
“ข้าเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน หลายวันมานี้ลือกันถ้วนทั่ว เหมือนว่าจะเป็นหน่วยนิลกาฬกองที่หก” สวี่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะคีบกับข้าวให้สวี่ชิงกับโจวชิงเผิง
หลายวันนี้ศิษย์ของหน่วยต่างๆ ในยอดเขาลำดับเจ็ดก็ล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ปฏิบัติการรวบหัวรวบหางนกเขาราตรีของกรมปราบพิฆาตอยู่จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในปฏิบัติการครั้งนี้ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปแล้ว
สวี่ชิงรู้สึกเกินคาด หลายวันนี้เขายุ่งอยู่กับการหาโอกาสสังหารเด็กหนุ่มเผ่าเงือกจนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ตอนนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเล่าลือของโลกภายนอก และเป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าจะถูกเลื่อนขั้น
“ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราหรอก สำหรับพวกเราแล้ว…การมีชีวิตรอดต่อไปถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ”
โจวชิงเผิงถอนใจ ลูบไปที่ขาของตนเอง ตรงนั้นมีบาดแผลที่ยังไม่สมานกันอยู่ จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองไปยังสวี่ชิงที่นิ่งเงียบอยู่ตลอด เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“ศิษย์น้องสวี่ชิง เจ้าเองก็อย่าทำตัวสันโดษนักเลย นิสัยนี้ของเจ้าต้องแก้เสียหน่อยนะ ต้องรู้จักทำตัวยืดหยุ่น คอยหาของกำนัลไปให้กับพวกเบื้องบนในกรมบ้าง อย่างนี้ถึงจะมีโอกาสได้รับการคุ้มครอง แล้วมีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น”
สวี่ชิงเมื่อได้ยินก็พยักหน้า เขาไม่ถนัดพูดคุย และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ดังนั้นอาหารมื้อนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นการรับฟังเสียมากกว่า และโจวชิงเผิงเองก็ค่อยๆ ฟื้นกลับไปรูปลักษณ์ก่อนที่จะเข้าสำนัก ยกจอกส่งเสียงครื้นเครงเพื่อปรับบรรยากาศ
และระหว่างนี้ โจวชิงเผิงก็ดื่มไปมากแล้วอย่างเห็นได้ชัด โอ้อวดผลงานของตนเองออกมา
อย่างเช่นในกรมคุ้มกันสมุทรของเขาตอนนี้เชื่อมสัมพันธ์กับเบื้องบนกลมกลืนไปถึงขั้นใดแล้ว ในกรมคุ้มกันสมุทรรู้จักเพื่อนไปเท่าไรแล้ว ได้รับความสะดวกสบายเช่นไรบ้าง กระทั่งดูแลเรื่องเส้นสายเลื่อนขั้นให้กับสวี่เสี่ยวฮุ่ยด้วย
แน่นอนเขาเองก็ไม่ลืมที่จะคอยเตือนสวี่ชิงให้แก้นิสัยอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็คอยถามไถ่ทางหลี่จื่อเหมยว่าต้องการการช่วยเหลืออะไรจากกรมคุ้มกันสมุทรหรือไม่ จะแนะนำให้
“นายกองรับปากข้าไว้แล้ว ขอแค่ทดสอบครั้งนี้ข้าได้ผลลัพธ์ดีสักหน่อย ก็จะแนะนำกับศิษย์พี่ติงเซียวไห่ให้ ศิษย์พี่ติงพวกเจ้าคงรู้จักสินะ นั่นคือคนที่ถูกเรียกเป็นผู้ฝึกปราณอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดเนตรโลหิตของพวกเราเลยนะ” โจวชิงเผิงภูมิอกภูมิใจอย่างมาก สวี่เสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มประจบ ทำให้บรรยากาศในห้องส่วนตัวนี้ยิ่งกลมเกลียวยิ่งขึ้น
สวี่ชิงเองก็ยิ้มขึ้นบ้าง ยกจอกขึ้นอวยพร
เขาไม่รู้สึกรังเกียจโจวชิงเผิง ทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตของตนเอง สวี่เสี่ยวฮุ่ยได้รับเรือเวทรวดเร็วถึงเพียงนี้ ดูท่าคงจะมีความสามารถส่วนตน ส่วนหลี่จื่อเหมย เดิมทีสวี่ชิงก็ไม่ถนัดสมาคม แต่เขารู้สึกว่าที่นางมองตนเองออกตั้งแต่แรก พลังการสังเกตของอีกฝ่ายจะต้องเฉียบคมมากเป็นแน่
อาหารมื้อนี้ กินกันไปเกือบหนึ่งชั่วยาม
ดื่มกันไปพักหนึ่ง ด้านนอกก็เป็นช่วงดึก โจวชิงเผิงเมาหนัก ทุกคนจึงแยกย้าย ตอนนี้โจวชิงเผิงก็นำแมงดาพรายปรารถนาส่งให้สวี่ชิง แต่สวี่ชิงไม่ทันจ่ายเงินให้ โจวชิงเผิงก็โบกไม้โบกมือ
“บ้านข้าพอไหวอยู่ เจ้าของสิ่งนี้ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่เพื่อนมอบให้เพื่อนแล้วกัน”
สวี่ชิงมองแมงดาพรายปรารถนาที่อยู่ในถุงผาดหนึ่ง และยังสังเกตได้ถึงความจริงใจบนสีหน้าของโจวชิงเผิง เขาคิดจะมอบให้ตนเองจริงๆ จึงไม่ได้ยัดเยียดเงินให้ เพียงคิดเล็กน้อยและประสานหมัดแล้วขอบคุณ
ตอนนี้ทั้งสี่คนเดินออกจากห้องส่วนตัว พอมาถึงประตูร้าน โจวชิงเผิงมองไปทางสวี่ชิงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้าอยู่หน่วยปฐพีของกรมคุ้มกันสมุทร ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าอยู่หน่วยใดของกรมปราบพิฆาต หลังจากนี้ทุกคนต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ไว้ว่างๆ ข้าจะไปคุยเล่นกับเจ้าบ้าง พวกเรารุ่นเดียวกันต้องเดินไปด้วยกัน ในสำนักที่เย็นชาเช่นนี้ พวกเราเชื่อใจกันได้มากที่สุด ทุกคนต้องกอดคอกันเดินไปข้างหน้านะ”
สวี่ชิงพอได้ยินก็พยักหน้า
“หน่วยนิลกาฬน่ะ”
“หน่วยนิลกาฬ? หน่วยเดียวกับคนเก่งคนนั้นเลยนี่นา เขาอยู่กลุ่มหก ศิษย์น้องสวี่ชิงเจ้าอยู่หน่วยใดหรือ” โจวชิงเผิงพอได้ยินก็เหมือนสร่างขึ้นมาบ้างแล้ว สวี่เสี่ยวฮุ่ยข้างๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน
สวี่ชิงมองโจวชิงเผิงกับสวี่เสี่ยวฮุ่ย และยังมีหลี่จื่อเหมยที่สายตาจับจ้องมาที่ร่างของตนเองก็สงสัยขึ้นมา
“ข้าเองก็อยู่กลุ่มที่หก…”
โจวชิงเผิงถลึงตาโต มึนงงไปพักหนึ่ง
สวี่เสี่ยวฮุ่ยเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เอ่ยขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“อยู่กลุ่มเดียวหน่วยเดียวกับคนเก่งคนนั้นเลย เหมือนคนเก่งคนนั้นจะสกุลสวี่….”
ยังไม่ทันพูดจบ ต่อให้ปฏิกิริยาสวี่เสี่ยวฮุ่ยจะช้าเพียงใด ก็ยังคิดอะไรได้ อึ้งไปในพริบตา
“เหมือนว่าในกลุ่มนี้จะมีอยู่ยี่สิบกว่าคน…” โจวชิงเผิงเอ่ยเสียงต่ำ ตอนนี้สร่างเมาเต็มตื่นแล้ว
มีเพียงตอนที่หลี่จื่อเหมยมองมาทางสวี่ชิง ในความตกตะลึงยังมีความไม่แน่ใจ อันที่จริงตอนแรกที่เขาเห็นสวี่ชิงเมื่อครู่ ก็สัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่าบนตัวอีกฝ่ายยังมีกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่จางไปอยู่
บรรยากาศรอบด้านเงียบงันไปในพริบตา ผ่านไปครู่หนึ่ง โจวชิงเผิงก็หัวเราะร่า ประสานหมัดไปทางสวี่ชิง เพื่อกลบเกลื่อนความตกตะลึงในใจ
ส่วนสวี่เสี่ยวฮุ่ยก็สีหน้าไม่แน่ใจ มองสวี่ชิงเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุด ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป
เพียงไม่นานทุกคนก็รีบร้อนแยกย้ายกันไปพร้อมความคิดต่างๆ นานา
เพียงแต่ที่โจวชิงเผิงทางนั้น หลังจากแยกย้าย ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ในดวงตามีการคาดหวังและไม่มั่นใจ ล้วงป้ายฐานะออกมาหาข้อมูลทันที เขาอยากรู้ว่าในหน่วยนิลกาฬกลุ่มหก มีคนสกุลสวี่อยู่กี่คน…
สวี่ชิงมองเงาของแต่ละคนที่แยกย้ายกันไปผาดหนึ่ง แล้วหมุนตัวจากไปในยามราตรี แต่เดินไปไม่กี่ก้าว ก็เหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง หันหน้ากลับไปมองที่ร้านอาหาร
ที่นั่นมีเงาผอมแห้งร่างหนึ่ง กำลังยืนอยู่ที่ประตู รับคำปลกๆ กับคำหารือของลูกจ้าง และลูกจ้างคนนั้นก็ดูมีสีหน้ารำคาญเจืออยู่ด้วย
“อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงศิษย์สำนักนะ อย่าทำข้าลำบากใจเลย ของพวกนั้นที่พวกเจ้าเพิ่งกินไปก็เก็บไปหมดแล้ว ถ้าจะห่อกลับก็ต้องรีบบอกสิ”
เงาร่างผอมเล็กก็คือหลี่จื่อเหมยนั่นเอง นางจากไปแล้วกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของพนักงาน สีหน้าก็ขมขื่น
สวี่ชิงเห็นฉากนี้ หลังจากครุ่นคิดก็เดินเข้าไป เมื่อเข้าไปใกล้ หลี่จื่อเหมยก็สังเกตเห็นทันที พอหันหน้าไปเห็นสวี่ชิง หน้าก็แดงก่ำขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด ยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้น ศักดิ์ศรีค้ำคอนางจนทำให้ร่างกายสั่นระริก
“ไม่น่าจะเก็บกวาดได้เร็วขนาดนั้นกระมัง” สวี่ชิงเดินมาถึงเบื้องหน้า มองลูกจ้าง เอ่ยขึ้นเรียบๆ
ลูกจ้างกวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง เขาเคยเห็นศิษย์ในร้านมามากมาย และสัมผัสได้รางๆ ว่าคนตรงหน้านี้ไม่ควรไปยั่วยุ ดังนั้นท่าทีจึงเคารพนอบน้อมขึ้นมา
“น่าจะยังไม่ได้เก็บขอรับ” เขาพูดแล้วก็รีบร้อนเดินเข้าไป ไม่นานนักก็ออกมา ในมือถือกล่องห่อข้าวยื่นให้หลี่จื่อเหมย
หลี่จื่อเหมยเอ่ยขอบคุณเสียงต่ำ ยืนระแวดระวังอยู่ตรงนั้น สาเหตุที่นางออกไปแล้วกลับมาอีกเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็น ความหยิ่งในศักดิ์ศรีทำให้นางเวลานี้กัดริมฝีปากจนห้อเลือด
“ไม่เป็นไร เรื่องอาหารเดิมทีก็ไม่ควรจะสิ้นเปลือง สมัยยังเล็กตอนข้าไปขอข้าวบ้านคนอื่นกิน กินมากเกินไป จนบางครั้งต้องให้ทุกคนเข้าไปรุมแย่งมาถึงจะมีกิน” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
หลี่จื่อเหมยเงยหน้า มองไปทางสวี่ชิง อ้าปากแต่ก็พูดอะไรไม่ออก ลมพัดมาพัดพาผมของหลี่จื่อเหมย เผยให้เห็นแผลเป็นลึกแผลหนึ่งที่ปกติถูกบังเอาไว้บนต้นคอของนางภายใต้แสงจันทร์
สวี่ชิงไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองหลี่จื่อเหมยก็คิดถึงเด็กสาวในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดคนนั้นขึ้นมา และสัมผัสถึงกลิ่นอายของไอพลังประหลาดเข้มข้นบนตัวหลี่จื่อเหมยได้อีก
ศิษย์ที่ยังไม่ได้แลกเรือเวท แม้จะมีรายได้ไม่มาก แต่นั่นก็เป็นการเปรียบเทียบกับศิษย์ที่มีเรือเวท
แต่ถ้าเทียบกับประชาชนทั่วไปก็ยังถือว่าใช้ได้ ดังนั้นสภาพของหลี่จื่อเหมยจึงไม่ควรเป็นเช่นนี้ นอกเสียจากจะต้องใช้รายได้และแต้มอุทิศทั้งหมดเพื่อจะซื้อเรือเวท จึงต้องประหยัดจนถึงระดับที่ข้นแค้นสุดขีดในวันปกติ
ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงเงียบนิ่งไป ก็ล้วงเอาลูกกลอนขาวที่ตนเองหลอมออกมาหลายเม็ดจากถุงหนัง วางในมือของหลี่จื่อเหมย
“สู้ๆ นะ ข้าอยากเห็นวันนั้นวันที่เจ้าซื้อเรือเวทได้”
พูดจบ สวี่ชิงหันหลังจากไป
ทุกคนล้วนมีวิถีชีวิตของตนเอง และตนเองก็ช่วยเหลือได้ไม่มากเท่าไร ทั้งหมดล้วนเป็นตัวเลือกของตนเองทั้งสิ้น
หลี่จื่อเหมยมองแผ่นหลังสวี่ชิงอย่างงงงัน ก้มหน้าลงมองลูกกลอนขาวในมืออยู่นาน ส่วนลึกในใจเกิดกระแสอบอุ่นที่ไม่อาจพรรณนาได้ขึ้นมา ในโลกที่เย็นชา ในสำนักที่โหดร้าย ความอบอุ่นเช่นนี้ นางเพิ่งเคยไดสัมผัสเป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงเงียบนิ่งไปนาน ตอนที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ในสายตานางก็แฝงไว้ด้วยความซาบซึ้ง
นางซาบซึ้งลูกกลอนขาวที่อีกฝ่ายมอบให้ และยิ่งซาบซึ้งต่อคำพูดให้กำลังใจประโยคนั้น
ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของนางทำให้นางไม่ต้องการความเห็นใจ นางปฏิเสธความสงสารทุกอย่าง แต่นางต้องการกำลังใจ
“ขอบคุณ ข้าจะแลกเรือเวทมาให้ได้!”
————————————–