ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 76 ป๋าผู้ล้างบางประชาราษฎร์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 76 ป๋าผู้ล้างบางประชาราษฎร์

สายลมยามเช้าพัดผ่านท่าเรือ ใบเรือโยกไหว

แต่ก็มีหลายวูบที่ไม่พอใจใบเรือที่พัดโบก พยายามสั่นกระเพื่อมผิวน้ำทะเลก่อคลื่นสีมรกต แต่สายลมก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะพัดโบกมหาสมุทรที่ลึกเกินหยั่ง กระทั่งหากไม่ระวัง ก็จะถูกคลื่นทะเลที่สั่นกระเพื่อมดูดกลืนลงไปบางส่วนด้วย

เช่นเดียวกับปลาไม่เจียมตนตัวหนึ่งไปยั่วยุคู่ต่อสู้ที่ไม่ควรจะยั่วยุ

แสงอรุณก็เข้มข้นเสียยิ่งกว่าสายลม สาดส่องอย่างราบเรียบอย่างไม่คาดหวังมากนักลงมาบนเรือแต่ละลำและบนตัวสวี่ชิงที่เดินกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

จะสังหารคนก็ดี สังหารปลาก็ดี สำหรับสวี่ชิงแล้ว พริบตาที่อีกฝ่ายปผ่จิตสังหารเข้าใส่ บทสรุปก็ถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อย

เขาต้องการจะมีชีวิตต่อไป ดังนั้นตัวตนใดก็ตามที่คุกคามความปลอดภัยในชีวิตเขา ก็ถือว่ามาแตะเส้นสีแดงของเขาแล้ว

เขารู้ว่าแต่ละคนมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน

อาจารย์สอนหนังสือในถ้ำยาจกเคยเย้ยหยันความแตกต่างนี้ เขาบอกกับสวี่ชิงรวมถึงเด็กๆ ว่าถ้าหากเป็นโลกที่เจริญรุ่งเรือง คนที่มีอำนาจก็จะใช้ผ้าปกปิดความอัปยศอดสูเอาไว้ แต่ในโลกาวินาศผู้คนต่างรับรู้โดยทั่วไปอยู่แล้ว

แต่ตลอดเส้นทางที่สวี่ชิงเดินมา เขาเองก็รู้ว่ามีความยุติธรรมอยู่บ้างในโลกใบนี้

เพราะหลังจากตายไป เมื่อลบล้างทุกสิ่งอย่าง บทสรุปสุดท้ายก็ล้วนไปทิศทางเดียวกัน

จะตายในซอยโดยไม่มีใครรู้ กับตายอยู่ในบ่อสุราที่กองถมทับด้วยอัญมณี ก็ล้วนไม่ต่างกัน

“ที่องค์หญิงสองพูดไว้นั้นถูกต้องจริงๆ คาวเสียเหลือเกิน” สวี่ชิงถอนสายตาที่มองไปยังดวงตะวันที่ขึ้นจากขอบฟ้า เดินตรงเข้าไปในเรือ ชะล้างร่างกาย หลังจากที่กลิ่นคาวหายไปหมด เขาก็เอนตัวลงนอน

วันนี้ไม่ต้องไปเข้าเวร ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องไปขานชื่อที่กรมปราบพิฆาต เวลานี้หนามยอกอกลดน้อยลงแล้ว เขาจึงรู้สึกว่าสามารถนอนหลับอย่างสบายใจได้

ทว่าก่อนจะหลับ สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิ ล้วงเอาตำราไม้ไผ่ออกมา ขีดชื่อเด็กหนุ่มเผ่าเงือกทิ้ง แล้วมองไปยังชื่อบรรพชนสำนักวัชระบรรทัดแรกสุด จิตสังหารโหมลุกขึ้นในส่วนลึกดวงตา

“ใกล้แล้ว…”

ระหว่างที่พึมพำ สวี่ชิงนำถุงเก็บของที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกไม่มีโอกาสได้เปิดหยิบออกมา

เขาอยากรู้มากว่าในนี้ใส่อะไรไว้กันแน่

ดังนั้นจึงวางไว้บนมือแล้วชั่งน้ำหนักคร่าวๆ สวี่ชิงหรี่ตาลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลังวิญญาณในร่างกายระเบิดในพริบตา หลั่งทะลักเข้าไปในถุงเก็บของอย่างง่ายดายไม่ได้ยากเหมือนกับที่คิดไว้ เมื่อเจ้าของตายไป ตราประทับบนถุงเก็บของจึงสลายหายไปนานแล้ว

สิ่งนี้ทำให้พลังวิญญาณของสวี่ชิงถ่ายเข้าไปอย่างราบรื่น ตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ด้านใน

ครู่ต่อมา สวี่ชิงสูดปากโดยไม่รู้ตัว

“รวยขนาดนี้เชียว” สวี่ชิงพึมพำ แม้หินวิญญาณในถุงเก็บของจะมีเพียงร้อยกว่าก้อน แต่ตั๋ววิญญาณที่ตีตรายอดเขาลำดับหกกลับมีถึงสิบสองใบ

ทุกใบมีหินวิญญาณอยู่หนึ่งร้อยก้อน

เงินเยอะถึงเพียงนี้ ทำให้หัวใจสวี่ชิงเต้นระรัวขึ้นมา ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นทรัพย์สมบัติที่เขาไม่เคยได้ครอบครองมาก่อน

แต่เขาก็เข้าใจ ตั๋ววิญญาณยังนำไปแลกในช่วงนี้ไม่ได้เพื่อความปลอดภัย

ดังนั้นหลังจากที่สงบใจได้ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็ตรวจสอบสิ่งของอื่นๆ นอกจากหินวิญญาณแล้ว ในถุงเก็บของยังมีของวิเศษล้ำค่าอยู่อีกสี่ห้าชิ้น และเมื่อเขาโบกมือขวา ก็มีของวิเศษอักขระสองแผ่นปรากฏเบื้องหน้าเขา

แผ่นหนึ่งสีเหลือง อีกแผ่นหนึ่งสีน้ำเงิน

เมื่อยันต์อักขระสองแผ่นนี้ปรากฏขึ้นก็แผ่คลื่นที่ทำให้สวี่ชิงตกตะลึงออกมา ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองไปยังตราประทับด้านบนก็พบว่าเป็นของเกือบใหม่ทั้งหมด ใช้งานไปเพียงไม่กี่ครั้งอย่างเห็นได้ชัด

สวี่ชิงสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยืนยันได้ว่าของวิเศษอักขระสองแผ่นนี้ สีน้ำเงินมีไว้ป้องกัน ส่วนสีเหลืองเป็นประเภทโจมตี

‘ถ้าหากเจ้าปลานั่นเปิดถุงเก็บของได้…’ สวี่ชิงหรี่ตาลง เขานึกภาพออกว่า ถ้าหากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นขึ้นจริงๆ แม้ตนเองจะยังสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ แต่หากคิดจะสู้จบให้รวดเร็ว สิ่งที่ต้องจ่ายคงจะมากไม่ใช่น้อย

‘ดังนั้นเงายังสามารถเพิ่มการใช้งานที่หลากหลายได้อีก’ สวี่ชิงก้มหน้าลงมองเงาของตนเอง ส่วนลึกในดวงตามีประกายลึกลับพาดผ่าน หัวสมองปรากฏภาพตอนที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือกถูกเงาเข้าพัวพัน ในพริบตานั้นเงาก็เหมือนมีชีวิตขึ้นมา

‘คิดไปเองหรือ’ สวี่ชิงหรี่ตาลง มองเงาอย่างลึกล้ำ ยกมือขึ้นลูบจุดที่ฝังผลึกวารีสีม่วงไว้ตรงหน้าอก ในดวงตามีประกายเย็นวาบ เขาลูบคลำอยู่หลายครั้ง รู้ว่าผลึกวารีสีม่วงมีผลกับพันธนาการและการสะกดของเงา

เวลานี้ไม่ว่าจะมีชีวิตขึ้นมาหรือไม่ สวี่ชิงก็รู้สึกว่าลองสะกดเอาไว้ก่อนดีกว่า

ดังนั้นจึงลองถ่ายเทพลังวิญญาณในร่างกายเข้าไปในผลึกวารีสีม่วง แม้ขั้นตอนจะติดขัดอยู่บ้าง แต่เมื่อทดสอบอยู่หลายครั้งจึงสำเร็จ และพริบตาที่สำเร็จ เขาก็เปล่งแสงม่วงออกมาทั้งร่าง กลายเป็นพลังสะกดคำรามไปยังเงาบนพื้น

ตัวเงาบิดเบี้ยวฉับพลัน เบาบางลงไปเล็กน้อย

สวี่ชิงมองอย่างละเอียด รู้สึกพอใจ

เขาไม่อยากจะเสียเวลาไปคาดเดาว่าอีกฝ่ายมีชีวิตหรือไม่ ต่อให้ตนเองเดาผิด เงาไม่อาจมีชีวิตขึ้นมาได้ ก็เป็นแค่การสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากหน่อยเท่านั้น ดังนั้นจึงทดสอบอีกหลายครั้ง สะกดอย่างต่อเนื่องจึงหยุด

สุดท้ายก็หลุบตาลง เงยหน้าขึ้นเหมือนไม่มีอะไร เก็บของวิเศษอักขระทั้งสองแผ่น

จากนั้นเขาก็ตรวจสอบถุงเก็บของต่ออีกครั้ง สุดท้ายจึงล้วงเอาสิ่งของออกมาสองสิ่ง สิ่งแรกเป็นแผนที่ทะเลแผ่นหนึ่ง ด้านในทำตำแหน่งไว้ละเอียดยิบ ดูละเอียดครบถ้วนยิ่งกว่าแผนที่ทะเลที่ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดทำขึ้นอยู่มาก

กระทั่งตำแหน่งเกาะเงือกด้านในก็ยังระบุเอาไว้ หลังจากสวี่ชิงตรวจดู ก็รู้สึกว่ามูลค่าของชิ้นนี้ไม่ได้ด้อยกว่าของวิเศษอักขระเลย

ถึงอย่างไรสำหรับศิษย์ที่ฝึกบำเพ็ญในท้องทะเลแล้ว แผนที่ทะเลยิ่งถี่ถ้วนมากเท่าไร อันตรายก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น ผลประโยชน์ที่ได้รับก็มากขึ้น

หลายคราข้อมูลก็มีมูลค่ามากกว่าหินวิญญาณ

และสิ่งของชิ้นสุดท้าย เป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากกว่าของวิเศษอักขระอีก เพราะของชิ้นนี้…เขาเคยเห็นมาแล้ว ซ้ำยังมีอยู่อีกหนึ่งชิ้นด้วย

นั่นเป็นก้อนโลหะขนาดประมาณฝ่ามือ รูปร่างคล้ายกล่องแต่ไม่ใช่กล่อง

มองก้อนโลหะตรงหน้านี้แล้ว สวี่ชิงก็เปิดถุงเก็บของตนเองหยิบก้อนโลหะอีกก้อนหนึ่งออกมา

เขาเก็บก้อนโลหะได้จากเจ้าม้าในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ต่อมาเจ้าอ้วนก็โลภ คิดครอบครองของสิ่งนี้ จงใจเปิดโอกาสให้สวี่ชิงลงมือ แต่ก็ต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำไป

ตอนนี้เมื่อวางโลหะทั้งสองก้อนไว้ด้วยกัน สวี่ชิงสังเกตอย่างละเอียด ก็พบว่าไม่ว่าจะมองลักษณะของพวกมันอย่างไร ก็เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน

‘ตกลงเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่’ สวี่ชิงอยากรู้อยากเห็นมาก ดวงตาหรี่ลงช้าๆ

ช่วงนี้ร้านรวงต่างๆ ในท่าเรือเขาไปมาหมดแล้ว ก็ไม่เคยเห็นของเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยความละโมบของเจ้าอ้วนตอนนั้น หรือว่าถูกเก็บอยู่ในถุงเก็บของของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกในตอนนี้ ก็อธิบายได้ว่าเจ้าก้อนโลหะนี่ ไม่ได้ธรรมดาเหมือนที่เห็นภายนอก

‘ต้องหาโอกาส สืบหาประโยชน์ของสิ่งนี้เสียหน่อย’ หลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงก็เก็บของทั้งหมดเรียบร้อย มองไปยังท้องฟ้าด้านนอก เขานอนลงบนเตียงเล็ก หลับตาพักผ่อน

ใช้เวลาพักผ่อนไม่นานนัก ผ่านไปสองชั่วยาม เมื่อด้านนอกผ่านช่วงกลางวันไป สวี่ชิงก็ลืมตาขึ้นบิดขี้เกียจ จิตใจเขาโปร่งโล่ง สภาพร่างกายเองก็มีชีวิตชีวาขึ้น

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อการลงมือเมื่อคืนนี้ผ่านไปประกอบกับการผ่อนคลายของวันนี้ เขาก็รู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเคล็ดคีรีสมุทรของตนเอง…ห่างจากช่วงทะลวงขั้นอีกไม่ไกลแล้ว

“ขั้นเจ็ดเป็นระดับบริบูรณ์แล้ว ขั้นแปดจะเป็นอย่างไรกัน…ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้น ข้าจะมีพลังมากพอจะสังหารบรรพชนสำนักวัชระได้หรือยัง” ในดวงตาสวี่ชิงเผยความคาดหวัง เขารู้สึกว่าเคล็ดคีรีสมุทรของตนเองจากขั้นเจ็ดไปขั้นแปดใช้เวลายาวนานเหลือเกิน

ราวกับว่าเคล็ดคีรีสมุทรกำลังบ่มเพาะการเปลี่ยนสภาพบางอย่างไว้ จนมาถึงวันนี้เขาก็สัมผัสถึงกลิ่นอายจะทะลวงขั้นได้

ดังนั้นสวี่ชิงจึงนั่งลงขัดสมาธิ เปิดค่ายกลรวมวิญญาณของเรือเวท หลังจากสับเปลี่ยนหินวิญญาณ สองตาก็ปิดลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

เวลาไหลผ่านไป ช่วงเวลาบ่ายคล้อยก็ค่อยๆ ไหลผ่านพ้นไปขณะที่เขาดำดิ่งอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ จนกระทั่งม่านราตรีมาถึง จู่ๆ ร่างสวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็สั่นเทิ้ม เลือดเนื้อทั่วร่างปูดเกร็งขึ้นฉับพลัน ราวกับกำลังบีบตัว

ในร่างกายก็มีเสียงกร๊อบของกระดูกที่ยืดออก เส้นเลือดแต่ละเส้นปูดโปนขึ้นในพริบตา แผ่ลามไปทั่วทั้งร่างที่ผ่านการขัดเกลาของเขาราวกับมีงูเหลือมหลายตัวเลื้อยออกมา ดูแล้วน่าสยดสยองมาก แต่ขณะเดียวกันพลังเลือดลมที่แข็งแกร่งก็เพิ่มพูนขึ้นต่อเนื่องตามการเต้นของหัวใจ

ทุกครั้งที่หัวใจบีบรัด เลือดลมก็แข็งแกร่งขึ้นส่วนหนึ่ง พลังเลือดลมค่อยๆ เข้มข้นขึ้น ขณะที่สวี่ชิงรวบรวมเข้ามาต่อเนื่องจากรอบๆ เงาขุยบนศีรษะเขาก็ปรากฏตัวออกมา เงยหน้าคำรามไร้เสียง สีหน้าบิดเบี้ยว ราวกับว่าได้รับการทรมานอย่างแสนสาหัส เหมือนกำลังจะแปรสภาพ!

เมื่อคนทั่วไปฝึกบำเพ็ญเคล็ดคีรีสมุทรจนถึงขั้นบริบูรณ์ เงาขุยจึงจะเติบโตเต็มที่ แต่เงาขุยเคล็ดคีรีสมุทรขั้นที่เจ็ดของสวี่ชิงไปถึงระดับบริบูรณ์แล้ว แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังฝึกบำเพ็ญตามตำรา ไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และยิ่งไม่รู้ว่าหลังจากทะลวงขั้นแล้ว เคล็ดคีรีสมุทรขั้นแปด จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

แต่เขาสัมผัสได้ว่าพลังเลือดเนื้อก็ล้วนเติบโตขึ้นในเมืองเจ็ดเนตรโลหิตจากการที่ตนเองฝึกเคล็ดคีรีสมุทรช่วงนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะเห็นเมื่อบำเพ็ญไปจนถึงขั้นสูงสุดจะเป็นอย่างไร

ถึงอย่างไรการฝึกบำเพ็ญฝึกกายา ก็คือการสั่งสมความเร็วของกำลังกายและการฟื้นฟู

ในความเป็นจริง ต่อให้เป็นผู้ที่คิดค้นเคล็ดคีรีสมุทรขึ้นมา ก็คงจะไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนเช่นสวี่ชิงที่เงาถึงขั้นบริบูรณ์ล่วงหน้า ดังนั้นเกรงว่าต่อให้เป็นเขาก็คงจะไม่รู้เช่นเดียวกัน

ถึงอย่างไรวิชาระดับต่ำอย่างเคล็ดคีรีสมุทรมีไว้สำหรับคนที่มีไอพลังประหลาดอยู่ในร่างกาย ไม่เคยมีคนอย่างสวี่ชิงที่ในร่างกายไม่มีไอพลังประหลาดอยู่เลยมาฝึกเคล็ดคีรีสมุทร

และตอนนี้ร่างกายสวี่ชิงก็มีเส้นเอ็นปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ตามการไหลผ่านของเวลา ผิวหนังแต่ละชุ่นปรากฏรอยปริแตก ในเวลาเดียวกันเลือดสดมากมายหลั่งรินเหมือนเลือดลมที่เข้มข้นยิ่งกว่าจะระเบิดร่างกายของเขา!

ราวกับว่าร่างกายของสวี่ชิงเวลานี้กลายเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่เลือดลมด้านในปะทุจนมองเห็นรอยร้าว

แต่ตอนนี้เอง แสงสีม่วงก็เปล่งออกมาจากหน้าอกของสวี่ชิงก่อนล่วงหน้าในระหว่างที่ฝึกบำเพ็ญเป็นครั้งแรก แผ่ลามไปทั่วร่าง ในขณะทำการสยบเอาไว้อย่างสุดกำลังก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วไปด้วย

ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายของเขาผ่านการขัดเกลา ความเจ็บปวดรุนแรงที่ไม่อาจพรรณนาได้ก็กลายเป็นเสียงครืนครันกึกก้องไปทั่วทั้งร่างกายและจิตใจของสวี่ชิง

กะโหลกของเขากำลังปริแตก เลือดเนื้อของเขากำลังแหลกเละ ทั่วร่างของเขาเหมือนจะรับไม่ไหว แต่ขณะที่แสงผลึกวารีสีม่วงปกคลุมลงมาก็ฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

เลือดลมแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ต่อให้เป็นค่ายกลเรือก็ยังยากจะปิดบังไว้ได้ แผ่ขยายออกไป มองไกลๆ เหมือนเรือเวทที่สวี่ชิงอยู่ถูกอาบย้อมไปด้วยสีเลือด

เลือดลมที่เข้มข้นแผ่กระจายออกรอบด้านไม่หยุด ดึงดูดความสนใจของศิษย์ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า แต่ละคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด สวี่ชิงที่อยู่ด้านในเรือเวท ลืมตาสีเลือดทั้งสองขึ้นฉับพลัน

พริบตาที่เขาลืมตาขึ้น เสียงครืนครันสะเทือนฟ้า ท่วงทำนองที่แฝงไว้ด้วยอักษรตัวหนึ่ง ระเบิดราวสายอัสนีในหัวของสวี่ชิง เสียงแหวกฟ้าผ่าพสุธาทำให้สวี่ชิงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เงาขุยบนศีรษะเขาตอนนี้ก็ส่งเสียงคำรามอย่างแรงกล้า ร่างภาพมายาฉีกออก จนเผยให้เห็น…ร่างกำเนิดใหม่!

ร่างสูงใหญ่สีเขียว เผยปณิธานบ้าคลั่ง และแฝงความรู้สึกแปลกประหลาดยากจะหาสิ่งใดเปรียบ ผิวหนังที่เห็นภายนอกล้วนแห้งและแตก แผ่ลามไปเหมือนดินที่แตกระแหงชัดเจนออกมาหลายสาย ผมแห้งกระเซอะกระเซิงประบ่า ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งแฝงแววบ้าคลั่ง

ปากมีเขี้ยวยื่นออกมา และเขาสีดำมีประกายสายฟ้าพันรอบเป็นระลอกอีกเขาหนึ่งบนหัว เผยความโหดเหี้ยมและดุร้ายของมันออกมา ขณะที่เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ก็เหมือนจะฉีกแผ่นฟ้าเหนือศีรษะที่ปกคลุมทุกสรรพสิ่ง

สิ่งที่ปรากฏรอบๆ ตัวมันไม่ใช่ไอน้ำอีกต่อไป แต่เป็นเปลวไฟสีดำวูบหนึ่งราวกับการสลับขั้ว แผดเผาออกไปทั่วสารทิศคล้ายจะแผดเผาทุกสรรพสิ่ง

พูดให้ถูกต้องก็คือ นั่นไม่ใช่เปลวไฟ แต่เป็นสภาพหลังจากที่ดูดซับไอน้ำทั้งหมดของสรรพสิ่งออกจนแห้งผาก!

“ป๋า[1]!” สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกาย พึมพำเสียงต่ำ คำคือเสียงที่ลั่นก้องในสมองเมื่อครู่ และคือเลือดลมหลอมเป็นเงาหลังจากที่เคล็ดคีรีสมุทรทะลวงขั้นเดิม

ก้าวข้ามขุยขึ้นไปอีก!

เซียวย้ายขุนเขา ขุยเคลื่อนสมุทร ป๋าล้างบางประชาราษฎร์

และตอนนี้เอง พลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเขาก่อนหน้าอย่างมากวูบหนึ่งก็ระเบิดครืนครันขึ้นในร่างกายจากการเอื้อนเอ่ยของสวี่ชิง

สวี่ชิงเงยหน้า ลุกขึ้นยืนฉับพลัน พลังเลือดเนื้อที่ผ่านขัดเกลาภายใต้ร่างกายสูงยาวที่แฝงอยู่ก็ทะลวงพันธนาการเดิมในพริบตานี้ ไปจนถึงขอบเขตที่ก้าวข้ามระดับรวมปราณไปแล้ว!

เกราะป้องกันของเรือเวท ก็ยังต้านรับวินาทีนี้ไม่อยู่ ปริแตกสะเทือนเลือนลั่น และห้องเรือเองก็เสียหายไปไม่น้อยเลยเช่นกัน

ทำให้เหล่าศิษย์ด้านนอกในท่าเรือเจ็ดสิบเก้าที่ถูกดึงดูดความสนใจ ต่างเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างสิ้นเชิง ถลึงตาโต ใจเต้นระรัว ในหัวสมองส่งเสียงครืนครัน จับจ้องมองมาทางสวี่ชิง

สวี่ชิงนิ่งงัน เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าการทะลวงขั้นเคล็ดคีรีสมุทรครั้งนี้ของตนเอง จะเสียงดังมากขนาดนี้ อีกทั้ง…เขายังสัมผัสได้ ว่าคัมภีร์แปรสมุทรของตนเองเวลานี้ก็ระเบิดตามเคล็ดคีรีสมุทรขึ้นมา หมุนเวียนอยู่ในร่างกายราวกับกำลังจะทะลวงขั้นขึ้นมาด้วย

“ยินดีด้วยสหายสวี่ชิง!”

“ยินดีด้วยสหาย!”

ในความสงบนิ่งของสวี่ชิง ศิษย์รอบๆ เรือเวท ต่างหายใจหอบถี่ ประสานหมัดมาทางสวี่ชิงแล้วเอ่ยอวยพรขึ้น

เคารพนับถือ ก็เพราะพลัง

คำเรียกว่าสหาย ก็เช่นเดียวกัน

สามารถก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวระดับนี้ขณะฝึกบำเพ็ญ ยิ่งไปกว่านั้นเกราะคุ้มกันเรือเวทระดับหกก็ยังแตกสลาย ก็สามารถนึกถึงความแข็งแกร่งของเขาได้ โดยเฉพาะสวี่ชิงเวลานี้ในสายตาพวกเขา ความรุนแรงของการสยบด้วยพลานุภาพที่แผ่ออกมา ก็ทำให้ร่างกายจนถึงจิตวิญญาณพวกเขากำลังสะเทือนอย่างรุนแรง!

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า….การสยบด้วยพลานุภาพจากผู้แข็งแกร่ง!

[1]ป๋า (魃) หรือในชื่อเดิม ฮั่นป๋า (旱魃) ปีศาจในตำนานพื้นบ้านของจีน เชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดภัยแล้งขึ้น เรียกกันว่าผีภัยแล้ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท