ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 82 จากร้อยเสียงเป็นภูตผี

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 82 จากร้อยเสียงเป็นภูตผี

จ่ายก่อนช่วยทีหลัง เรื่องเช่นนี้สวี่ชิงทำไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด แม้ครั้งนี้จะเกินสมควร แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองทำผิด ช่วยเหลือไม่ใช่หน้าที่ ย่อมต้องจ่ายอยู่แล้ว กริยาท่าทางไม่ดีเช่นนี้เพิ่มราคาก็ถูกต้องแล้ว

ตอนนี้เขาบอกออกไป ศิษย์พี่ติงคล้ายครุ่นคิด ส่วนเจ้าจงเหิงกลับสีหน้าอึมครึม อยากจะพูดอะไรแต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป

หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องถากถางเสียดสีแน่ แต่ตอนนี้เขากลับลังเลเล็กน้อย

สวี่ชิงกวาดตามองคนพวกนี้ ดูออกว่าพวกเขาเหมือนไม่อยากจ่ายเงิน ก็ไม่พูดอะไรอีก ควบคุมเรือเวทจะจากไป แต่ในตอนนี้ ทางศิษย์พี่ติงก็มองใบหน้าด้านข้างสวี่ชิงแล้วพลันเอ่ยขึ้น

“ไม่มีปัญหา!”

นางพูดพลางสะบัดมือเอาเรือเวทของตัวเองออกมา มันกระแทกไปที่ผิวน้ำ ร่างกระโดดลงไปบนนั้น ควบคุมเข้าใกล้สวี่ชิง

เจ้าจงเหิงอึ้งตะลึง ค่อนข้างร้อนใจขึ้นมาทันที

“ศิษย์พี่ ท่าน…”

ศิษย์พี่ติงไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเจ้าจงเหิงแม้แต่น้อย เรือเวทของนางเหมือนใบหลิวใบหนึ่ง ในขณะเดียวกับที่สวยงามก็เต็มไปด้วยความคล่องแคล่วปราดเปรียว ตอนนี้เถาวัลย์รอบๆ ก็พันรัดทันทีจากที่เข้าใกล้มา อันตรายอยู่ต่อหน้าแล้ว

สวี่ชิงสะบัดมือ ลูกกลอนดำเม็ดหนึ่งก็ตกไปข้างหน้าเรือของศิษย์พี่ติง เถาวัลย์หลบหลีกไปในทันทีหลังจากที่ลูกกลอนดำร่วงลงมา ทำให้เรือของนางผ่านมาได้อย่างราบรื่น หลังจากที่แล่นมาทางสวี่ชิงตรงนี้แล้ว นางก็รีบเก็บเรือเวท กระโดดขึ้นมาบนเรือของเขา

เพราะมีการป้องกันอยู่ ดังนั้นทั้งตัวนางจึงยืนอยู่บนเกราะป้องกันได้ไม่มั่นคงนัก

สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองไปทางศิษย์พี่ติง

“ขอบคุณศิษย์น้องที่ช่วย ข้าชื่อติงเสวี่ย ข้าน่าจะอายุมากกว่าเจ้า เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ก็ได้ เรือเวทของข้าไม่เหมาะเดินเรือในพื้นที่นี้ ข้าให้หินวิญญาณเจ้าอีกยี่สิบก้อน ให้ข้าอยู่กับเจ้าในเขตพื้นที่นี้ชั่วระยะหนึ่งได้หรือไม่”

ศิษย์พี่ติงเดาลักษณะนิสัยของสวี่ชิงได้เลาๆ แล้ว ยิ้มหวานให้แล้วหยิบตั๋ววิญญาณของยอดเขาที่หกมูลค่าเท่ากับหินวิญญาณสี่สิบก้อนใบหนึ่งออกมา ส่งสัญญาณให้สวี่ชิงที่นอกเกราะป้องกัน

สวี่ชิงกวาดตามองตั๋ววิญญาณแวบหนึ่ง แล้วสำรวจพลังบำเพ็ญของศิษย์พี่ติงคนนี้ กวาดตามองคอของนาง แล้วจึงสลายม่านพลังเป็นร่องทางหนึ่งเปิดเกราะป้องกันให้ศิษย์พี่ติงลอยลงสู่กระดานเรือ จากนั้นก็ยกมือคว้าไปกลางอากาศ เอาตั๋ววิญญาณแผ่นนั้นมาตรวจดู

แน่ใจว่าเป็นของจริง เขาก็ไม่พูดอะไรอีก เก็บตั๋ววิญญาณแผ่นนี้ลงไปในกระเป๋าเสื้อ ควบคุมให้เรือเวทเริ่มเคลื่อนที่ เขาไม่กลัวอีกฝ่ายมีใจคิดไม่ซื่อกับเรือเวทของตัวเอง ในชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายมาถึงก็โดนพิษของเขาแล้ว

เพียงแต่พิษชนิดนี้ ต้องใช้พิษอีกชนิดหนึ่งของเขาเข้าผสมด้วยจึงจะออกฤทธิ์

ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำ สวี่ชิงที่อยู่ในเรือใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นร่างเหยียดตรง หล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์พี่ติงที่อยู่ข้างๆ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น งดงามหยาดเยิ้ม เรือนผมงามปลิวพลิ้วในสายลมทะเล คิ้วตาเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล ท่วงท่ากริยาเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีให้กับเจ้าจงเหิงเลย

และการพัดมาของลมทะเลก็นำเสียงอ่อนหวานของศิษย์พี่ติงที่อยู่บนเรือดังลอยมา

“ศิษย์น้อง เจ้าชื่ออะไรหรือ

“ศิษย์น้อง เรือเวทลำนี้ของเจ้าพิเศษมากๆ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“ศิษย์น้อง เจ้าอยู่สังกัดใดหรือ”

เจ้าจงเหิงเห็นภาพนี้ก็ร้อนใจทันที กว่าตัวเองนัดศิษย์พี่ติงออกมาได้ก็ลำบากลำบนเหลือเกิน แต่นางกลับไปขึ้นเรือคนอื่น นี่ทำให้เขากลัดกลุ้มกระวนกระวายนัก ตอนนี้กำลังกัดฟันกรอดๆ หยิบเอาของวิเศษอักขระสีแดงแผ่นหนึ่งออกมา

นี่เป็นของวิเศษอักขระ

เห็นสวี่ชิงและศิษย์พี่ติงใกล้จะจากไปแล้วเต็มที เจ้าจงเหิงสะกดความเจ็บปวดใจ ซัดของวิเศษอักขระลงสู่ผิวน้ำ ของวิเศษอักขระชิ้นนี้ลุกไหม้ทันที เกิดเป็นคลื่นน่าหวาดกลัวดังลอยไปทั่วทุกสารทิศ

เถาวัลย์รอบๆ เรือวิหคหงส์ถูกปกคลุมฉับพลัน ส่วนมากขาดสะบั้นเป็นส่วนๆ ในทันใด ส่วนที่เหลือก็หดไปอย่างรวดเร็ว

ฉวยจังหวะที่มันหดไป เจ้าจงเหิงตะโกนเสียงดัง

“ศิษย์พี่หญิงรอข้าด้วย”

พูดพลางบังคับเรือวิหคหงส์อย่างเต็มกำลัง ผลาญพลังอย่าไม่คิดเสียดายทำให้ความเร็วของเรือปะทุขึ้น พุ่งออกไปทันที คนสนิทติดตามที่อยู่ข้างหลังพวกนั้นต่างรีบร้องเสียงดังขอความช่วยเหลือ

“พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าบอกท่านปู่ข้าแล้ว อีกไม่นานสำนักก็จะมาช่วยพวกเจ้า” เจ้าจงเหิงไม่มีเวลาไปสนใจพวกเขา ทะยานไปอย่างรวดเร็ว

แต่เถาวัลย์ในพื้นที่นี้มีเยอะมากเหลือเกิน เรือของเขาจึงถูกพันรัดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ด้วยความรีบร้อน เจ้าจงเหิงจึงฝืนสะกดความเจ็บปวดใจ ใช้ของวิเศษอักขระโจมตีต่อไป

โจมตีไปด้วยไล่ตามไปด้วยมาตลอดทาง เถาวัลย์ถูกระเบิด เขาจึงค่อยๆ ดึงระยะห่างเข้ามาใกล้สวี่ชิงได้

และเสียงตูมตามข้างหลังในที่สุดก็ทำให้ความสนใจของศิษย์พี่ติงเบนไปจากตัวสวี่ชิง นางขมวดคิ้วงามมองไปข้างหลัง เพียงพริบตาก็เห็นเรือวิหคหงส์และเจ้าจงเหิง

มองการระเบิดโจมตีจากของวิเศษอักขระของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวของศิษย์พี่ติงก็ถลึงจ้อง แค่นเสียงหัวเราะขึ้นมา

“เจ้าจงเหิง เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะให้เจ้าตามมาด้วยอยู่แล้ว เป็นเจ้าที่กระตือรือร้นอยากจะพาข้าไปส่งที่หมู่เกาะปะการังตะวันตก ข้าบอกแล้วว่าไม่มาเส้นทางนี้ แต่เจ้ากลับรั้นอวดเก่ง ถูกขังอยู่ที่นี่ก็ช่างเถอะ แม้ข้าจะใจร้อนอยากจะเดินทางต่อ เข้าใจความอับจนปัญญาของเจ้า แต่เจ้ามีวิธีทำให้หลุดจากวิกฤต ก่อนนี้กลับไม่ใช้!”

เจ้าจงเหิงขมขื่น ตอนนี้ท่วงท่าอย่างตอนที่เพิ่งออกทะเลหายไปหมดสิ้นตั้งนานแล้ว รีบร้อนอธิบาย

“ศิษย์พี่หญิง ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว นี่…นี่เป็นของวิเศษที่ท่านปู่ให้ข้าไว้รักษาชีวิต เหลือไม่กี่ครั้งแล้ว”

ศิษย์พี่ติงแค่นเสียงขึ้นจมูก สะบัดหน้าไปไม่สนใจ

ในใจเจ้าจงเหิงยิ่งกระวนกระวาย ไม่กล้ากล่าวโทษศิษย์พี่ติง ดังนั้นมองเรือเวทของสวี่ชิงก็ยิ่งรู้สึกขัดตา

แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงจำต้องสะกดความโมโหลงไป ใช้ของวิเศษอักขระอีกสองสามครั้ง จวบจนมันแตกสลายไปแล้ว ในที่สุดเขาก็หลุดพ้นวิกฤต ไล่ตามเรือเวทของสวี่ชิงมาทัน

“ศิษย์พี่ ท่านกลับมาเถอะ ข้าสำนึกแล้ว…”

ศิษย์พี่ติงเหมือนไม่ได้ยิน มองใบหน้าด้านข้างของสวี่ชิงด้วยรอยยิ้มหวานหยด เอ่ยเสียงเบา

“ศิษย์น้อง เจ้าหิวหรือไม่ ที่ข้ามีขนมอยู่บ้าง” พูดแล้วนางก็หยิบกล่องใบเล็กออกมาจากถุงเก็บของ

สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ส่ายหน้า มองไปทางศิษย์พี่ติง

“ศิษย์พี่ติง ที่นี่พ้นจากเขตเถาวัลย์แล้ว โปรดลงจากเรือด้วย”

ได้ยินคำพูดของสวี่ชิง เจ้าจงเหิงกระดี๊กระด๊าทันที แอบพูดในใจว่าเจ้านี่นับว่ารู้งานดี ดังนั้นแล้วจึงมองไปทางศิษย์พี่ติงอย่างวาดหวัง

“ศิษย์น้อง เจ้าจะไปทางใดหรือ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไปทางเดียวกันก็ได้” ศิษย์พี่ติงพูดด้วยรอยยิ้มงดงามหวานหยดย้อย

เจ้าจงเหิงสีหน้าย่ำแย่ไปในทันที

สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

เห็นสวี่ชิงขมวดคิ้ว ดวงตาใสกระจ่างของศิษย์พี่ติงก็ไหววูบเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดลองดู

“ศิษย์น้อง สถานที่ที่ข้าจะไปคือหมู่เกาะปะการังตะวันตก ห่างจากที่นี่ไปอีกแค่ห้าวันเท่านั้น หากเจ้าไม่ได้ไปทางเดียวกันข้าจะลงเรือเดี๋ยวนี้ แต่หากไปทางเดียวกัน ข้ายินดีจ่ายเพิ่มอีกสองร้อยหินวิญญาณเป็นค่าเดินทาง ศิษย์น้องว่าดีหรือไม่”

ศิษย์พี่ติงพูดพลางหยิบตั๋ววิญญาณสองใบออกมา ดวงตางดงามจ้องสวี่ชิง

สวี่ชิงมองตั๋ววิญญาณ จิตใจหวั่นไหวมาก

เขาคิดไม่ถึงว่าหลังจากออกทะเลแล้วจะมีวันที่หาหินวิญญาณได้ง่ายๆ ขนาดนี้ด้วย

เขาจะไปเกาะกิ้งก่าทะเลที่ไกลที่สุดของหมู่เกาะปะการังตะวันตกย่อมไปทางเดียวกันอยู่แล้ว หากอีกฝ่ายอยากติดเรือไปด้วยโดยไม่จ่ายเงิน เขาย่อมไม่ยอม แต่หากจ่ายเพิ่มสองร้อยหินวิญญาณ…

สวี่ชิงหลังจากขบคิดแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุผลมากๆ

สองร้อยหินวิญญาณดูเหมือนน่าตกใจ แต่จะอย่างไรก็ขึ้นมาบนเรือของตนแล้ว ตนมีหน้าที่ที่ต้องคุ้มครอง นับว่าเป็นการรับภารกิจเฉพาะหน้าตามประเพณีของสำนัก

และทะเลอันตรายถึงเพียงนี้ ภารกิจยังเร่งด่วนอีกต่างหาก ดังนั้นจ่ายหินวิญญาณมากหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็พยักหน้า

รอยยิ้มบนใบหน้าของศิษย์พี่ติงยิ่งงดงามหวานหยดขึ้นไปอีก วางตั๋ววิญญาณไปที่มือสวี่ชิง ส่วนเจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ข้างๆ ตอนนี้สีหน้าจากย่ำแย่เปลี่ยนเป็นห่อเหี่ยว ตอนที่มองมาที่สวี่ชิง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา แต่ดวงตาก็อยากจะยิงลูกไฟออกมานักอย่างควบคุมไม่ได้

สวี่ชิงเมินเฉยสายตาของเจ้าจงเหิงไป ควบคุมเรือเวทเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว

ตลอดทางเขาอารมณ์ดีไม่เลวเลย คิดถึงเรื่องไปทางเดียวกันก็สามารถหาเงินได้สองร้อยหินวิญญาณแล้ว นี่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าคุ้มมาก สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยชินก็คือศิษย์พี่ติงพูดมากเหลือเกิน ถามนู่นถามนี่ เหมือนมีคำถามไม่รู้จักจบสิ้น ส่วนมากล้วนเป็นคำถามเกี่ยวกับเขา

ทั้งยังมีสายตาของนางที่มักจะจ้องมาที่ใบหน้าของตน นี่ทำให้สวี่ชิงรำคาญนัก ส่วนมากจึงเผชิญหน้าด้วยความเงียบนิ่ง

แต่เขายิ่งเงียบ ศิษย์พี่ติงกลับยิ่งกระตือรือร้น นี่ทำให้สวี่ชิงเร่งความเร็วขึ้นอย่างอดไม่ได้ อยากให้การเดินทางครั้งนี้จบลงเร็วๆ

ส่วนเจ้าจงเหิง อารมณ์ของเขาตลอดเส้นทางมานี้ใกล้จะระเบิดแล้วเต็มที ไฟในดวงตาและไฟในใจหลอมรวมคล้ายว่าจะแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงว่าครั้งนี้ตนพยายามอย่างหนัก กระทั่งว่าปู่ของตนออกหน้าคุยกับผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย ถึงได้โอกาสแสดงฝีมือและอยู่ด้วยกันเพียงลำพังครั้งนี้ ไม่คิดว่า…จะถูกศิษย์ล่างเขาปล้นชิงไป

นี่ทำให้ใจของเขาคลุ้มคลั่ง ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ความอัดอั้นมหาศาลในอกเหมือนจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ

“นังผู้หญิงคนนี้ เรือของข้าไม่ต้องจ่ายเงินไม่มานั่ง แต่จะจ่ายเงินไปนั่งเรือของไอ้แมงดานั่น นี่เห็นได้ชัดว่าชอบอีกฝ่ายแล้ว ตาบอดหรือไง ข้าเจ้าจงเหิงดีกว่าไอ้เด็กนั่นไม่รู้ต่อกี่เท่า!

“พูดถึงเรื่องหินวิญญาณ ข้ามีไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร พูดถึงฐานะ ข้าเป็นศิษย์หลัก พูดถึงเบื้องหลัง ปู่ข้าเป็นผู้อาวุโสยอดเขาที่เจ็ด เจ้าเด็กนี่จะมาสู้ข้าได้อย่างไร ขนเส้นหนึ่งบนร่างของข้าไหนเลยมันเทียบชั้นไม่ได้เลย!!

“มันมีอะไร นอกจากวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามตัวนั้นก็ไม่มีอะไรเลย คนไส้แห้งล่างเขาคนหนึ่ง ก็แค่หน้าตาหล่อไม่ใช่หรือไง หล่อกินได้หรือไง!!”

ความริษยาในใจเจ้าจงเหิงขึ้นลงเป็นระลอกๆ อย่างรุนแรงใต้แสงอาทิตย์อัสดง ยามเย็นหมุนจากไป

ทะเลยามพลบค่ำความรู้สึกลึกลับล้ำลึกยิ่งหนักหน่วง ที่ปลายขอบฟ้าไกลยังมีแสงพรายระยับยามเย็นสีแดงเผาไหม้สะท้อนอยู่บนคลื่นที่กระเพื่อมไหว อาบย้อมมันเหมือนเปลวไฟแผ่ลาม กะพริบวูบวาบ ซัดโหม คลื่นลูกหนึ่งสูงกว่าลูกหนึ่ง

จวบจนไฟบนท้องฟ้าค่อยๆ มอดดับลง เปลวเพลิงในทะเลค่อยๆ หมองหม่นไป ฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นดำมืด

มองไกลๆ ผิวทะเลมืดมิดส่องแสงระยิบระยับเป็นชั้นๆ ลมทะเลเบาลงเล็กน้อง เหมือนว่าทั่วทั้งฟ้าดินล้วนค่อยๆ สงบเป็นสุขลงในเสี้ยวขณะนี้

และตอนกลางคืนก็ไม่สามารถเดินเรือได้ ความอันตรายของมันมากกว่าตอนกลางวันมาก ดังนั้นตอนนี้สวี่ชิงจึงตัดสินใจจอดเรือ ด้านหนึ่งศิษย์พี่ติงที่นั่งอยู่ข้างๆ สวี่ชิงหยิบอาหารออกมา รอยยิ้มยังคงงดงามหวานหยดอย่างเคย แล้วยื่นไปให้สวี่ชิง

สวี่ชิงไม่ได้กิน หลังจากเอ่ยขอบคุณก็กลับเข้าไปในเรือ เปิดเกราะป้องกันชั้นใน เริ่มฝึกบำเพ็ญ

“ศิษย์น้องจะฝึกบำเพ็ญหรือ ข้าช่วยเจ้าคุ้มกัน” ศิษย์พี่ติงไม่สนใจความเย็นชาของสวี่ชิงเลย หลังจากยิ้มเอ่ยแล้วก็นั่งขัดสมาธินอกเรือห้องเรือจริงๆ

ภาพนี้ทำให้เจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์อยากจะคลั่งอีกรอบ แต่เห็นใบหน้างดงามของศิษย์พี่ติงเขาก็อดทนเอาไว้ ส่งเสียงเบาๆ มาจากเรือวิหคหงส์

“ศิษย์พี่หญิง ที่ข้ามีปลาทะเลอยู่นิดหน่อย พวกเรา…”

“ไม่สนใจ” ศิษย์พี่ติงเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ศิษย์พี่หญิง ข้า…”

“ไม่จำเป็น”

“ข้า…”

“กรุณาเงียบหน่อย อย่ารบกวนการฝึกบำเพ็ญของศิษย์น้อง” ศิษย์พี่ติงเงยหน้า มองเจ้าจงเหิงอย่างรำคาญแวบหนึ่ง

เจ้าจงเหิงหน้าเขียว กัดหันกรอดๆ จ้องห้องเรือที่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญเขม็ง ในใจคุ้มคลั่งสุดขีด แต่กลับจนปัญญา ทำได้เพียงแค่ไม่พอใจและนั่งสมาธิ

เวลาก็ผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ไม่นานนักก็มาถึงกลางดึก

ในขณะที่พวกสวี่ชิงสามคนนั่งสมาธิในม่านราตรี ใต้น้ำทะเลลึกที่ไม่มีใครรู้สึก มีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติอย่างหนึ่งค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ

เห็นเพียงในทะเล จุดแสงเป็นจุดๆ มารวมตัวกัน ค่อยๆ ก่อเป็นเงายะเยือกเป็นกลุ่ม แล้วลอยขึ้นเหนือผิวน้ำช้าๆ…เงายะเยือกเหล่านี้เหมือนเป็นผู้คนเดินขบวนออกมาจากทะเลต้องห้ามสีดำ ถักทอเป็นห้วงมายาที่ลึกลับลึกล้ำ

เพียงแต่ว่า จากการที่เงายะเยือกลอยขึ้นไปในอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นรูปร่างหน้าตาเหี้ยมเกรียมต่างๆ ไม่หยุด แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของผีร้าย มีคนที่จมน้ำตาย มีสัตว์ที่เน่าตาย ในเสี้ยวพริบตาต่อมา พวกเขาก็เปลี่ยนความเงียบสงบให้เป็นความโหยหวนวังเวง เสียงแหลมเล็กเขย่าขวัญเป็นระลอกๆ ดังขึ้นในอากาศ ดังไปทั่วทุกสารทิศ

เสียงนี้โหยหวนน่าเวทนาอย่างผิดปกติ ทำให้คนต้องขนหัวลุก

ทันใดนั้น ความฝันนี้…ก็กลายเป็นฝันร้าย!

พวกสวี่ชิงทั้งสามคนลืมตาขึ้นมาทันที ม่านตาเจ้าจงเหิงหดเล็ก ศิษย์พี่ติงสีหน้าเคร่งขรึม มือขวาแตะไปบนถุงเก็บของ

สวี่ชิงเดินออกมาจากห้องเรือ ดวงตาจ้องเพ่ง

กวาดสายตามองออกไป ผืนทะเลทั้งผืนในเสี้ยวพริบตาที่ม่านราตรีร่วงโรย ผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นมา เหมือนว่าได้รับคำสั่งเรียก บินไปที่ปลายขอบฟ้ามืดมิดอย่างบ้าคลั่ง

เป็นกลุ่มเป็นหมู่มืดฟ้ามัวดิน

มืดมนเย็นเยือก แปลกประหลาด

นี่คือ…ขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาล

สวี่ชิงเงยหน้า จ้องเพ่งทุกอย่าง มองผีร้ายแต่ละตนๆ พวกนั้นท่ามกลางเสียงโหยหวนหวีดแหลมลอยขึ้นฟ้า ในหัวของเขาก็มีคำบรรยายของขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลในบันทึกท้องสมุทรผุดขึ้นมา

“ในมหาสมุทรมีดนตรีประหลาด คนธรรมดาไม่ได้ยิน รับใช้ข้างเคียงวิหคทองชื่อหยาง ร้อยเสียงเป็นท่วงทำนอง บรรเลงบทเพลงสวรรค์รับจันทร์”

“องค์เทพชื่นชอบมันนัก หรี่ตาจ้องมองไป ทะเลโอฬารเป็นพื้นที่ต้องห้าม จากร้อยเสียงเป็นภูตผี

“ศิษย์สำนักข้าหากเมื่อได้พบ อย่าขยับ อย่าแตะ อย่ารบกวน…”

ประโยคที่บรรยายในบันทึกท้องสมุทรเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง

ในเรื่องเล่าบอกลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตทุกคนที่จะออกทะเลว่า มหาสมุทรที่โอบล้อมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเอาไว้เดิมมีชื่อว่าทะเลโอฬาร

ในอดีต ก่อนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้ายังไม่มาเยือน ทะเลโอฬารแห่งนี้จะมีท่วงทำนองน่าอัศจรรย์ดังก้องกังวาน เสียงดนตรีนี้น่าอัศจรรย์นัก คนทั่วไปต่อให้ออกทะเลก็ไม่มีทางได้ยิน

มีเพียงผู้บำเพ็ญเท่านั้นที่จะพอได้ยินเสียงดนตรีนี้ลอยแว่วมาบ้างในทะเล

และที่มาที่เกี่ยวกับเสียงดนตรีนี้ ในเรื่องเล่าก็มีแนะนำเอาไว้

ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าไม่ใช่ดวงดารา แต่เป็นเทพวิหคนกสีทองมหึมาตัวหนึ่ง ชื่อว่าชื่อหยาง ทุกวันตอนเช้าก็จะบินออกมาจากวังที่อยู่ในจุดลึกของทะเลโอฬารแล้วบินกลับในยามเย็นซ้ำๆ เป็นกิจวัตร เหมือนเป็นหน้าที่ไม่เคยหยุด

และหลังจากที่กลับมาที่วังในยามกลางคืนทุกวัน ก็จะมีนักดนตรีบรรเลงเพลงให้ ในท่วงทำนองนี้มีเสียงหลายร้อยเสียง ก่อเป็นห้วงมายา ชื่อของท่วงทำนองเพลงนี้คือบทเพลงสวรรค์รับจันทร์

ทุกครั้งที่บรรเลงท่วงทำนองนี้ จันทร์กระจ่างก็จะลอยขึ้นฟ้า ลาดตระเวนฟ้าดินแทนชื่อหยาง

จวบจนวันหนึ่ง เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน องค์ท่านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าในโลก เมื่อได้ยินท่วงทำนองเพลงนี้ก็ชมชอบนัก ดังนั้นจึงหรี่ตามองไป

เสี้ยวพริบตาที่สายตาจับจ้อง ทะเลโอฬารเดือดพล่าน ความเข้มข้นเหนือจินตนาการจากไอพลังประหลาดปะทุ ทำให้ทะเลโอฬารกลายเป็นทะเลต้องห้ามที่ไอพลังประหลาดตลบอวล

เสียงดนตรีหลายร้อยเสียงที่เกิดเป็นท่วงทำนองเพลงก็ถูกโจมตีในเสี้ยวพริบตานี้ เสียงกลายเป็นความมืดมิด เป็นเหมือนกับความตาย กลายเป็นผี

ดังนั้นแล้วจึงมีขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาล

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท