ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 83 เงามังกรทะเลลึก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 83 เงามังกรทะเลลึก

ในเรื่องเล่าบอกลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิต หากออกทะเลแล้วพบภาพแปลกประหลาดนี้ จงอย่าขยับ อย่าไปแตะ และอย่าไปรบกวนอย่างยิ่ง

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

เขานั่งขัดสมาธิในเรือเวท เงยหน้ามองผีร้ายหน้าตาเหี้ยมเกรียมดุร้ายจำนวนมหาศาลรอบกายกรีดร้องคำรามเสียงแหลมบาดหูเป็นระลอกๆ ลอยขึ้นท้องฟ้าไปเป็นกลุ่มตามบันทึกในโถงค้นคว้าท้องสมุทรที่ผุดขึ้นในหัว

‘เรื่องสำคัญที่บันทึกเอาไว้ในบันทึกท้องสมุทรไม่ใช่แก่นของเรื่องนี้’

สวี่ชิงมองท้องฟ้าพลางเอ่ยพึมพำในใจท่ามกลางความมืดเย็นเยือกของฟ้าดินรอบๆ

‘แต่ว่า…การเล่าพรรณนาต่อทุกสิ่งนี้กลับใช้คำว่าเรื่องเล่าไม่ใช่คำว่าตำนาน

‘เทียบกับตำนานแล้ว คำว่าเรื่องเล่านี้มักจะแทนภาพฉากหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก จ้องมองรอบๆ

ผีร้ายมากมายนับไม่ถ้วนลอยไปทั่วฟ้าดิน ในขณะที่ลอยขึ้นลงไม่หยุด เสียงก็ยิ่งโหยหวนขึ้น ภาพนี้มากพอจะทำให้คนที่ขี้กลัวขวัญผวา หวาดกลัวตัวสั่นงันงก

แต่สำหรับสวี่ชิง เขาชินแล้ว

เขาเคยเห็นดวงตาของเทพเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แห่งความตายที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและสิ่งแปลกประหลาดกว่าครึ่งเดือน ตั้งแต่เด็กๆ ก็ยิ่งเคยเห็นความเป็นความตายในถ้ำยาจกที่ความเป็นมนุษย์มืดมนมามากมายเหลือเกิน

ทั้งยังผ่านการลับคมและพิธีต้อนรับจากป่าพื้นที่ต้องห้ามและสำนักเจ็ดเนตรโลหิต สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่จะพรากชีวิตไปได้ไม่ใช่แค่สิ่งแปลกประหลาดพวกนี้ แต่อะไรในโลกก็ตามแต่ล้วนทำให้คนตายได้ทั้งนั้น

ดังนั้น เหตุการณ์ระดับนี้สำหรับคนอื่นอาจจะสร้างความหวาดกลัวให้ได้ แต่สำหรับสวี่ชิง เขาสงบนิ่งมาก

สวี่ชิงในราตรีมืดมิดเหมือนจะได้ยินท่วงทำนองเพลงแว่วๆ จากในเสียงกรีดร้องโหยหวนของผีร้ายที่ลอยขึ้นฟ้าเหล่านี้ท่ามกลางการจ้องเพ่งที่สงบนิ่ง

มองไกลๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเองหรือเรือเวทลำนี้ ล้วนแต่เล็กจ้อยไร้ค่าในทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้ ในขณะที่ลอยเคว้งคว้าง ก็ค่อยๆ ถูกขบวนร้อยภูตแห่งรัตติกาลปกคลุมจนมิด

มีเพียงแว่วเสียงทำนองเพลงที่ดังอยู่ข้างหูที่ชัดขึ้นเรื่อยๆ นานไม่หายไป…

ร้อยภูตเดินทางยามวิกาล ร้อยภูตร่ายระบำยามราตรี ร้อยภูตบรรเลงเพลงยามรัตติกาล

คืนนี้ เวลาค่อยๆ ไหลไปท่ามกลางความตื่นกลัวของเจ้าจงเหิง ท่ามกลางการตั้งใจฟังของสวี่ชิง ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้ในตัวสวี่ชิงของศิษย์พี่ติง

ท่วงทำนองแห่งรัตติกาลเลือนหายไปจากการมาเยือนของรุ่งอรุณ สวี่ชิงลืมตาขึ้น ในหัวยังก้องไปด้วยเสียงอันแผ่วเบาของแว่วเสียงท่วงทำนองเพลง

สายตาของศิษย์พี่ติงจับจ้องที่ร่างของสวี่ชิง ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์น้องสวี่ เจ้าตั้งใจฟังทั้งคืนเลยหรือ ได้ยินอะไรบ้างหรือไม่”

สวี่ชิงไม่สนใจ ไม่ค่อยชอบถูกคนรบกวนในเวลาเช่นนี้ ดวงตาของเขาไม่กะพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว ยังคงจมอยู่ในแว่วเสียงทำนองเพลงที่แผ่วเบาจนไม่อาจได้ยินในหัว

นี่ทำให้ศิษย์พี่ติงสงสัยมากขึ้นไปอีก ดังนั้นนางจึงเมียงๆ มองๆ สวี่ชิง มือขวาแตะไปที่ถุงเก็บของ กล่องหยกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในทันใด แล้วยื่นมันออกไป

“ศิษย์น้องสวี่ ในนี้มีลูกกลอนใสกระจ่างเม็ดหนึ่ง ประสิทธิภาพในการหล่อเลี้ยงจิตใจและวิญญาณดีมาก ข้าให้ เจ้าบอกคำตอบให้ข้ารู้ดีหรือไม่”

เจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ดวงตาถลึงเบิกโพลงทันที ลมหายใจหอบถี่ เกือบจะสะกดไฟในดวงตาเอาไว้ไม่อยู่ ลูกกลอนเม็ดนี้เป็นของกำนัลที่เขามอบให้ศิษย์พี่ติงตอนเห็นสีหน้าของนางหงุดหงิดรำคาญ…

ตอนนี้สวี่ชิงรำคาญ ศิษย์พี่ติงก็ให้ของกำนัลเหมือนกัน…

ภาพนี้ทำให้จิตใจของเขาคุ้มคลั่งแล้วโดยสมบูรณ์

“ลูกกลอนใสกระจ่างหรือ”

ความสนใจของสวี่ชิงถูกดึงดูดไปตามสัญชาตญาณ เขารู้จักลูกกลอนใสกระจ่าง และรู้ว่าราคาของลูกกลอนนี้ไม่ธรรมดาเลย มีจำนวนไม่มาก

ดังนั้นจึงแปลกใจเล็กน้อย หันกลับมารับกล่องหยกแล้วเปิดออกดู หลังจากดูและตรวจสอบพบว่าไม่มีปัญหา เขาก็เก็บมันลงไปในกระเป๋าเสื้อ

เห็นสวี่ชิงเก็บมันลงไป ศิษย์พี่ติงดีใจมาก ยิ้มตาหยีมองสวี่ชิง

“ศิษย์น้องสวี่ เจ้าบอกข้าเถอะ ข้ารู้ว่าในบันทึกสมุทรบอกไว้ว่าคนที่ได้ยินท่วงทำนองร้อยภูตมีไม่มาก มีเพียงผู้ที่โสตสัมผัสเฉียบคมเท่านั้นถึงจะได้ยิน”

สวี่ชิงพยักหน้า ดวงตาฉายแววย้อนระลึกความคิด

“ข้าได้ยินเสียงสอนสั่งของอาจารย์ในยามที่สอนเรื่องต้นไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ให้กับข้า”

“ศิษย์น้องสวี่เจ้ารู้เรื่องต้นไม้ด้วยหรือนี่ ช่างเก่งกาจนัก” ศิษย์พี่ติงใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส ส่วนเจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ใบหน้ากลับฉายแววดูถูก เบ้ปาก เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ใครขี้โม้ไม่เป็นบ้าง!”

ศิษย์พี่ติงไม่สนใจเจ้าจงเหิงที่กำลังอิจฉาหึงหวงอยู่ นางถามเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอยู่ข้างๆ สวี่ชิงอย่างกระตือรือร้น

สวี่ชิงเห็นแก่ลูกกลอนใสกระจ่าง แม้จะรู้สึกรำคาญแต่ก็ฝืนตอบไปหลายประโยค

ตลอดเส้นทางในการเดินทางต่อไปนั้นเห็นได้ชัดว่าเจ้าจงเหิงยิ่งร้อนรนใจขึ้นไปอีก เพื่อที่จะดึงให้ศิษย์พี่ติงกลับมาหาตัวเองก็เริ่มประจบประแจงต่างๆ นานา มอบของกำนัลให้อยู่เรื่อยๆ

เพียงแต่ศิษย์พี่ติงปฏิเสธด้วยสีหน้าเย็นชา ฝืนรับเอาไว้บ้างเมื่อจนปัญญาจริงๆ แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะย้ายเรือ อยู่บนเรือของสวี่ชิงเดี๋ยวๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะราวกระดิ่งเงินมา นี่ทำให้ไฟร้ายเผาไหม้อวัยวะภายในของเจ้าจงเหิง

โดยเฉพาะระหว่างการเดินทางหลายวันต่อจากนี้ เสียงหัวเราะของศิษย์พี่ติงมากกว่ายามที่เจอเขาในหนึ่งปีเสียอีก กระทั่งว่าหลายๆ ครั้งเขาเห็นนางล้วนเป็นฝ่ายกระตือรือร้นหาหัวข้อสนทนาคุยกับสวี่ชิง ถามเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้สมุนไพร แต่เจ้าจงเหิงรู้ดีว่า โดยปกติติงเสวี่ยแล้วไม่สนใจเรื่องสมุนไพรเลยแม้แต่น้อย

และหากสวี่ชิงไม่เอ่ยปากตอบ นางก็จะมอบของกำนัลให้เป็นค่าถาม และของกำนัลพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขามอบให้นาง

ภาพนี้ทำให้หลายครั้งเจ้าจงเหิงเหมือนเห็นภาพลวงตา เหมือนว่าทุกอย่างนี้ช่างคุ้นเหลือเกิน ตัวเองกับศิษย์พี่ติง เหมือนว่า…สถานการณ์จะคล้ายๆ กัน

การค้นพบนี้ทำให้เจ้าจงเหิงเศร้าโศกสลดใจเหลือเกิน แต่จะให้ยอมแพ้เขาก็รู้สึกเจ็บใจ ทำได้แค่ฝืนเรียกกำลังใจ ลองพยายามแทรกเข้าไป อยากจะรักษาจังหวะก้าวให้เท่ากัน

กระทั่งว่าเพื่อดึงดูดความสนใจจากศิษย์พี่ติง เจ้าจงเหิงถึงขนาดว่าระเบิดพลังบำเพ็ญจับอสูรทะเลนานาชนิด เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายลองชิม และวิธีนี้ก็พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ นี่ทำให้หัวใจของเจ้าจงเหิงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

จวบจนเที่ยงวันของวันที่สาม ในขณะที่เรือเวทของสวี่ชิงและเรือวิหคหงส์กำลังเคลื่อนไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแหลมสูงดังมาจากฟ้า

สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิบนเรือเวทลืมตามองขึ้นไป ก็เห็นบนท้องฟ้ามีนกทะเลบรรพกาลตัวหนึ่งกำลังบินวน ปีกทั้งสองข้างที่มีขนาดมหึมาและเรียวยาวมีขนาดถึงสองจั้งกว่าๆ ตัวสีครามมีจุดเปื้อนโคลนนิดๆ สิ่งที่ดึงความสนใจของคนมากที่สุดก็คือจะงอยปากที่น่าหวาดกลัวของมันที่ราวกับคีมเหล็กขนาดยักษ์สองอัน สามารถจินตนาการได้ถึงความน่ากลัวจากแรงกัดของมันได้เลย

และทะเลในตอนนี้กลับคลื่นลมสงบ นิ่งเงียบประดุจกระจกสีดำบานใหญ่มหึมาบานหนึ่ง มองออกไปไกลๆ ก็จะเห็นนกทะเลปรากฏตัวเพิ่มขึ้นบนท้องฟ้า

นกทะเลบรรพกาลเป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น ที่ไกลๆ ยังเห็นจุดดำเล็กละเอียดมากมาย นั่นเป็นนกทะเลประเภทต่างๆ กำลังล่าเหยื่อในเวลากลางวัน

ตอนนี้ นกทะเลบรรพกาลที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าสูงตัวนี้คล้ายว่าจะมองพวกสวี่ชิงเป็นเหยื่อ จึงไล่ตามมา แต่เหมือนว่ามันจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ดังนั้นหลังจากที่บินวนอยู่สามสี่รอบก็บินจากไป

สวี่ชิงเงยหน้ามองนกทะเลบรรพกาลที่อยู่บนฟ้า แล้วก้มหน้ามองผิวน้ำที่นิ่งสงบ ในดวงตามีประกายปรากฏวูบขึ้นมา ไม่ไปสนใจ

แต่ในดวงตาของเจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์กลับฉายประกายยินดี ยิ้มพลางตะโกนไปหาศิษย์พี่ติงที่สังเกตเห็นภาพฉากนี้บนท้องฟ้า

“ศิษย์พี่ติง ในบันทึกท้องสมุทรเหมือนจะบอกไว้ว่านกทะเลบรรพกาลนี้รสชาติไม่เลวเลย ข้าจะจัดการเอามาให้ท่าน กลางวันนี้พวกเราจะกินมันกัน”

“ศิษย์น้องสวี่ กลางวันนี้เจ้าอยากกินนกทะเลบรรพกาลหรือไม่” ศิษย์พี่ติงยืนขึ้น มองนกทะเลบรรพกาลที่อยู่บนท้องฟ้าพลางยิ้มหวานมาให้สวี่ชิง

สำหรับศิษย์พี่ติง สวี่ชิงก็พอจะมีความรู้สึกดีๆ ด้วยบ้าง ความอยากรู้อยากเรียนของอีกฝ่าย ทำให้เขาคิดถึงตัวเองเมื่อวันวาน แม้คำถามเกี่ยวกับความรู้เรื่องต้นไม้สมุนไพรของอีกฝ่ายจะเยอะ แต่ก็ล้วนจ่ายค่าตอบแทน ราคาของวัตถุที่จ่ายมาเกือบจะสองร้อยหินวิญญาณแล้ว

ในขณะเดียวกันสวี่ชิงก็ยิ่งเข้าใจในตัวศิษย์หลักของยอดเขาที่เจ็ดสองคนข้างหน้านี้มากยิ่งขึ้นจากการพูดคุยในหลายวันมานี้ แต่เขาไม่มีทางประมาทแล้วยอมรับศิษย์หลักทั้งหมดเพราะพฤติกรรมของสองคนนี้อย่างเด็ดขาด

ศิษย์หลักก็เป็นคนเหมือนกัน และขอเพียงเป็นคนก็ไม่มีทางที่จะมีเพียงนิสัยเดียวเหมือนกันหมด มีคนฉลาด มีคนโง่ มีคนที่ระมัดระวังรอบคอบ มีคนที่บุ่มบ่ามวู่วาม

ดังนั้นในเหล่าศิษย์หลัก มีคนบริสุทธิ์ ก็ต้องมีคนสวมชุดคลุมยาวสีเทาที่เดินออกมาจากสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายจากล่างเขาที่รังสีอำมหิตแผ่ซ่าน สวี่ชิงรู้สึกว่าเพราะตัวเองได้สัมผัสกับศิษย์หลักน้อยมาก ไม่ได้เห็นก็เท่านั้น

และความจริงแล้วเจ้าจงเหิงก็ไม่ได้เลวร้าย เขาแค่โง่เง่าเท่านั้น เหมือนกับคำวิจารณ์ของนายกองที่บอกว่าเป็นคนไม่เอาไหน

ศิษย์พี่ติงก็ไม่โง่ นางก็แค่ถูกปกป้องเอาไว้ดีมากเกินไปก็เท่านั้น ไม่ค่อยเข้ากับโลกาวินาศ แต่เป็นเพราะเช่นนั้นถึงได้ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเบื้องหลังนางนั้นยิ่งใหญ่มาก

จุดนี้สวี่ชิงก็สามารถพิสูจน์ได้จากท่าทีของเจ้าจงเหิง

โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงในตอนขบวนร้อยภูตแห่งรัติกาลเมื่อก่อนหน้านี้ มือของอีกฝ่ายอยู่ในถุงเก็บของตลอด สวี่ชิงสามารถยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องมีวิธีรักษาชีวิตที่น่าตกใจอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ใหญ่ของนางจึงวางใจให้นางเดินทางออกทะเล

ดังนั้นสวี่ชิงจึงเอ่ยเตือนขึ้นประโยคหนึ่ง

“ทะเลสงบเกินไป ไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าใดนัก”

“ไอ้พวกขี้ขลาด!” เจ้าจงเหิงที่อยู่บนเรือวิหคหงส์ได้ยินก็แค่นเสียงขึ้นจมูก สองมือยกขึ้นสะบัด จะสำแดงเคล็ดวิชาจับนกทะเลบรรพกาล

ในตอนนี้เอง บนท้องฟ้านกทะเลบรรพกาลที่เดิมที่จะจากไปก็เหมือนสัมผัสได้ถึงแผนการของเจ้าจงเหิง ดังนั้นมันจึงทำการโจมตี หลังจากบินวนรอบหนึ่งบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนทิศทาง ไม่ยอมจากไป แต่จู่ๆ กลับเพิ่มความเร็ว พุ่งเฉียงมาข้างหลังเรือเวทของพวกเขาสามคนประดุจดาวตกที่พุ่งลงมาจากฟ้า

มองไกลๆ กระแสที่เกิดจากร่างของมันแหวกท้องฟ้ามาเกิดเป็นคลื่นกระแทกเป็นระลอกๆ เห็นได้ถึงความเร็วที่น่ากลัว

“มาได้จังหวะเลย” เจ้าจงเหิงหัวเราะร่า ร่างเพียงไหววูบก็ทะยานตัวไปจากเรือไปอยู่กลางอากาศแล้ว กำลังจะลงมือ

สวี่ชิงกลับสีหน้าเปลี่ยนไป สัมผัสอะไรได้ ลุกขึ้นมองไปยังผิวทะเลข้างหลังเรือ เห็นเพียงบริเวณหลายสิบจั้งตรงนั้น มีคลื่นซัดโหมรุนแรงตามการเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วของนกทะเลบรรพกาลที่อยู่บนฟ้า

เหมือนว่าใต้ทะเลมีตัวอะไรอยู่ กำลังเข้ามาใกล้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว!

ประกายเย็นเยือกในดวงตาสวี่ชิงฉายวูบ เขาประสานปางมืออย่างรวดเร็ว เรือเวทของเขาก็มีเกราะป้องกันปรากฏขึ้นในเสี้ยวพริบตา

และในเสี้ยวพริบตาที่เกราะป้องกันปรากฏขึ้น เขาก็พลันมองเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ข้างหลังเรือเวทจากใต้ทะเลมาถึงในเสี้ยวพริบตา แล้วพลันพุ่งผ่านผิวน้ำด้วยความเร็วที่น่าตกใจผ่านวาฬบรรพกาลของตัวเอง

ซ่า!

ผิวน้ำข้างหลังก็ระเบิดออกเป็นบริเวณร้อยจั้งท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง

หัวขนาดมหึมาราวมังกร ราวจระเข้ ทั่วทั้งตัวดำมะเมื่อมเต็มไปด้วยเกล็ด มาพร้อมกับความเหี้ยมโหดและดุร้ายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแหวกทะเลออกมา

กลิ่นคาวตลบฟุ้งไปทั่วทันที คลื่นทะเลยิ่งซัดโหมรุนแรง หัวนี้อ้าปากมหึมา กลืนกินนกทะเลบรรพกาลที่มาถึงลงไปทันที!

นกทะเลบรรพกาลดูเหมือนตัวใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับปากมหึมาที่อ้ากว้างปากนี้ก็เหมือนกับของว่างชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง มันถูกปากมหึมาของมังกรจระเข้ตัวนี้กลืนลงไปทั้งตัวในเสี้ยวพริบตา แล้วหัวนี้ก็ทิ้งตัวลงไปในทะเลอีกครั้งท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

คลื่นที่เกิดขึ้นซัดโหมท่วมฟ้า แผ่ออกกว้าง ส่งเสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้เรือของสวี่ชิงและเรือวิหคหงส์ของเจ้าจงเหิงเหมือนกับใบไม้สองใบในมหาสมุทร ถูกซัดหอบม้วนอย่างไม่อาจควบคุมได้ เพียงแต่อย่างหน้าเรียบร้อยดี อย่างหลังเกือบจะสูญเสียการควบคุมแล้วเต็มที

สีหน้าของเจ้าจงเหิงเปลี่ยนไปทันที ในสีหน้าฉายความตื่นกลัวออกมา

เขาในตอนนี้ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว ดีที่เขาเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่เช่นนั้น หากเมื่อครู่นี้เข้าไปใกล้นกทะเลบรรพกาล เกรงว่าสิ่งที่ถูกกลืนกินลงไปจะไม่ใช่แค่นกตัวนั้นเท่านั้นแล้ว

ความหวาดกลัวรุนแรงที่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตายนำมาให้ ทำให้เขาที่ตัวเปียกโชกจากน้ำทะเลที่ซัดขึ้นมาใบหน้าซีดเผือด ถอยหลังกลับไปยังเรือวิหคหงส์ด้วยความเร็วเต็มกำลัง จนสองเท้าแตะไปบนกระดานเรือแล้ว ตัวของเขาก็ยังคงสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุมได้

เหมือนกลัวว่าหากถอยช้า ผิวทะเลข้างล่างจะมีปากใหญ่น่ากลัวปากนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ความสามารถพื้นฐานในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดก็ทำให้เขาควบคุมเรือเวทไปตามสัญชาตญาณ ทำให้เรือเวทของเขาค่อยๆ ฟื้นฟูการควบคุมขึ้นมา

“นั่นมัน…อสูรคอยาวบรรพกาล ศิษย์พี่ติงท่านรีบมาหาข้าทางนี้เร็วเข้า พวกเราต้องออกไปจากพื้นที่บริเวณนี้เดี๋ยวนี้!”

เจ้าจงเหิงยืนอยู่บนเรือวิหคหงส์ที่โคลงเคลงท่ามกลางคลื่นโหมกระหน่ำ ควบคุมเรือเวทพลางส่งเสียงอย่างร้อนรนไปด้วย

“หุบปาก หากไม่ใช่เจ้าที่ลงมืออย่างโง่เขลายั่วยุนกทะเลบรรพกาล มันก็บินจากไปแล้ว จะมาโจมตีได้อย่างไร! ในบันทึกท้องสมุทรมีบันทึกเอาไว้ว่า นกทะเลบรรพกาลเป็นอาหารที่อสูรคอยาวบรรพกาลชอบที่สุด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอสูรคอยาวบรรพกาลถูกนกทะเลบรรพกาลที่อยู่บนท้องฟ้าดึงดูดมา หากไม่ใช่เจ้าลงมือซี้ซั้ว อสูรคอยาวบรรพกาลจะต้องตามมันจากไปไกลแล้ว”

ศิษย์พี่ติงสีหน้าย่ำแย่ เป็นเพราะสำหรับลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดแล้ว แม้ในบรรดานักล่าในทะเลต้องห้าม ถึงอสูรคอยาวบรรพกาลจะไม่ใช่พวกที่แข็งแกร่งที่สุดพวกนั้น แต่สามารถมีชีวิตอยู่ในทะเลต้องห้ามที่เต็มไปด้วยไอพลังประหลาด ก็เป็นพวกที่ดุร้ายเหี้ยมโหดเช่นกัน อีกทั้งทุกตัวล้วนยากที่จะใช้ความแข็งแกร่งหรืออ่อนของพลังบำเพ็ญไปตัดสิน

จะอย่างไร ร่างมหึมาของมันก็มีข้อได้เปรียบ นอกเสียจากว่ากำลังรบระหว่างทั้งสองฝ่ายจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสชนะส่วนมากจะตกเป็นของมัน

เจ้าจงเหิงอยากจะแก้ตัว แต่อ้าปากแล้วกลับพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงตอบกลับไปอย่างขมขื่น

“ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวมันก็ไปแล้ว…”

ทักษะของศิษย์พี่ติงเห็นได้ชัดว่าดีกว่าเจ้าจงเหิงมาก ตอนนี้แม้จิตใจจะหวั่นไหว แต่นางก็ยังโคจรพลังบำเพ็ญทั้งร่าง อีกทั้งยังหยิบกระบี่ยาวสีครามออกมา เตรียมพร้อมที่จะลงมือทุกเวลา

ในขณะเดียวกันมือขวาก็วางอยู่บนถุงเก็บของ เหมือนว่าจะหยิบเอาไพ่ตายออกมาได้ทุกเวลา มองไปทางทะเลอย่างระแวดระวัง

เทียบกับพวกเขาสองคน สวี่ชิงนิ่งสุขุมมาก ก่อนหน้านี้เขาก็สังเกตแล้วว่าทะเลผืนนี้ไม่ชอบมาพากล ดังนั้นจึงสร้างเกราะป้องกันเรือเวทเอาไว้ก่อนล่วงหน้า

ตอนนี้คลื่นซัดถาโถม คลื่นที่คำรามกระหน่ำมาราวกับมือยักษ์โจมตีเรือเวทของสวี่ชิงอย่างรุนแรง ทำให้เรือเวทของเขาลอยไปไกลท่ามกลางคลื่นระลอกนี้ไม่หยุด

แต่ดูโดยรวมความเสถียรของเรือเวทดีมาก จึงไม่เสียการควบคุม แต่กลับอาศัยคลื่นลอยถอยหลังไปอย่างเป็นระเบียบ

ในขณะเดียวกัน ความสุขุมของเขาก็ทำให้ศิษย์พี่ติงจิตใจนิ่งสงบ แววตาค่อยๆ เผยความเฉียบคม

“มันยังไม่ไปที่อื่นใด!” ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววาบ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท