บทที่ 87 ราตรีอันเหี้ยมโหด
เมฆดำบนฟ้าค่อยๆ บดบังดวงจันทร์ ทะเลต้องห้ามแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทไปทั่วทั้งผืน
แม้แต่เพลงสวดศพก็ค่อยๆ ไม่กล้ารบกวน พัดผ่านจากไปอย่างเร่งร้อน ยอดเขาที่เงียบสงบเหมือนมีกลิ่นอายที่กดดันคืบคลานรุกราน
จวบจนเสียงร้องครวญโหยหวนผสมหวีดแหลมเสียงหนึ่งตัดเฉือนราตรีมืดมิด ฉีกทำลายความเงียบสงัดในตอนนี้
จิตใจของทุกคนตึงเครียดขึ้นมาในเสี้ยวพริบตานี้ทันที
สวี่ชิงลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
เขาเห็นเงาร่างแต่ละร่างพุ่งขึ้นมาจากรอบๆ อย่างรวดเร็ว เป้าหมายก็คือผู้บำเพ็ญที่ได้คราบกิ้งก่าไปเมื่อตอนกลางวัน จิตสังหารระเบิดปะทุ
ส่วนผู้บำเพ็ญที่ได้คราบกิ้งก่าไปอีกสามส่วนที่เหลือจะเป็นอย่างไร สวี่ชิงไม่สนใจ ตอนนี้เขาเพ่งมองเงาร่างเจ็ดแปดร่างรอบๆ ที่พุ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็วตรงนี้
แสงจันทร์สลัวคลุมเครือปกปิดประกายเย็นเยียบในดวงตาสวี่ชิงไม่มิด ลบล้างจิตสังหารในสีหน้าของเขาไปไม่ได้ แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่เงาร่างเหล่านี้มาถึง สวี่ชิงก็เคลื่อนไหวแล้ว
ราตรีมืดมิดปกปิดอำพรางผู้ลอบโจมตี แต่พวกเขาไม่รู้ว่าสวี่ชิงชอบราตรีที่มืดมิดมากกว่าพวกเขาเสียอีก
ในเสี้ยวพริบตา เงาร่างของสวี่ชิงก็หายไปจากยอดไม้
ผู้บำเพ็ญเจ็ดแปดคนนั้นที่เข้ามาในตอนนี้ ในนั้นมีสามคนที่ร่างพลันสั่นสะท้านในเสี้ยวพริบตาที่เข้าใกล้ หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่หว่างคิ้วแหลกละเอียด เหล็กแหลมสีดำเล่มหนึ่งมาพร้อมด้วยความโหดเหี้ยมและเย็นเยียบแทงทะลุทันที
ส่วนอีกคนหนึ่งก็เห็นเงาร่างของสวี่ชิงกะพริบวูบอยู่ข้างหน้าอย่างรางเลือนในขณะที่เลือดสดๆ กระอักออกมา
ส่วนคนที่สามอนาถที่สุด เป็นต่างเผ่าพันธุ์ที่ร่างกายอวบอ้วนอุ้ยอ้าย ในเสี้ยวขณะที่เข้าใกล้ยอดไม้ กริชคมกริบเล่มหนึ่งก็สอดเข้ามาจากข้างหลังเขา แล้วปาดไปที่คออย่างโหดเหี้ยม
ความรุนแรงของพลังทำให้หัวกับตัวของเขาแยกขาดจากกัน เลือดพวยพุ่งสาดกระเซ็น
จนกระทั่งตอนนี้ เสียงร้องโหยหวนถึงได้เพิ่งดังเสียดหูออกมาจากอีกสองคนที่เหลือ
สังหารคนสามคนไปอย่างเรียบร้อยเฉียบขาดแล้ว ร่างสวี่ชิงก็พลันถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว กระแทกไปกับเงาร่างที่สี่ที่กำลังสำแดงเวทย์ คนคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ ในขณะที่เสียงระเบิดดังขึ้น หน้าอกของเขาก็ยุบลงไป ร่างล้มพับลงไปทั้งที่ยังกระอักเลือด
ผู้บำเพ็ญสามคนที่เหลือเมื่อได้เห็นภาพนี้ก็สูดลมหายใจทันที
“พวกเจ้าสำแดงวิชาเวท ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้เอง!”
เสียงคำรามต่ำทุ้มดังมาจากชาวต่างเผ่าคนหนึ่งในนั้น ชาวต่างเผ่าคนนี้ร่างเตี้ยเล็กเหมือนเด็กห้าขวบ แต่ตอนนี้กลับร่างขยายใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งจั้งกว่าๆ ในขณะที่ก้าวเท้า คำรามพุ่งมาหาสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติเช่นเดิม ไม่สนใจผู้บำเพ็ญสายขยายร่างต่างเผ่าที่ประชิดเข้ามาหาตน และไม่สนใจผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่กำลังประสานปางมือสองคนนั้นที่อยู่ข้างหลังตนเช่นกัน แต่กลับยกมือขวาขึ้นแล้วบีบขยี้ในทันที
ทันใดนั้นรอบๆ มีเสียงวิ้งดังขึ้น น้ำค้างทุกหยดลอยขึ้นมาจากต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบๆ แล้วพลันหลอมรวมเป็นเส้นไหมแต่ละเส้นๆ ถักทอเป็นตาข่ายวารีวงแหวน
ตาข่ายวารีฉายประกายเย็นเยือกใต้แสงจันทร์ ในขณะที่ครอบคลุมผู้บำเพ็ญสามคนนี้ก็หดเล็กทันทีโดยมีสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง
เสียงฉึบๆ ดังขึ้น ผู้บำเพ็ญที่สำแดงเวทย์สองคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี ตาข่ายวารีสัมผัสกับร่างกาย เกราะป้องกันพลังวิญญาณของพวกเขาไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย แตกสลายลงทันที ส่วนร่างของพวกเขาหลังจากที่ตาข่ายวารีทะลุผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วก็แยกส่วนแหลกละเอียด กลายเป็นเศษเนื้อไปทั่วพื้น
ส่วนผู้บำเพ็ญสายขยายร่างต่างเผ่าที่พุ่งมาหาสวี่ชิงตอนนี้หน้าซีดขาว ดวงตาฉายแววตื่นกลัว ตอนคิดจะเอ่ยปาก แต่เสี้ยวพริบตาต่อมาทั่วร่างของเขาก็ดำคล้ำ ส่งเสียงอู้อี้พลางกุมลำคอ โซซัดโซเซล้มลงกับพื้น ชักกระตุกอยู่สามสี่ทีก็ขาดใจตาย
ตาข่ายวารีที่ครอบคลุมไป ในขณะเดียวกับที่ฉีกร่างของเขาก็ฉีกร่างศพก่อนหน้านี้ที่อยู่รอบๆ ด้วย
ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าร่างอุ้ยอ้ายที่ถูกปาดคอหนึ่งในนั้นทั้งๆ ที่ตายไปแล้ว แต่กลับส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาออกมาจากการแยกชิ้นส่วนได้ มีดวงวิญญาณเล็กๆ บินออกมาจากในร่าง เห็นได้ชัดว่าพวกต่างเผ่าพันธุ์มีวิธีรักษาชีวิตที่คนนอกเผ่าไม่รู้มากมาย
ไม่รู้ว่าเขาสำแดงวิชาอะไร ร่างเปลี่ยนมาเรียวยาว ลอดออกมาจากตาข่ายวารีอย่างรวดเร็ว คิดจะหลบหนี
สวี่ชิงไม่ได้ไล่ตามไป จ้องเพ่งอย่างเย็นชา นับเลขอยู่ในใจ
“หนึ่ง สอง สาม…”
เสี้ยวพริบตาต่อมา ผู้บำเพ็ญที่เหมือนดวงวิญญาณดวงเล็กๆ คนนี้ร่างก็สั่นสะท้านรุนแรง พลันหันกลับมามองสวี่ชิง
“ปล่อยข้า…”
เขาทันได้พูดแค่สองคำนี้เท่านั้น ร่างก็เริ่มสลายหายไปในทันที สิ่งที่สลายไปก่อนเป็นอันดับแรกก็คือลิ้น
แม้จะสูญเสียลิ้นไป แต่ความเจ็บปวดรุนแรงก็ยังคงสร้างเสียงโหยหวนน่าเวทนาได้ ตอนนี้เสียงดังแหวกท้องฟ้า กระทั่งว่าสะกดเสียงดังครืนครันจากการต่อสู้ของอีกสามฝั่งที่เหลือข้างล่าง
ทำให้สายตาทุกคู่ของทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างถูกดึงดูดไป
คนตัวเล็กสีดำนั่นร้องโหวหวนพลางกลิ้งบนพื้นอย่างเจ็บปวดในสายตาของพวกเขา สุดท้ายร่างก็ถูกละลายไปทั้งเป็น กลายเป็นเลือดไปบนพื้น จนกระทั่งตายก็ไม่อาจพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น
เสียงสูดลมหายใจดังมาจากรอบๆ แล้วเงียบไปอย่างรวดเร็ว แทบจะทุกคนล้วนหยิบยาแก้พิษออกมาทันที แล้วกินลงไปทันที
มีเพียงตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมเท่านั้นที่สุขุมมาก
ความจริงในตอนที่สวี่ชิงมาถึงเมื่อวาน เขาก็เริ่มกินยาแก้พิษแล้ว ในเมื่อเขาเคยมีประสบการณ์โดนพิษของสวี่ชิงมาก่อน
สวี่ชิงไม่สนใจความเคลื่อนไหวของผู้บำเพ็ญรอบๆ เก็บกริชและเหล็กแหลมอย่างสงบนิ่ง แล้วเก็บถุงหนังของคนพวกนั้นทีละถุง สุดท้ายก็กลับมายังยอดไม้ นั่งขัดสมาธิ หลับตาฝึกบำเพ็ญ
บางทีอาจเป็นเพราะเกาะแห่งนี้คือหลังของกิ้งก่ายักษ์น่ากลัวตัวนั้น ดังนั้นพลังวิญญาณและไอพลังประหลาดจึงเข้มข้นมาก
สำหรับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ แล้ว สามารถมีชีวิตอยู่บนทะเลได้นานย่อมชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มีวิชาฝึกบำเพ็ญของตัวเองที่สามารถเปลี่ยนแปลงและขับไอพลังประหลาดออกได้ แต่ก็มักจะต้องออกไปข้างนอกเว้นระยะช่วงหนึ่ง ต้องขึ้นฝั่งใช้ลูกกลอนหรือวิธีอื่นๆ กำจัดไอพลังประหลาดส่วนหนึ่งในร่างออกไป
แต่สำหรับสวี่ชิงแล้วเขาไม่มีความจำเป็นนั้น ดังนั้นยามฝึกบำเพ็ญก็ไม่จำเป็นต้องกังวล และกลิ่นอายที่ทะเลต้องห้ามแห่งนี้ก็ช่วยเรื่องการฝึกฝนคัมภีร์แปรสมุทรของเขา
สวี่ชิงที่อยู่ในการฝึกบำเพ็ญตอนนี้ แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะปิดลง แต่รอบๆ กลับไม่มีใครเพ่งเล็งเขา ส่วนมากต่างหลบหลีกไปไกลๆ กลัวว่าจะถูกพิษ
ต่างฝ่ายต่างประมือกันเช่นนี้ก็ถูกผลกระทบไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด การสังหารค่อยๆ จบสิ้นลง
คืนหนึ่งก็ผ่านไปเช่นนี้เอง
บนฟ้า รุ่งอรุณกัดริมฝีปากของราตรีเป็นแผล ทิ้งหยดเลือดไว้ที่ปลายฟ้า รอยเลือดนี้ค่อยๆ ไหลริน จืดจางลงไปเรื่อยๆ จวบจนมันแผ่ลามไปทั่วท้องฟ้า
ฟ้าสว่างแล้ว
รอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะบนภูเขา ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่เดินทางลำพังที่ชิงคราบกิ้งก่าได้เมื่อวานคนนั้น ข้างกายมีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง เหมือนพวกเขาบรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่างกัน
คนที่เพิ่มขึ้นมาก็คือผู้บำเพ็ญชุดฟางที่ลงมือชิงครบกิ้งก่ากับสวี่ชิงเมื่อวานคนนั้น
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง กลุ่มผู้บำเพ็ญสี่ห้าคนกลุ่มนั้นเห็นได้ว่ารักษาคราบกิ้งก่าเอาไว้ไม่ได้ กลายเป็นซากศพ ถูกชายร่างกำยำใหญ่โตจมูกงวงช้างที่มาพร้อมกับคนอีกเจ็ดแปดคนมาแทนที่
มีเพียงสวี่ชิงและชายชราเจ้าของโรงเตี๊ยมเท่านั้นที่เป็นปกติทุกอย่าง
แต่ที่ต่างไปคือ สวี่ชิงทางนี้รอบๆ เต็มไปด้วยเศษเนื้อ ส่วนฝ่ายหลัง…ไม่มีแม้แต่ศพสักครึ่งซีก
สวี่ชิงกวาดตามองงูตัวใหญ่ข้างกายชายชราตัวนั้น อีกฝ่ายหลังจากที่รู้ตัวก็มองมาทางเขาทันที ผงกหัวถี่ๆ เหมือนว่ากำลังทักทาย
สวี่ชิงรู้สึกว่าค่อนข้างแปลกแต่ก็ไม่คิดอะไรมาก เก็บสายตากลับไป หลับตานั่งขัดสมาธิต่อ
ข้างหลังหินผาที่ตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมถนนทองผุดพักพิงอยู่ เขาเตะงูตัวใหญ่ข้างๆ กายเขา ก่อนจะส่งเสียงขึ้นจมูก
“เห็นหรือไม่ เขาไม่แม้แต่จะสนใจเจ้า ดังนั้นเจ้าก็อย่าคิดถึงเจ้าเด็กนั่นนักเลย ในโลกใบนี้มีเพียงข้าเท่านั้นที่เป็นญาติคนเดียวของเจ้า”
“ฟ่อฟ่อ”
งูตัวใหญ่น้อยใจนิดๆ มองสวี่ชิงที่อยู่บนยอดไม้ไกลลิบตาละห้อย สีหน้าค่อยๆ ไร้ชีวิตชีวา ชายชราเห็นภาพนี้เข้าดังนั้นจึงถอนหายใจ
“ทำไมถึงร้องไห้เล่า เจ้านี่นะ เจ้าเด็กนั่นไม่เข้าใจภาษางูเสียหน่อย ดังนั้นจึงไม่สนใจเจ้า…” พูดจบตาแก่ก็เสียใจภายหลังขึ้นมานิดๆ ส่วนตาของงูตัวใหญ่ตัวนั้นก็วาววาบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“เด็กผู้หญิงโตแล้วจะอย่างไรก็ต้องแต่งออก รั้งไว้ไม่ได้ งูโง่โตแล้วก็รั้งเอาไว้ไม่ได้เหมือนกัน”
ชายชราจนปัญญา ในใจขบคิดว่าจะหาโอกาสฆ่าสวี่ชิงให้ตายที่นี่ดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดถึงความเหี้ยมโหดของอีกฝ่าย เขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปสิบวัน
สิบวันที่นี่ ผู้บำเพ็ญบนภูเขามีทั้งจากไป มีทั้งมาเยือน ในตอนที่มีผู้บำเพ็ญมากรอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะมีมากถึงหลายร้อยคน เวลาน้อยก็มีถึงหลายสิบ
มีทั้งที่เดินทางลำพัง มีทั้งที่เป็นโจรสลัด และมีทั้งที่เป็นต่างเผ่าพันธุ์จากเกาะอื่นๆ เนื่องจากการสังหารและช่วงชิง ผู้บำเพ็ญที่นี่จึงผลัดเปลี่ยนปรากฏตัวขึ้นไม่ขาดสาย
ระหว่างนั้นก็มีกิ้งก่าทะเลปรากฏตัวขึ้นอีกสามครั้ง ทุกครั้งล้วนมีการแย่งชิงสังการเกิดขึ้น การลงมือของสวี่ชิงเหี้ยมโหดเฉียบขาด ไม่เพียงแต่ชิงเอาคราบกิ้งก่ามาได้เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือโยนกองคนที่เขาฆ่าทุกคนเอาไว้ตรงที่ที่เขานั่งสมาธิอีกด้วย
มองไกลๆ ต้นไม้ต้นนั้นเหมือนจะถูกย้อมไปด้วยเลือด ดูน่าหวาดผวาสยดสยองนัก
และจากการสะสมอำนาจสยบที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด บริเวณที่สวี่ชิงอยู่สำหรับคนอื่นๆ แล้วก็เป็นเหมือนพื้นที่ต้องห้าม
คนที่เป็นเหมือนอย่างสวี่ชิงแบบนี้ก็มีอีกสามสี่คน ไม่ว่าจะเป็นตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมบนถนนทองผุด หรือจะเป็นผู้บำเพ็ญชุดฟางที่เคยประมือกับสวี่ชิงและสหายของเขา หรือจะเป็นชายจมูกงวงช้างคนนั้น พวกเขาต่างรักษาผลเก็บเกี่ยวของตัวเองเอาไว้ได้ อีกทั้งยังเลือกที่จะไม่จากไป เหมือนว่ากำลังจะคอยอะไรอยู่
เรื่องนี้ สวี่ชิงก็สัมผัสได้เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่จากไปแต่ฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่เงียบๆ สิบวัน
พลังวิญญาณที่นี่เอ่อล้น ไอพลังประหลาดเข้มข้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีสมาธิสูงเช่นนี้ ทำให้เขาเหมือนกลับไปยังป่าต้องห้ามคนเก็บกวาด ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด
ตอนนี้ห่างจากคัมภีร์แปรสมุทรขั้นเก้าไม่ไกลแล้ว
“อย่างมากสามวัน ข้าน่าจะทะลวงขั้นได้”
สวี่ชิงพึมพำในใจ นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจต่อไป พลังวิญญาณเป็นสายๆ ทะลักมาจากทั่วทุกทิศ พุ่งเข้าไปในกายของเขา ในขณะเดียวกับที่หล่อเลี้ยงทั่วร่างของเขาก็นำพลังประหลาดผสานเข้าไปในเงาของเขา ทำให้ทะเลวิญญาณแปดสิบเจ็ดจั้งในกายของสวี่ชิงขยายขึ้นไม่หยุด
แปดสิปแปดจั้ง แปดสิบเก้าจั้ง…
สองวันผ่านไป เมื่อกลางวันของวันที่สามมาถึง ระลอกคลื่นพลังวิญญาณในร่างของสวี่ชิงก็ใกล้ถึงเก้าสิบจั้งได้อย่างปลอดภัย เมื่อถึงเก้าสิบจั้งนั่นก็หมายความว่าคัมภีร์แปรสมุทรของเขามาถึงขั้นเก้าแล้ว
และลูกศิษย์ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเจ็ดเนตรโลหิตจนถึงขั้นเก้า โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถสยบขั้นเดียวกันของสำนักเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณได้แล้ว หากเป็นระดับสร้างฐานของสำนักเล็กๆ ที่วิชาไร้คุณภาพ ก็ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าวิชาฝึกกายาเคล็ดคีรีสมุทรของสวี่ชิงก็มาถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน สร้างเงาป๋าที่น่าหวาดกลัวขึ้นมา พูดได้ว่า…หากคัมภีร์แปรสมุทรบรรลุเมื่อใด กำลังรบของสวี่ชิงก็จะปะทุขึ้นอีกครั้ง
เขาในตอนนั้นก็จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่กำลังรบอยู่เหนือระดับรวมปราณสุดยอด สามารถมองเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสร้างฐานคนหนึ่งได้เลย อย่างบรรพจารย์สำนักวัชระระดับนั้น สวี่ชิงมีความมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นในทะเลหรือบนพื้นดิน เมื่อได้ประมือกันแล้ว ตนจะต้องสะกดอีกฝ่ายได้แน่ ส่วนสังหาร ให้เวลานิดหน่อยก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน
“คืนนี้ก็จะทะลวงขั้นได้แล้ว!” ในดวงตาสวี่ชิงฉายแวววาดหวัง กำลังจะฝึกบำเพ็ญต่อไป แต่ในตอนนี้ ข้างล่างภูเขาก็พลันมีเสียงฝีเท้าดังถี่ๆ และเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็วดังขึ้น
คนยังไม่ทันมาถึง ความเหี้ยมโหดเย็นเยียบเป็นระลอกๆ ก็แผ่กระจายมาถึงก่อน ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่แอ่งกระทะ ทำให้ทุกคนที่นี่ต่างหน้าเปลี่ยนสี มองไปข้างล่างเขา
ที่มาเยือน…ไม่ใช่กิ้งก่าทะเล แต่เป็นผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่ง!
เป็นเงาร่างเหี้ยมเกรียมเสื้อผ้าแตกต่างกันไป โหดเหี้ยมน่ากลัว จิตสังหารหนักหน่วง กำเริบเสิบสานกลุ่มหนึ่ง
มีทั้งหมดสิบหกคน ทุกคนในนั้นล้วนแผ่กระจายระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญที่แข็งแกร่งออกมา ความรุนแรงของความอำมหิตบนร่างของทุกคนล้วนมากพอจะทำให้ผู้คนหวาดผวา
“ภูตสมุทร!”
“เป็นกลุ่มภูตสมุทร!”
“บ้าเอ๊ย พวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร!!”
เสียงตื่นตกใจดังลอยออกมาจากรอบๆ พื้นที่แอ่งกระทะทันที