ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 92 เลือดย้อมเกาะกิ้งก่าทะเล

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 92 เลือดย้อมเกาะกิ้งก่าทะเล

มหาสมุทรยามราตรี ลมเมฆเปลี่ยนผัน สภาพอากาศก็ลึกลับประดุจน้ำทะเล คาดคะเนไม่ได้

เวลานี้รอบด้านเกาะกิ้งก่าทะเลท้องฟ้าส่งเสียงอัสนีครืนครัน สายฟ้าผ่าแลบแปลบปลาบ

พายุฝนกำลังใกล้เข้ามา

การสังหารกำลังดำเนินอย่างบ้าคลั่งบนยอดภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะกิ้งก่าทะเลใต้การสะท้อนของสายฟ้าเวลานี้

คราบกิ้งก่าระดับเทพทั้งสามชิ้น มูลค่าของพวกมันเพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเอาชีวิตเข้าแลก

เสียงครืนครันซ้อนทับกับสายอัสนีเวลานี้ จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงก็เข้มข้นจนจะหลั่งทะลักออกมา ร่างกายปะทะกับร่างกายผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถี แรงปะทะมหาศาลผลักร่างของอีกฝ่ายจนถอยหลังไป

สวี่ชิงไม่สนใจการโต้กลับของคนผู้นี้ ไม่สนใจวิชาเวทที่พุ่งเป้ามาบนร่างกายเหล่านั้น เหล็กแหลมในมืออยู่ที่ตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่าย แทงติดต่อกันหกครั้ง

ทุกครั้งล้วนทำให้ผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีคนนี้ร่างกายสั่นกระตุก จนกระทั่งพริบตาต่อมา ร่างกายสวี่ชิงก็ไหววูบฉีกตัวหลบจากวิชาเวทรอบด้านที่พุ่งเข้ามา ศพของผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีคนนั้นก็แหลกละเอียดด้วยวิชาเวทท่ามกลางเสียงครืนครัน

ขณะเดียวกัน พริบตาที่สวี่ชิงฉากตัวถอยออกมา กลุ่มภูตสมุทรต่างเผ่าอีกสี่คนก็อาศัยความแข็งแกร่งของการฝึกกายาเข้าปะทะฉับพลัน ล้อมเขาไว้แล้วพุ่งเข้าสังหารอย่างไม่รักตัวกลัวตาย

ยิ่งชายร่างใหญ่ภูตสมุทรที่มีใบหน้าเหี้ยมเกรียมปรากฏที่หน้าอกคนนั้นสองมือประกบปางจนเกิดเป็นเลือดทรงกลมขนาดใหญ่ขึ้นลูกหนึ่ง แปรเป็นค้างคาวสีเลือด บินโฉบเข้ามาทางสวี่ชิง ในปากตอนที่อ้ามีฟันแหลมคม ราวกับถ้าถูกมันกัด หากไม่ตายก็คงจะเจ็บหนัก

เมื่อเห็นวิกฤต สวี่ชิงก็โบกมือใช้ของวิเศษอักขระกลายเป็นเกราะป้องกัน หลังจากต้านทานค้างคาวสีเลือดและการลงมือของภูตสมุทรคนนั้นแล้ว ร่างกายใช้แรงปะทะนี้ถอยฉากกลับ พุ่งตรงไปหาผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีสามคนที่พุ่งเข้ามาด้านหลังเวลานี้

เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก จัดการสังหารลัทธินอกวิถีก่อน!

สาเหตุที่เลือกลัทธินอกวิถี ก็เพราะอีกฝ่ายสร้างแรงคุกคามกับเขามากที่สุด

ลัทธินอกวิถีเย็นชาต่อชีวิต ไม่เพียงแต่ต่อคนภายนอกเท่านั้น กระทั่งตัวพวกเขาเองก็เช่นกัน นี่จึงทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งมาก

การถอยกลับของสวี่ชิงเวลานี้ ผสานทะเลเพลิงของเงาป๋าไว้ด้วย แต่สีหน้าผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีสามคนนั้นไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงพุ่งตรงเข้ามา ตั้งใจคิดจะใช้ความตายแลกกับอาการบาดเจ็บในพริบตาที่สองฝ่ายปะทะกัน

ตอนที่เสียงครืนครันดังขึ้น หนึ่งในผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีทั้งสามคนหน้าอกก็เว้าเป็นรู แต่กลับกอดเอวของสวี่ชิงเอาไว้ คนหนึ่งถูกเหล็กแหลมแทงหน้าผากจนทะลุ แต่กลับกำเหล็กแหลมไว้แน่น ไม่เปิดโอกาสให้สวี่ชิงได้ชักกลับ

คนสุดท้าย คลื่นอารมณ์แรกที่เผยออกมาในดวงตาคือความบ้าคลั่ง

“นอกวิถี!” เขาตะโกนขึ้น ร่างกายเผาไหม้ในฉับพลันกลายเป็นแสงเจิดจ้าแยงตาสายหนึ่ง พุ่งเข้าหาสวี่ชิงด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง

จังหวะที่พุ่งมาถึง พอเห็นว่ากำลังจะแทงเข้ามา

ดวงตาสวี่ชิงปรากฏประกายเย็นเยียบ ทะเลวิญญาณเก้าสิบกว่าจั้งในร่างกายระเบิดปะทุขึ้นฉับพลัน แผ่ภาพมายากวาดม้วนจากร่างออกไปแปดทิศ

พริบตาที่ศพของผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีที่ตายไปสองคนถูกสัมผัสก็แตกสลายทันที ผู้บำเพ็ญอีกมากมายที่เข้ามารอบด้านก็ล้วนหลบไม่พ้น ถูกซัดออกไปทุกทิศทาง

สวี่ชิงใช้จังหวะนี้เบนตัวออกทันควัน หอกแสงมาพร้อมด้วยพลังเผาไหม้ทำลายล้างที่ใกล้เข้ามาก็แฉลบผ่านหน้าอกเขาไป

แม้จะไม่ได้ถูกแทงทะลุ แต่ก็ยังเป็นรอยถากอยู่บ้าง เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อหนังถลอกปอกเปิด

สวี่ชิงหายใจหอบถี่ ร่างกายยังคงถอยออกมาจนถึงระยะห้าจั้ง จากนั้นก็หยุดลง โค้งตัวลงเหมือนแมว ใช้เท้าขวาดีดกับพื้นอย่างแรง พุ่งทะยานออกไปราวกับลูกศรหลุดจากคันสาย

บนพื้นยังเหลือเงาคงค้าง แต่ร่างจริงของเขาไปอยู่ด้านหน้าผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีอีกคนแล้ว ผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีคนนี้ดวงตาแผ่ความร้อนแรงออกมาเช่นกัน

“นอกวิถี!” ขณะที่คำราม ร่างกายของเขาก็เลือกที่จะระเบิดตัวเองทันที

และลัทธินอกวิถีเวลานี้ ยังเหลืออยู่อีกสามคน

สามคนนี้นอกจากคนตรงกลางแล้ว อีกสองคนเวลานี้ล้วนบินเข้าหาสวี่ชิง

ดวงตาใต้ชุดคลุมของพวกเขาร้อนแรง และในจังหวะนี้ก็เลือกที่จะระเบิดตัวเองเช่นเดียวกัน

ภูตสมุทรทางนั้นขณะเดียวกันก็ตาแดงก่ำ สิบสองคนที่เหลืออยู่เวลานี้ ต่างฝ่ายต่างลงมือทันที ขณะที่ท่าไม้ตายต่างๆ สำแดงเดช ก็ยังมีของวิเศษอักขระอีกสามชิ้นก่อจิตสังหารพุ่งมาบดขยี้สวี่ชิง

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเหล่านั้นที่มองสวี่ชิงอยู่รอบๆ ตั้งแต่แรกและยังมีพวกที่มาจากยอดเขาอื่น ดวงตามีประกายร้อนแรง ต่างเข้าประชิดและลงมือ

สวี่ชิงเวลานี้มองไกลๆ เหมือนตกอยู่ท่ามกลางวิกฤตการสังหารอันแรงกล้า พริบตาต่อมา จากการระเบิดตัวเองของผู้บำเพ็ญลัทธินอกวิถีทั้งสามคน จากการลงมือของพวกผู้บำเพ็ญภูตสมุทร จากการระเบิดของของวิเศษอักขระ จุดที่สวี่ชิงอยู่ก็ถูกกลบด้วยเสียงครืนครันและฝุ่นตลบทันที

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่ฝุ่นควันจะเบาบาง ร่างของสวี่ชิงก็พุ่งออกไปราวสายฟ้าฟาดท่ามกลางฝุ่นควันนี้

เกราะแสงสีเหลืองนอกร่างกายเขาสว่างวาบ นั่นคือพลังจากของวิเศษอักขระใบหนึ่ง

ขาของเขายังมียันต์บินทะยานอยู่อีกแผ่น

ทั้งหมดนี้ ทำให้ความเร็วของสวี่ชิงมากกว่าที่เคยเป็น พุ่งทะยานสังหารออกไปยังกลุ่มคน เขารวดเร็วเป็นอย่างมาก เพียงพริบตาก็มาอยู่ด้านหน้าผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่ถือกริชอยู่คนหนึ่ง กระแทกเข้าไปอย่างรุนแรง

ร่างกายผู้บำเพ็ญคนนี้แหลกเละพร้อมเสียงกรีดร้อง สวี่ชิงยังไม่หยุด หยิบเอากริชที่หลุดจากมืออีกฝ่าย พุ่งทะยานไปยังกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ

มุมปากเขายังมีเลือดสดไหลซิบ ชุดนักพรตของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ขาดวิ่นไปไม่น้อย แต่ความเย็นชาของดวงตาทั้งสอง ไม่ถูกจางหายเลยแม้แต่น้อย

ทุกที่ที่ผ่าน เสียงกรีดร้องแหลมลั่นออกมา ศพร่วงล้มลงทีร่าง เลือดสดหลั่งรินไปรอบด้าน ทำให้ดินโคลนบนยอดเขานี้คละคลุ้งกลิ่นคาวเลือดรุนแรง

ในนี้ยังมีผู้บำเพ็ญภูตสมุทรอีกหลายคนที่ศีรษะหลุดไปท่ามกลางการไหววูบไปมาของเงาสวี่ชิง

การสังหารที่โหดเหี้ยมนี้ จนถึงคนสุดท้ายของลัทธินอกวิถีรวมไปถึงชายร่างใหญ่ที่มีใบหน้ากลางหน้าอกของกลุ่มภูตสมุทรคนนั้นเขาทั้งสองคนลงมือเข้าสกัดกั้นพร้อมกัน ขัดจังหวะลงมือของสวี่ชิงลงชั่วคราว

สวี่ชิงรับการโจมตีวิชาเวทของสองคนอย่างจัง มือขวาโบกแทงไปยังหน้าอกของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดคนหนึ่ง หลังจากซัดไปอย่างหนักหน่วงก็ถอยกลับมาบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง นั่งยองลงเงยหน้าขึ้น หอบหายใจเล็กน้อย มองไปยังผู้บำเพ็ญที่เหลืออยู่รอบๆ อย่างเย็นชา

ลัทธินอกวิถี ยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้า

กลุ่มภูตสมุทรยังมีอีกสี่คน รวมถึงชายร่างใหญ่คนนั้นด้วย

เลือดสดไหลหยดลงมาจากคมกริชของเขาทีละหยด ผสานกับรอยเลือดที่อยู่บนพื้นเข้าด้วยกันจากการกวาดตามองของสวี่ชิง

ยันต์บินทะยานอยู่กับตัว อันที่จริงสวี่ชิงจะบินหนีไปเลยก็ได้ แต่พวกที่อยู่ที่นี่ล้วนมีใจจะสังหารเขาทั้งสิ้น

หลักการของสวี่ชิง ทำให้เขาไม่อยากออกไปทันที แต่คิดจะสังหารแรงคุกคามให้หมดเท่าที่จะทำได้

และศพรอบๆ เวลานี้ก็มีถึงสี่สิบกว่าศพ กลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นไร้ที่ใดเปรียบ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเหล่านั้น แต่ละคนล้วนสั่นเทาไม่กล้าลงมือต่อ พากันถอยหนี

สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

ทั้งหมดในนี้ล้วนเคยลงมือกับเขา เขาไม่อยากปล่อยใครไปทั้งสิ้น ต่อให้อีกฝ่ายพลังบำเพ็ญยังไม่สูงพอ แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าเป็นภัยแฝงเร้นทั้งสิ้น

เมื่อคิดจะเคลื่อนไหว จู่ๆ หัวหน้าที่เหลืออยู่คนนั้นของลัทธินอกวิถีก็เอ่ยขึ้น

“ข้าขอแค่คราบกิ้งก่าชิ้นหนึ่ง ให้ข้า แล้วข้าจะรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป เจ้าจะได้รับมิตรภาพจากลัทธินอกวิถีของข้า!”

“ข้าก็ต้องการแค่หนึ่งชิ้น มิเช่นนั้นด้วยสภาพของเจ้าตอนนี้ จะเป็นหรือตายก็ยากจะคาดเดา” ใบหน้าที่หน้าอกของชายร่างใหญ่กลุ่มภูตสมุทร ส่งเสียงแหลมออกมา ประกายแดงในดวงตารุนแรงกว่าเดิม

สวี่ชิงไม่สนใจ ร่างกายไหววูบ ยันต์บินทะยานระเบิดขึ้นอีกครั้ง พุ่งตรงเข้าประชิดฉับพลันไปที่ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่เคยลงมือกับเขาและตั้งท่าจะหนีเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงศีรษะก็หลุดออกมา

ขณะที่กำลังจะสังหารต่อ ลัทธินอกวิถีกับชายร่างใหญ่กลุ่มภูตสมุทรด้านหลังทั้งสองฝ่ายเลือกร่วมมือและพุ่งเข้ามาพร้อมกันทันที

หัวหน้าลัทธินอกวิถีหนึ่งในนี้คนนั้น สลัดชุดคลุมดำออก เผยใบหน้าวัยกลางคนออกมา ดวงตามีประกายเย็นเยียบ ร่างกายแผ่ซ่านกลิ่นอายน่าตกตะลึงออกมา

กลิ่นอายนี้สูงกว่ารวมปราณขั้นบริบูรณ์เหมือนจะห่างจากระดับสร้างฐานไม่ไกลด้วย

ระหว่างที่เขาโบกมือ ด้านหลังก็ปรากฏหมอกดำเข้มข้น ปราณหมอกตีเกลียวจนกลายเป็นป้ายหลุมศพขนาดยักษ์ป้ายหนึ่ง

ป้ายหลุมศพนี้เต็มไปด้วยรอยแตก มีวิญญาณนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรนอยู่บนรอยแตกเป็นสายๆ แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็ยังดูเลือนรางมาก เห็นได้ชัดว่าพลังของคนผู้นี้ ยังไม่สามารถสำแดงออกมาได้อย่างหมดจด ทำได้เพียงยืมภาพมายามาเท่านั้น

เวลานี้ป้ายสุสานปราณหมอกพุ่งตรงเข้ามาหาสวี่ชิงจากการลงมือของคนผู้นี้

ส่วนชายร่างใหญ่กลุ่มภูตสมุทรเวลานี้มีเสียงแหลมคำรามออกมา ร่างกายผอมแห้งลงฉับพลัน แต่ใบหน้าที่หน้าอกกลับมีสีเลือดปะทุขึ้น ประกายสีแดงในดวงตาแผ่ซ่าน ทั้งใบหน้าแดงก่ำ กระอักเลือดสดออกมา

เมื่อเลือดสดพุ่งออกมาก็กลายเป็นกระบี่บินสีเลือดเล่มหนึ่ง กระพือปราณพิฆาตเข้มข้นพร้อมจิตสังหารพุ่งเข้าหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว

ผู้บำเพ็ญภูตสมุทรที่เหลือก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน พากันใช้ท่าไม้ตายออกมา

ในช่วงเวลาสำคัญสวี่ชิงหรี่ตาลง มือขวายกขึ้นฉับพลัน ชี้นิ้วขึ้นท้องฟ้า ทันใดนั้นแสงสีม่วงในร่างกายก็สว่างจ้าทันควัน เข้ามารวมกันบนศีรษะเขา กลายเป็นดาบยาวขนาดยักษ์เล่มหนึ่ง

ดาบนี้ยาวสิบจั้ง กว้างสามจั้ง เปล่งประกายสีม่วงเจิดจ้าทั้งเล่ม คมดาบเย็นเยียบบีบคั้นราวกับดาบสวรรค์ก็มิปาน ตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า แผ่ซ่านทำนองเต๋าที่ยากจะเอื้อนเอ่ย และยังแผ่ซ่านพลังที่สั่นสะเทือนฟ้าดินออกมาอีกด้วย!

เมื่อดาบนี้ปรากฏขึ้น ชายร่างใหญ่กลุ่มภูตสมุทรก็หน้าถอดสี ร้องขึ้นอย่างตกตะลึง

“ตระหนักรู้ระดับรวมปราณจนกลายเป็นเต๋าหรือ นี่มันช่าง…นี่มันใช่สิ่งที่ระดับรวมปราณตระหนักรู้ออกมาได้หรือ!!!” ระหว่างเอื้อนเอ่ย ร่างกายของเขาถอยหลังฉับพลัน คิดจะหนี

ส่วนหัวหน้ากลุ่มย่อยลัทธินอกวิถีก็หน้าขาวซีด สั่นสะเทือนไปทั้งร่างเช่นกัน

พริบตาต่อมา สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ฟาดมือลงอย่างฉับพลัน

เสียงตูมสนั่นสะเทือนฟ้าดิน ดาบสีม่วงบนท้องฟ้าเล่มนั้นฟาดลงมาทันที ตัดสะบั้นทุกหนแห่งที่วาดผ่านบนพื้นที่แอ่งกระทะนี้!

กระบี่บินสีเลือด แตกกระจาย

ป้ายสุสานสีดำ แหลกสลาย

พสุธาส่งเสียงครืนครัน ทิ้งรอยดาบขนาดยักษ์ไว้รอยหนึ่ง ตัดผ่าพื้นที่แอ่งกระทะนี้ออกเป็นสองส่วน และสิ่งที่แยกเป็นสองส่วนยังมีหัวหน้ากลุ่มเล็กลัทธินอกวิถีคนนั้นด้วย

เขามองสวี่ชิงอย่างตกตะลึง พริบตาต่อมาร่างกายก็ฉีกแยกออก เลือดสดสาดพรั่งพรู

ชายร่างใหญ่ภูตสมุทรที่ห่างออกไปเวลานี้ร่างกายก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดวงตาเผยประกายสิ้นหวัง คิดจะก้มลงไปมองช่วงเอวของตน แต่ยังไม่ทันที่สายตาเขาจะมองไป ร่างกายของเขาก็ขาดตั้งแต่ช่วงเอวแยกออกเป็นสองท่อน ลมหายใจขาดห้วง ใบหน้าที่หน้าอกก็ตายตกไปด้วยเช่นกัน

สิ่งที่แยกออกไปพร้อมกับร่างกาย ยังมีผู้บำเพ็ญภูตสมุทรคนอื่นอีกหลายคน เวลานี้ต่างอวัยวะขาดวิ่น

ทั้งพื้นที่แอ่งกระทะเงียบลงในอึดใจ มีเพียงเสียงครืนครันบนท้องฟ้า ในที่สุดหยาดฝน..ก็ร่วงหล่น

น้ำฝนสาดเทลงบนพื้นดิน แต่กลับชะล้างรอยเลือดที่นี่ให้รวดเร็วได้ลำบากเหลือเกิน

สวี่ชิงยืนอยู่กลางสายฝน หอบหายใจหนัก อาการบาดเจ็บบนตัวเขามีอยู่มาก แม้ส่วนใหญ่ล้วนกำลังฟื้นฟู แต่ยังมีบางส่วนที่บาดเจ็บหนักอยู่ ไม่อาจรักษาได้ในทันที

ศึกนี้สำหรับเขาแล้วไม่ได้ง่ายดายนัก อีกฝ่ายมีจำนวนมากเกินไป

เมื่อเขาคิดจะหันหน้ากลับมองไปยังผู้บำเพ็ญเสื้อฟางกับชายร่างใหญ่จมูกงวงช้างที่กำลังตัวสั่นงันงกอยู่ไกลๆ

“พวกเราไม่ได้ลงมือ!”

“พวกเราไม่ได้ลงมือเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่ต้นจนจบ!!” สวี่ชิงกวาดตามองจนสองคนนี้สั่นสะท้านไปหมด

สวี่ชิงไม่พูดอะไร เบนสายตามองไปยังร่างพวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเหล่านั้นที่กำลังหนีไป พวกเขาเคยลงมือกับสวี่ชิง พอเห็นท่าไม่ดีก็รีบหนีแตกฮือ

สวี่ชิงไม่ได้ตามไป ขณะที่จ้องมองเย็นชา ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดต่างเผ่าเหล่านั้นยังไม่ทันได้ออกจากเกาะก็ทยอยส่งเสียงกรีดร้อง ทั่วร่างกลายเป็นสีดำคล้ำ พิษกำเริบจนตาย

ภาพนี้ทำให้ร่างกายต่างเผ่าในเสื้อฟางกับชายร่างใหญ่จมูกงวงช้างสั่นเครือขึ้นมา

สวี่ชิงหมุนตัวตะปบมือขวาคว้าออกไปไม่สนใจสองคนนี้ หลังจากเหล็กแหลมสีดำก็บินเข้ามาในมือเขา เขาโบกมันอีกครั้ง เหล็กแหลมสีดำเล่มนี้พุ่งเข้าไปแทงแต่ละศพรอบๆ อย่างคล่องแคล่ว

เพื่อป้องกันพวกแกล้งตาย สวี่ชิงจึงลงดาบซ้ำอีกครั้ง

และต่างเผ่าเสื้อฟางกับชายร่างใหญ่จมูกช้างเวลานี้ก็ลองถอยหลัง จนถอยมาถึงจุดที่พบว่าสวี่ชิงไม่ได้สนใจพวกเขาอีกแล้ว ทำท่าเหมือนจะปล่อยพวกเขาไป สองคนนี้จึงเบาใจลง แต่ก็ยังถอยหนีออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จนลงจากเขาเข้าไปในป่า พวกเขาถึงผ่อนลมหายใจโล่งออกมาได้จริงๆ

ทว่าความละโมบที่ซ่อนอยู่ในใจก็ยังไม่จางหาย เวลานี้แต่ละคนล้วนล้วงเอาแผ่นหยกออกมา คิดจะสื่อเสียงออกไปยังเหล่านายใหญ่ผู้บำเพ็ญด้านนอก กลัวจะช้าไปจนอีกฝ่ายหนีไปก่อน

แต่ยังไม่ทันได้สื่อเสียง คมเย็นเยียบสองสายก็หวีดหวิวเข้ามาด้านหลังพวกเขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หน้าทั้งสองคนกำลังถอดสีก็แทงทะลุลำคอพวกเขาทั้งคู่ไปแล้ว

ขาดใจตายดับดิ้นทันที

สวี่ชิงถอนสายตาสีหน้าเรียบเฉย เขารู้ว่าแม้บนเกาะกิ้งก่าทะเลจะไม่มีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขตทะเลรอบนอกจะไม่มี และคนที่หนีไปสองคนนั้น ก็ยังคิดจะสื่อเสียงออกไปอีกในตอนนี้ น่าสงสัยอย่างมาก เกือบจะแปดในสิบคือการส่งข่าวรายงานแน่นอน

เวลาเช่นนี้คนปกติไม่มีทางสื่อเสียง

สวี่ชิงลงดาบซ้ำไปด้วย จัดการเก็บกวาดสนามรบไปด้วย

เพียงไม่นาน เขาก็เงยหน้าไปมองศพเหล่านั้นบนพื้น จู่ๆ เงาใต้เท้าก็แผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็ว คว้าคอผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่แกล้งตายแล้วยกขึ้นมาสามคน

สามคนนี้ยังไม่ทันได้อ้อนวอนขอชีวิต เสียงกร๊อบดังขึ้น คอก็แหลกเละขาดใจตายไปในพริบตา

และขณะที่สวี่ชิงลงมือ ชายร่างใหญ่กลุ่มภูตสมุทรที่ร่างแยกเป็นสองส่วน ใบหน้าที่ตายไปแล้วตรงหน้าอกเขา ก็เบิกตาโพลงขึ้น กลายเป็นมนุษย์ตัวเล็กสีเลือดร่างหนึ่ง

ไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไร บินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่สนอะไรอีก เพียงพริบตาก็ออกจากเกาะมาอยู่บนทะเล หลบหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

สวี่ชิงมองไปเย็นชา ปากก็เอ่ยขึ้นมาเพียงประโยคเดียวในศึกครั้งนี้

“วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้าม!”

ทันทีที่เอื้อนเอ่ยออกมา มหาสมุทรข้างเกาะกิ้งก่าทะเลก็ระเบิดขึ้นฉับพลัน อสูรคอยาวบรรพกาลขนาดนับร้อยจั้งตัวหนึ่งกระโจนขึ้นจากผืนทะเลที่ซัดคลื่นโถมสูง อ้าปากไปทางมนุษย์ตัวเล็กสีเลือด!

ร่างของมันบดบังแสงจันทร์ ร่างกายอันใหญ่โตทิ้งกลิ่นคาวของทะเลไว้ หลังจากกลืนมนุษย์ตัวเล็กสีเลือดนั่น ร่างกายก็ทิ้งดิ่งกลับสู่ผืนทะเลจมหายไป

มหาสมุทรส่งเสียงครืนครัน คลื่นซัดม้วนเกลียว

สายฝน รุนแรงยิ่งขึ้น

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท