บทที่ 93 คล้ายวิหคสรวงคล้ายอินทรี
ครู่ต่อมา ร่างของสวี่ชิงที่ปะทะกับม่านฝนก็ปรากฏขึ้นบนชายหาดท่ามกลางสายฝนพรำ
เขาเดินผ่านกองกระดูกที่ถูกฝังกลบอยู่ในดินทรายและถูกสายฝนชะล้างหลายแห่ง มองจากที่ริมหาดออกไปยังมหาสมุทร
มหาสมุทรท่ามกลางม่านฝน ลมพัดคลื่นกระเพื่อมราวกับซ่อนความอันตรายมหาศาลไว้
สวี่ชิงนึกถึงเรือของลัทธินอกวิถีขึ้นมา เวลานี้ไม่อยู่แล้ว
เขารู้ว่าไม่มีระดับสร้างฐานคนใดกล้าขึ้นมาบนเกาะนี้ และไม่กล้าที่จะพำนักชั่วคราวในพื้นที่ทะเลใกล้เคียงด้วย แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าถ้าหากมีระดับสร้างฐานที่เจตนาร้ายจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือคอยคุ้มกันอยู่ที่รอบนอก
รอพวกกลุ่มรวมปราณขนของเต็มตัวกลับไปหลังจากสังหารแย่งชิงคราบกิ้งก่าทะเลบนเกาะ หรืออาจกำลังรอคนที่ส่งเข้าไปกลับมา
สวี่ชิงไม่แน่ใจว่าการเข้ามาครั้งนี้ของกลุ่มภูตสมุทรและคนของลัทธินอกวิถี มีพวกระดับสร้างฐานติดตามมาด้วยหรือไม่ แต่ถ้าหากมี เวลานี้ก็น่าจะได้รับข่าวแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจปิดข่าวการต่อสู้ที่วุ่นวายทั้งหมดเมื่อครู่ได้
ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ไม่ได้ออกเรือทันที แต่นั่งลงขัดสมาธินิ่งๆ อยู่ตรงนี้ บ่มเพาะพลังบำเพ็ญ ฟื้นฟูพละกำลัง
จนฟื้นกลับมาได้กว่าครึ่ง เขาก็ลืมตาท่ามกลางสายฝน มองไปยังมหาสมุทรที่ห่างออกไป ในสายตามีประกายเย็นเข้มข้น
‘ถ้าหากมีระดับสร้างฐานอยู่จริง…’ หลังจากสวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจ ก็กดจิตสังหารลง
เขาไม่แน่ใจว่าระดับสร้างฐานของอีกฝ่ายมีกี่คน ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะก่อสงครามเลือดต่อ
หลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงเดินไปยังริมทะเลหยิบเอาเรือเวทออกมา โบกมือขวา เรือเวทก็ส่งเสียงเอียดอาดออกมา ภายนอกยังคงเดิม แต่ด้านล่างมีเรือเร็วเล็กลำหนึ่งร่วงลงมา
เรือเร็วนี้เป็นสิ่งที่จางซานทำไว้ด้านใน สำหรับใช้งานหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับวิกฤตหรือเรือเวทพัง
มันไม่ใช่เรือเวทที่สร้างตามแบบสำนัก โครงสร้างด้านในก็แตกต่าง ด้านการคุ้มกันกับด้านการโจมตีก็เอาไปเทียบไม่ได้ แต่ได้เสริมพลังความเร็วเข้ามาด้วยการหลอมของจางซาน หลังจากแสดงพลังสูงสุดออกมาในชั่วขณะหนึ่งสามารถระเบิดความเร็วที่มากกว่าเรือเวทเดิมได้ถึงเท่าตัว
เพียงแต่ว่าใช้สิ่งนี้เดินทางในทะเลเป็นเวลานานนั้นเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก
สวี่ชิงจดจ้องครู่หนึ่ง ในดวงตาเผยความเด็ดขาดออกมา เขาหยิบเอาแผ่นหยกควบคุมเรือเวทออกมาจัดการเล็กน้อย หลังจากทำให้เรือเวทเดินทางได้ด้วยตนเองแล้ว ก็จัดการกำหนดเส้นทางขามา เปิดเกราะคุ้มกันให้มัน แล้วส่งมันลอยห่างออกไปด้วยสายตา
มองเรือเวทที่อยู่ไกลๆ สวี่ชิงฝืนความปวดใจไว้ หันหน้าเหยียบขึ้นไปในเรือเร็วข้างๆ
ยืนอยู่บนเรือเร็ว ขณะที่เตรียมตัวออกจากเกาะกิ้งก่าทะเล สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองเกาะแห่งนี้ผาดหนึ่ง
เกาะในม่านฝนเรือนลาง ต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกพัดผ่านอยู่ด้านในเสียดสีกันราวกับเสียงกระซิบ ราวกับกำลังวิพากษ์วิจารณ์ศึกที่ย้อมไปด้วยเลือดศึกนี้
สายฝนยามค่ำคืนสายลมพัดโบก ภูเขาเคลื่อนไหวทว่าตัวคนหยุดนิ่ง
สวี่ชิงมองทั้งหมด ครู่ต่อมาจึงก้มหน้าโค้งตัวลง คารวะไปทางตัวเกาะอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
พูดจบ เขาก็หันหลังควบคุมเรือเร็วมุดลึกลงไปในทะเลอย่างไม่ลังเล
ขณะที่เรือเร็วยังไม่ทันลงไปในทะเล สวี่ชิงก็เก็บงำกลิ่นอายทั้งหมด และใช้การมาเยือนของวาฬบรรพกาลปกคลุมมันไว้
จากนั้นท่ามกลางฝนราตรีด้านนอก สวี่ชิงจึงควบคุมเรือตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วใต้ท้องทะเล
เรือสองลำหนึ่งโจ่งแจ้งหนึ่งอำพราง แล่นห่างออกไปคนละทิศทาง ด้วยวิธีนี้น่าจะหลีกเลี่ยงการเพ่งเล็งของตัวตนระดับสร้างฐานได้ นี่เป็นวิธีที่สวี่ชิงคิด
และเวลานี้จากการที่เขาออกเรือไป เกาะที่ค่อนข้างเงียบท่ามกลางสายฝนแห่งนี้ จู่ๆ ก็สั่นสะเทือน ค่อยๆ ดำดิ่งลง…ทะเลตีเกลียวคลื่น รอยเลือดสายฝนไม่อาจชะล้างจนหมดจดในเวลาสั้นๆ เพียงพริบตาก็ล้างไปจนสะอาดหมดจด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนที่เกาะแห่งนี้ลอยขึ้นมาอีกครั้ง รอยเลือดทั้งหมดบนตัวมันก็ไม่เหลือเลยแม้เพียงน้อย ต้นไม้ใบหญ้าที่ล้มระเนระนาดกับหินภูเขาที่แตกหัก ก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมอย่างมหัศจรรย์
มีเพียงส่วนลึกใต้เกาะแห่งนี้ที่มีดวงตามหึมาคู่หนึ่งลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองเรือเร็วที่แล่นห่างออกไปอย่างเงียบเชียบอยู่นาน…ก่อนจะปิดลงอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา
สวี่ชิงที่นั่งบ่มเพาะพลังบำเพ็ญอยู่ในเรือเร็วใต้ท้องทะเลที่ความเร็วน่าตกตะลึง สองตาเปิดออกฉับพลัน ล้วงเอาแผ่นหยกควบคุมเรือเวทออกมา ดวงตาหรี่ลงช้าๆ
แผ่นหยกหักไปแล้ว
นี่อธิบายได้ว่าเรือเวทที่ลอยไปด้วยตนเองตามเส้นทางขามา พังยับไปแล้วเรียบร้อย
‘มีระดับสร้างฐานอยู่จริงๆ
‘ถ้าเช่นนั้นจะซ่อนตัวลงไปให้ลึกไม่เคลื่อนไหวจะกว่าดี รอจนการค้นหาของระดับสร้างฐานไม่เป็นผลแล้วค่อยหนีไป หรือว่าจะเพิ่มความเร็วหนีไปตอนนี้เลยดี’
สวี่ชิงครุ่นคิด เลือกข้อหลัง
เขาไม่อยากนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรอันตรายใต้ทะเลก็น่ากลัวเช่นเดียวกัน ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ยอมล่าถอยนานเข้าๆ ตนเองก็จะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำได้
เขาไม่อยากเอาชีวิตไปเดิมพันกับการล่าถอยของอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร
ดังนั้นขณะที่เพิ่มความเร็วเรือ ก็เก็บงำกลิ่นอายตนเองมากกว่าเดิม
ยังดีที่มีน้ำทะเลคั่นไว้ กลิ่นอายเดิมก็ถูกปิดบังไว้มากแล้ว เมื่อประกอบกับสวี่ชิงที่ไม่ต้องกลัวไอพลังประหลาด สิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้เขาดำลงไปได้ลึกขึ้น ทำให้ระดับการถูกกั้นของกลิ่นอายเพิ่มมากขึ้น
เรื่องเดียวที่จำเป็นต้องพิจารณาก็คือตัวเรือเร็วจะทนรับได้หรือไม่
แต่สวี่ชิงรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาขบคิดปัญหานี้ เรือเร็วแล่นอย่างรวดเร็วใต้ทะเลภายใต้การควบคุมของเขา เพียงไม่นาน ม่านตาสวี่ชิงก็หดลง
เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง ส่งมาจากทางผืนทะเล เหมือนกำลังตรวจสอบค้นหา
สวี่ชิงมุดลงลึกไปอีกหน่อยอย่างเงียบเชียบ เดินหน้าต่อไป
แต่ความอันตรายนั้นก็ยังคงอยู่ตลอด และเรือเร็วเวลานี้ก็เริ่มแบกรับแรงกดดันกับการรุกล้ำของไอพลังประหลาดไม่ไหว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะใช้ไม่ได้อีก สวี่ชิงจึงขมวดคิ้ว เก็บเรือเร็วลงมา แฝงตัวเข้าไปอยู่ในร่างกายอสูรคอยาวบรรพกาลแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง
จนเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งคืนเช่นนี้
อันตรายที่มาจากบนผืนทะเลเบาบางลงเรื่อยๆ แต่มีบางส่วนยังคงอยู่ ราวกับไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรบางอย่างชี้เป้าตัวสวี่ชิงไว้
นี่ทำให้สวี่ชิงไม่กล้าประมาท ขณะที่ขบฟันกำลังจะพุ่งลงไปในทะเลที่ลึกยิ่งกว่า คิดจะหลบหนีออกจากการชี้เป้านี้
และตอนนี้เอง จู่ๆ สวี่ชิงก็จิตวิญญาณสั่นสะเทือน แรงกดดันที่ยากจะพรรณนาได้วูบหนึ่งก็ร่วงลงมาจากฟากฟ้าฉับพลันกะทันหัน
สวี่ชิงอยู่ใต้ทะเลมองไม่เห็นสถานการณ์บนผิวน้ำ แต่สามารถสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของแรงกดดันนี้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระดับสร้างฐานสร้างขึ้น แต่เหมือนสิ่งที่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้าบางอย่างแผ่ซ่านกลิ่นอาย และขณะที่แรงกดดันนี้ปรากฏขึ้น ปราณเหล่านั้นที่เหมือนมุ่งเป้ามายังเขาก็สับสนกันขึ้นมา ราวกับรีบร้อนหลบหนี
ในใจสวี่ชิงสั่นสะเทือน ถือโอกาสนี้เร่งความเร็ว จนพุ่งทะลวงออกถึงอาณาเขตที่ห่างออกมา หลังจากสัมผัสถึงการถูกชี้เป้าไม่ได้แล้ว เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินหน้าต่อใต้ท้องทะเล
แต่เขาเข้าใจว่าทำแบบนี้ต่อไปในระยะยาวไม่ได้ บางทีอันตรายใต้ทะเลอาจจะยังไม่ปรากฏเวลานี้ แต่ซ่อนในทะเลเป็นเวลานาน จะต้องอันตรายยิ่งกว่าแน่นอน
ดังนั้นผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าบนผิวน้ำไม่มีอันตราย สวี่ชิงจึงค่อยๆ ลอยตัวขึ้น ตอนโผล่พ้นทะเลขึ้นมาครึ่งหัวเขาก็รีบสำรวจรอบด้าน แต่พริบตาต่อมาเขาก็ถูกภาพบนท้องฟ้าดึงดูดสายตาทั้งหมดไป
ท้องฟ้าเวลานี้ เดิมควรจะเป็นเช้าตรู่ แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสีดำสนิท
สาเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าดำสนิท คือเมฆดำกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง
ขอบเขตของเมฆดำนี้กว้างมาก ยาวนับร้อยลี้ คลุมฟ้าบังตะวัน
อาณาเขตที่สวี่ชิงอยู่ เวลานี้กำลังถูกมันปกคลุมอยู่ในเงามืด
ส่งเสียงลมอัสนี เสียงครืนครันต่อเนื่องในเมฆดำนี้ และมีสายฟ้าอีกหลายสายกำลังแลบแปลบปลาบ ลั่นฟ้าสะเทือนดิน ราวกับเป็นภัยพิบัติแห่งท้องนภา
ทุกที่ที่มันผ่าน มหาสมุทรก่อลมพายุ ราวกับกำลังกราบกรานต่อตัวตนบนท้องฟ้านี้!
ถ้าหากเพียงแค่นี้ยังพอทำเนา สิ่งทำให้สวี่ชิงตกตะลึงคือด้านในเมฆดำที่กำลังเคลื่อนไหวผืนนี้ มีตัวตนระดับที่จินตนาการไม่ได้เผยร่างกายออกมาส่วนหนึ่งตนหนึ่งแฝงอยู่ ทำให้เลือดเนื้อสวี่ชิงแข็งค้างไปทั้งร่าง จิตวิญญาณกำลังส่งเสียงครืนครัน หัวสมองขาวโพลนราวกับมีแรงสะกดด้วยพลานุภาพต่อสิ่งมีชีวิต
มีเพียงดวงตาที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ ทำให้เขามองเห็นด้านในเมฆดำชัดเจน มองเห็นรูปร่างเลือนลางของตัวตนที่น่ากลัวนั่น
นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่ดูคล้ายวิหคสรวงคล้ายอินทรี มีเปลวไฟสีดำเผาไหม้ทั้งร่าง!
หัววิหคสรวง คองู คางนางแอ่น หลังเต่า หางปลา!
ในเปลวไฟสีดำ ร่างของมันมีห้าสี สีสันฉูดฉาดอย่างมาก ราวกับว่าเปลวไฟสีดำก็ไม่อาจบดบังได้แม้แต่น้อย เวลานี้โบยบินอยู่ในเมฆดำ เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
กระทั่งมีท่วงทำนองเทพเจ้าที่คล้ายคลึงกับเสี้ยวหน้าเทพเจ้าอยู่รางๆ
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของมัน ทำให้พวกผู้บำเพ็ญที่ไม่รู้จักที่มีเจตนาร้ายกับสวี่ชิงเหล่านั้น จำใจต้องล้มเลิกการค้นหาทันที พากันเลี่ยงหนี
เวลานี้ฟ้าดินครืนครัน เมฆดำค่อยๆ ไปจากฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นท้องฟ้าสว่างไสวหลังชั้นเมฆ ร่างของสวี่ชิงเองก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา สูดลมหายใจลึกด้วยสัญชาตญาณ
แต่พริบตาที่เขาเพิ่งจะสูดลมหายใจเข้าไป จู่ๆ ตัวตนที่น่ากลัวขีดสุดในเมฆดำบนท้องฟ้าที่ห่างไปตนนั้นก็หันหน้ามามองผืนทะเลที่ห่างไกลผาดหนึ่ง
และเมื่อมองไป ผืนทะเลขนาดใหญ่ที่ห่างจากสวี่ชิงไปหลายสิบลี้ก็ปะทุขึ้นในพริบตา ก่อคลื่นยักษ์โถมสวรรค์ ก่อเกิดลมพายุ ไอพลังประหลาดเข้มข้นขึ้นมาฉับพลัน ราวกับถูกดึงมารวมกัน
สวี่ชิงต่อให้อยู่ห่างออกมามากจนมองเห็นไม่ชัด แต่ร่างกายก็ยังสั่นไหวตาม จิตวิญญาณสั่นสะเทือน
และวิหคสรวงอินทรีนั่นก็ถอนสายตาไปอย่างรวดเร็ว เลือนหายเข้าไปในเมฆดำ สลายหายไปยังขอบฟ้าที่ห่างไกลท่ามกลางเสียงอัสนีกึกก้อง
หลังจากที่คลื่นมหาสมุทรสงบลง สวี่ชิงก็สูดลมหายใจยาว เขาหน้าซีดเผือด มองไปยังฟ้าดินที่ห่างไกล จิตวิญญาณสั่นสะเทือนไม่สงบอยู่นาน
ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากวิหคเทพตัวนี้ คือสิ่งที่ไม่เคยเจอมาก่อนก่อนหน้าที่จะออกทะเลครั้งนี้ ในความรู้สึกของสวี่ชิงต่อให้เป็นคนยักษ์ลากราชรถสัมฤทธิ์ที่อยู่ใต้ทะเลลึกนั่นก็ยังเทียบกับตนเทพตัวนี้ไม่ได้
“มันคืออะไรกัน ทิศที่มันบินไปคือทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ…” ระหว่างที่สวี่ชิงพึมพำ จู่ๆ ก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง
“คำว่าวิหคในคำว่าทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ…”
ในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิงอ่านม้วนตำราในกรมปราบพิฆาตไปไม่น้อย เขาคิดถึงชื่อที่เรียกกันว่าครองพื้นที่ต้องห้ามของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไปถึงเจ็ดส่วน อยู่อีกฝากหนึ่งของเทือกเขาสัจธรรม พื้นที่อาณาเขตกว้างขวางผืนนั้น
‘พื้นที่ต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ พื้นที่ต้องห้ามปักษา…’
สวี่ชิงจิตใจสั่นสะเทือนไม่หยุด คาดเดาออกมารางๆ ครู่ต่อมาเขาก็สูดลมหายใจลึก สะกดการคาดเดานี้ไว้ เตรียมว่าเมื่อกลับไปแล้วจะไปสอบถามรวมถึงค้นหาข้อมูลเพื่อยืนยันเสียหน่อย
สวี่ชิงนำเอาความคิดนี้ดำลงไปในทะเลอีกครั้ง หลังจากทะยานไปหลายชั่วยามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา จึงกลับมาเหนือผิวน้ำอีกครั้ง นำเอาเรือเร็วออกมาแล้วเหยียบขึ้นไป ควบคุมเรือเร็วเพิ่มความเร็วหลบหนี
เพียงไม่นานก็ผ่านไปสามวัน สวี่ชิงระมัดระวังมาตลอดทาง สำรวจอยู่หลายครั้ง สุดท้ายจึงยืนยันว่าปราณที่มุ่งเป้ามายังตนเองหายไปแล้วจริงๆ จึงถอนใจโล่ง
ในใจเขาเดาว่าการปรากฏตัวของวิหค ได้ช่วยเหลือตนเองบางส่วน ทำให้พวกผู้บำเพ็ญที่เจตนาร้ายเหล่านั้น ไม่สามารถตรวจสอบตนเองได้อย่างชัดเจน และสูญเสียร่องรอยของตนเองไป
แต่สวี่ชิงก็ไม่กล้าประมาท แม้จะไม่ดำดิ่งลึกลงไปในทะเลอีก แต่ความเร็วยังคงอยู่ในระดับสูง ต่อให้ต้องสิ้นเปลืองหินวิญญาณก็ไม่เสียดาย
และในสามวันนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นฟูไปกว่าครึ่ง สีหน้าไม่ซีดขาวแล้ว ความเหนื่อยล้าที่มาจากการสังหารก็สลายไปเช่นกัน
เมื่อนึกย้อนถึงการสังหารก่อนหน้า ต่อให้เขาที่พลังต่อสู้พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา ก็ยังเผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าที่ไม่ได้เจอมานาน ยังดีที่ครั้งนี้สิ่งที่ได้รับมาน่าตกตะลึงมาก จึงทำให้สวี่ชิงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
สิ่งที่เขาได้มานอกจากคราบกิ้งก่าระดับเทพสามชิ้นแล้ว ยังมีคราบกิ้งก่าระดับรวมปราณขั้นแปดขั้นเก้าอีกสิบกว่าชิ้น ส่วนคราบกิ้งก่าระดับต่ำลงมาก็มีอีกนับไม่ถ้วน
นอกเหนือจากนี้ยังมีพวกของวิเศษล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่ง
กระทั่งของวิเศษอักขระเองเขาก็ยังได้มาอีกสามชิ้น แม้อักขระจะเลือนรางไปบ้าง แต่การใช้งานยังไม่เยอะมาก มูลค่าก็ไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนเรื่องหินวิญญาณ…สวี่ชิงคำนวณดู น่าจะมีประมาณสี่พันกว่าเม็ด
พวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดส่วนใหญ่จะไส้แห้ง สาเหตุที่สวี่ชิงได้รับมามากขนาดนี้ เพราะเขาสังหารคนไปทั้งเกาะ หยิบของมีค่าจากศพทีละศพ ในนี้ส่วนที่ให้กำไรหลักๆ คือกลุ่มภูตสมุทร
ส่วนลัทธินอกวิถี สวี่ชิงตรวจสอบกระเป๋าพวกเขาแล้ว ไม่รู้เพราะอะไรแต่ละคนดูไส้แห้งกันเหลือเกิน ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเสียดาย
แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนเองได้รับในครั้งนี้ สวี่ชิงก็ไม่ใส่ใจเรื่องที่ลัทธินอกวิถีไส้แห้งอีก
‘ยังไม่รวมคราบกิ้งก่าระดับเทพก็ได้รับหินวิญญาณมาประมาณสองหมื่นก้อนแล้ว’ สวี่ชิงนั่งอยู่บนกระดานเรือ หลังจากนับสินสงครามเสร็จ ก็ควบคุมเรือเร็วทะยานไปยังทิศทางเมืองเจ็ดเนตรโลหิต
การยกระดับของพลังบำเพ็ญรวมไปถึงสิ่งที่รับจากการออกทะเลครั้งนี้ ทำให้ขากลับสวี่ชิงไม่จำเป็นต้องสนใจการสิ้นเปลืองหินวิญญาณของเรือเร็วอีก
และการออกทะเลมาหลายวัน ก็ทำให้สวี่ชิงยิ่งเคารพยำเกรงต่อมหาสมุทรผืนนี้ลึกซึ้งขึ้น
หลังจากกระเป๋าเต็มทุกกระเป๋าแล้ว ความคิดของเขาก็มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือกลับไปให้ไวที่สุด
ดังนั้นสวี่ชิงจึงกระตุ้นเรือเร็วถึงขีดสุดภายใต้การสนับสนุนความเร็วของหินวิญญาณมหาศาล ความเร็วเร็วกว่าขามามากกว่าหนึ่งเท่าตัว ช้าสุดอีกสามวัน ตนเองก็จะกลับถึงสำนักจากการพิจารณาของเขา
และเพราะในเส้นทางถัดมาเข้าใกล้กับทะเลของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณแล้ว สวี่ชิงจึงไม่พบกับอันตรายใดอีก จนตอนที่ห่างจากท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตอีกประมาณครึ่งวัน เขาก็มองเห็นเรือร่วมสำนัก
นั่นเป็นเรือรบลำหนึ่ง กำลังตรงมาหาเขาทางนี้อย่างรวดเร็ว
แม้เรือรบลำนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นของกรมคุ้มกันสมุทรยอดเขาลำดับเจ็ด แต่สวี่ชิงก็ยังระมัดระวังในใจ อสูรคอยาวบรรพกาลใต้ทะเลแหวกว่ายเตรียมพร้อมโจมตีตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ยังสังเกตเห็นว่าใต้ทะเล ยังมีวาฬบรรพกาลของเรือรบกรมคุ้มกันสมุทรอยู่อีกห้าตัว
ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในนั้น หน้าตาก็แปลกออกไป ดูเหมือนวาฬบรรพกาล แต่อันที่จริงคล้ายกับฉลามบรรพกาลมากกว่า
สิ่งนี้ทำให้ในใจสวี่ชิงสั่นสะเทือน เกิดความระแวดระวังขึ้น
เพียงไม่นาน เรือรบลำนั้นก็ค่อยๆ เข้าประชิดพร้อมเกลียวม้วนของคลื่นบนผิวทะเล ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาในสายตาของสวี่ชิง
ตัวเรือขนาดมโหฬารสลักค่ายกลที่แผ่คลื่นพลังน่ากลัวออกมาเอาไว้เต็มเปี่ยม รอบตัวเรือยังมีหนามเวทที่มีพลังน่าตกตะลึงแผ่ออกมาอีกแปดสิบกว่าเล่ม ส่วนดาดฟ้าเรือก็มองเห็นศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดอยู่สามสิบกว่าคน
ทั้งหมดนี้ ทำให้เรือรบลำนี้เพียบพร้อมด้วยพลังรบที่แข็งแกร่ง
“ยอดเขาลำดับเจ็ดแห่งเจ็ดเนตรโลหิต กรมคุ้มกันสมุทรรักษาการณ์ เรือที่อยู่ด้านหน้าจงแจ้งชื่อเสียงเรียงนาม” เสียงเข้มงวด ดังออกมาจากบนเรือรบกรมคุ้มกันสมุทรขณะที่เข้ามาใกล้
“สวี่ชิง กรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ด” สวี่ชิงมองไปทางเรือรบกรมคุ้มกันสมุทร เอ่ยขึ้นอย่างสงบ
ผู้บำเพ็ญสามสิบกว่าคนบนเรือรบกรมคุ้มกันสมุทร กำลังยืนติดตามคนผู้หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด และคนที่ถูกพวกเขาติดตามเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ชุดนักพรตสีเทาบนตัวเขาโบกสะบัดตามลม สายตาประดุจแสงอัสนีพร้อมพลานุภาพที่แรงกล้า คลื่นพลังรวมปราณขั้นบริบูรณ์ทั่วร่าง ค่อนข้างไม่ธรรมดาเลย
ตอนนี้เขาจ้องมองมายังสวี่ชิงที่อยู่ในเรือเร็ว สายตามีประกายเฉียบคมแล่นผ่าน
“สวี่ชิง?” หลังจากสวี่ชิงขานชื่อ เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังสามสิบกว่าคนนั่นบนเรือรบกรมคุ้มกันสมุทร และก็มีคนหนึ่งเดินออกมาจากลุ่มคนอย่างรวดเร็ว โจวชิงเผิงนั่นเอง
เขาสีหน้ายินดี หลังจากทักทายกับสวี่ชิงแล้ว ก็หันตัวไปรายงานเสียงเบาเล็กน้อยกับชายหนุ่มที่เป็นระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์คนนั้นอย่างนอบน้อม
ชายหนุ่มพยักหน้าสีหน้าเรียบเฉย
โจวชิงเผิงประสานหมัด จากนั้นกระโจนออกจากเรือรบอย่างดีใจ ร่อนลงมาบนเรือเล็กของสวี่ชิง เผยรอยยิ้ม
“สวี่ชิง ไม่คิดว่าจะมาเจอเจ้าในทะเล เจ้าเพิ่งออกทะเลกลับมาหรือ”
“ออกมาพักหนึ่งแล้ว เตรียมตัวจะกลับสำนัก” สวี่ชิงมองชายหนุ่มคนนั้นบนเรือรบกรมคุ้มกันสมุทร
“นั่นคือพี่ใหญ่ของข้า ติงเซียวไห่แห่งกรมคุ้มกันสมุทร” โจวชิงเผิงเอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นกวาดตามองเรือเร็วของสวี่ชิง
“เจ้าไปเจอเรื่องอะไรมากัน ทำไมเรือถึงดูซ่อมซ่อขนาดนี้…เดิมทีกรมคุ้มกันสมุทรมีอำนาจตรวจสอบเรือทุกลำ แต่ของเจ้านี้ช่างมันเถอะ” โจวชิงเผิงยิ้ม จากนั้นก็ทักทายกับสวี่ชิงอีกเล็กน้อย ขณะที่สวี่ชิงอวยพร เขาก็ประสานหมัดเตรียมกลับไป
ก่อนหน้าที่จะจากไป เขาเหมือนคิดอะไรขึ้นได้ เอ่ยกับสวี่ชิงเสียงต่ำว่า
“จริงด้วยสวี่ชิง หลังจากเจ้ากลับมาช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งออกทะเลเลย กรมคุ้มกันสมุทรของพวกเราได้รับแจ้งว่า ช่วงนี้ใต้ทะเลไม่ค่อยสงบ ข้าได้ยินพี่ใหญ่พูดว่า เหมือนมีตัวตนที่น่ากลัวบางอย่าง ไม่รู้เพราะอะไรจึงปรากฏตัวขึ้น”
โจวชิงเผิงพูดถึงจุดนี้ สีหน้าก็มีความพรั่นพรึง ไม่พูดอะไรมาก หันหลังไหววูบกลับไปยังเรือรบทันที
“ตัวตนที่น่ากลัวหรือ” สวี่ชิงหรี่ตา สีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดขอบคุณไปทางโจวชิงเผิงที่กลับไปบนเรือรบ
เพียงไม่นาน เรือรบกรมคุ้มกันสมุทรก็ส่งเสียงวูมวูม หันหัวเรือค่อยๆ ห่างออกไป
ท่ามกลางการส่งด้วยสายตาของสวี่ชิง บนเรือรบกรมคุ้มกันสมุทรเวลานี้ ติงเซียวไห่รวมปราณขั้นบริบูรณ์ก็เหลือบตามองไปทางเรือเร็วของสวี่ชิง จากนั้นก็มองอสูรคอยาวบรรพกาลที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ใต้ท้องเรือ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบกับโจวชิงเผิงที่มารายงานข้างกายว่า
“โจวชิงเผิง เพื่อนร่วมรุ่นเจ้าคนนี้ไม่ธรรมดา”
โจวชิงเผิงตกตะลึง ตอบกลับเสียงเบา
“ศิษย์พี่ติง ก่อนหน้านี้ที่กรมปราบพิฆาตออกปฏิบัติการนกเขาราตรี เล่าลือกันว่ามีคนผู้หนึ่งสังหารหัวหน้าศัตรูด้วยสถานะที่ไม่ใช่หัวหน้ากลุ่ม…”
“คนผู้นี้นั่นล่ะ” ติงเซียวไห่สายตามีความลึกซึ้ง
โจวชิงเผิงได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเลื่อนลอยขึ้นอย่างอดไม่ได้ หันหน้ามองไปยังเรือเร็วของสวี่ชิงที่ห่างออกไป
และก็มองเห็นเงาเด็กหนุ่มบนเรือเร็วยืนอยู่ตรงนั้น คลื่นลมโหมแรง แต่กลับไม่ทำให้เขาสั่นไหวแม้เพียงน้อย