บทที่ 94 กู้มู่ชิง
เวลากว่าครึ่งวันเพียงแวบเดียวก็ผ่านพ้นไป
จันทร์กระจ่างปรากฏขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า ทะเลเงียบสงบก็ค่อยๆ หลับใหล แสงดาวทั่วฟ้าส่องมายังพื้นดิน คลุมผ้าคลุมหน้าลึกลับให้กับอ่าวทะเลของเมืองเจ็ดเนตรโลหิต
มองไกลๆ ยอดเขาทั้งเจ็ดที่ตั้งตระหง่านบนผืนดินและดวงตามหึมาสีเลือดทั้งเจ็ดดวงอันยิ่งใหญ่บนยอดเขา เหมือนทั้งปกป้อง และเหมือนทั้งสยบกำราบ
สิ่งที่ปกป้องคือความรุ่งโรจน์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้ประชาชนคนธรรมดาวาดหวังอยากมาเยือน ยินดีที่จะมาสร้างคุณค่าของตัวเองที่นี่โดยจ่ายค่าอยู่อาศัยจำนวนมหาศาล ทำให้กิจการของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อไปได้
สิ่งที่สยบกำราบคือโลกภายนอก ทำให้ต่างเผ่าพันธุ์และผู้ที่จิตคิดไม่ซื่อไม่กล้ามาหาเรื่อง
ส่วนความโหดเหี้ยมของลูกศิษย์ภายในสำนัก นั่นคือเพื่อการเลี้ยงกู่ เลี้ยงหมาป่าที่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปในโลกกาวินาศใบนี้ได้ออกมา
เพราะมีเพียงหมาป่าเช่นนี้เท่านั้นถึงจะคู่ควรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เสพสุขกับสิทธิ์การแบ่งปันผลประโยชน์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
สวี่ชิงตอนนี้เข้าใจกฎของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอย่างกระจ่างแจ้งถ่องแท้แล้ว เขาทอดสายตามองอ่าวที่อยู่ข้างหน้า ความเร็วของเรือเร็วที่อยู่ใต้เท้าช้าลง ค่อยๆ เข้ามาในท่าเรือ
เรือเวทของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแต่ละลำลอยกระจัดกระจายอยู่ทั่วน่านน้ำ แสงจ้าจากประภาคารทุกเส้นกวาดไปทั่วทุกทิศ ทำให้ระลอกคลื่นน้ำทะเลที่ส่องแสงระยิบระยับใต้แสงจันทร์ เมื่อถูกแสงของประภาคารส่องมาก็เจิดจ้าพร่างพราวขึ้นทันที
จวบจนเมื่อแสงไฟจากประภาคารเส้นหนึ่งในนั้นส่องมายังเรือลำหนึ่งที่ดูทรุดโทรมอีกทั้งใกล้จะแตกแล้วเต็มทีที่ประตูทะเลท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า มันก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
แสงไฟมารวมยังข้างหน้าสวี่ชิงที่ยืนอยู่ทางนั้นอย่างรวดเร็ว
แสงจ้าบาดตา สวี่ชิงหรี่ตาลง ยกมือขึ้นป้อง หยิบเอาป้ายฐานะของตนเองออกมา
แสงอ่อนโยนเปล่งออกมาจากป้ายฐานะ เหมือนมีค่ายกลไร้รูปร่างกวาดผ่าน ยืนยันตัวตนของสวี่ชิง ไม่นานประตูใหญ่ของท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าข้างหน้าก็ค่อยๆ แง้มเปิดประตูบานเล็กช้าๆ
แสงที่สาดมาที่สวี่ชิงตอนนี้ก็เบนเปลี่ยนทิศไปแล้ว ทำให้โลกข้างหน้าสวี่ชิงดำมืดไปในทันที แต่ไม่นานก็หวนคืนเป็นปกติ
จากที่เรือเร็วของเขาที่เข้าประตูเล็กมาจอดที่ท่าเรือ จากลมชายฝั่งที่คุ้นเคยก็พัดกลิ่นที่คุ้นเคยมา พัดเส้นผมของสวี่ชิงให้ปลิวขึ้น เขามองท่าเรือด้านหน้าก็ถอนหายใจยาวแผ่วเบาในใจ
ไม่ว่าจะอย่างไร ต่อให้ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตจะมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายโหดเหี้ยมถึงเพียงไหน แต่เมื่อเทียบกับในท้องทะเลแล้วยังดีกว่าเล็กน้อย
ในเมื่อศัตรูที่ลูกศิษย์ล่างเขาที่ได้เจอทั้งหมดล้วนมีพลังบำเพ็ญที่ไม่เหนือกว่าตัวเองในระดับที่ต่างกันมากนัก
“กลับมาแล้ว” สวี่ชิงพึมพำ บังคับเรือเร็วกลับมายังท่าจอดเรือของตัวเอง
และการกลับมายามดึกของเขาก็ดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าบางคน
หากเป็นคนอื่น บางทีพวกเขาอาจแค่ปรายตามองไม่สนใจ แต่หลังจากที่สังเกตว่าเป็นสวี่ชิง ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยก็ต่างเดินออกมาจากเรือเวท ประสานหมัดคารวะทักทายสวี่ชิง
การทะลวงขั้นของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ การปรากฏตัวของวาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามทำให้เขามีชื่อเสียงในท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าแห่งนี้มาก
ลูกศิษย์ที่เดินออกมาจากเรือเวทเหล่านี้ ยามที่กวาดสายตามองสวี่ชิงก็สังเกตเห็นเรือเร็วที่ยับเยินของเขา ในใจต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงเจอกับอันตรายอย่างใหญ่หลวงในทะเล
ทว่าลูกศิษย์ล่างเขาส่วนใหญ่ล้วนรู้ขอบเขตกันทั้งนั้น รู้ว่าอะไรไม่ควรถามก็ไม่ถาม ดังนั้นจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นความเสียหายของเรือเร็วสวี่ชิง
พบกับการทักทายจากผู้ร่วมสำนัก สวี่ชิงก็ประสานหมัดคารวะตอบ จวบจนเมื่อเรือเร็วของเขามาเทียบท่าจอดเรือ สวี่ชิงก็มองไปรอบๆ เดินเข้าไปในห้องเรือ นั่งลงขัดสมาธิ
เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ออกล่องเรือไปในทะเล
ใจของสวี่ชิงสงบนิ่งจากการสังการฆ่าล้างเมื่อก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์ตามดวงตาทั้งสองข้างที่ปิดลง แต่ความระมัดระวังของเขาได้ฝังลึกเข้าไปในวิญญาณแล้ว โดยเฉพาะวันนี้นำของกลับมาเต็มไม้เต็มมือ แม้จะมีโอกาสเป็นไปได้มากว่าจะไม่มีใครกล้าแย่งชิงเหตุเพราะชื่อเสียงของเขาในตอนนี้ แต่ความระมัดระวังที่จำเป็นก็ควรมีอยู่
ดังนั้นสวี่ชิงจึงโปรยผงพิษไว้รอบๆ ท่าจอดเรือที่นี่มากยิ่งกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นในทะเลหรือบนฝั่ง
ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็ไม่ลืมเรื่องที่ก่อนตนจะจากไปได้ฆ่าเด็กหนุ่มเผ่าเงือกเรื่องนั้น และอีกฝ่ายก็มีผู้คุ้มครองในท่าเรือ
“ไม่รู้ว่าเรื่องที่ปลาตัวนั้นตายตอนนี้จบสิ้นแล้วหรือยัง” สวี่ชิงพึมพำ ไม่ได้ไปถามคนอื่น แต่กำหนดลมหายใจด้วยความระมัดระวังต่อไป
คืนหนึ่งผ่านไป
เช้าตรู่วันที่สอง ลมสงบท้องฟ้าแจ่มใส
รุ่งอรุณเหมือนหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งย่างเยื้องมาอย่างแผ่วเบา สาดแสงอ่อนโยนตลอดเส้นทาง ปลุกสรรพชีวิตทั้งหลายให้ตื่นขึ้น และขับไล่ความหนาวเหน็บยามราตรีไปจากโลก
สวี่ชิงลืมตาขึ้นตามแสงที่สาดเข้ามา เดินออกไปข้างนอก ทอดสายตาไปทางเขตท่าเรือ
ภาพที่สะท้อนในดวงตาของสวี่ชิงคือโลกที่คุ้นเคย แสงที่คุ้นเคย เงาร่างที่คุ้นเคย ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุ้นเคย
ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ลาดตระเวน หรือจะเป็นสหายร่วมสำนักที่ตื่นเช้า หรือจะเป็นเสียงเอะอะโหวกเหวกจากประชาชนและกลิ่นหอมหวนจากอาหารที่ลอยมาตามลมล้วนทำให้สวี่ชิงอารมณ์ดีทั้งนั้น
เขาไม่สนใจรอยขาดบนชุดนักพรต ร่างกระโดดลงมาจากเรือเร็ว หลังจากที่เก็บเรือเรียบร้อย ก็ไปร้านขายอาหารเช้าที่เคยไปทุกวันก่อนเป็นอันดับแรก กินอิ่มแปล้ไปอีกมื้อพร้อมกับการทักทายอย่างกระตือรือร้นจากเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านหลังจากที่กวาดตามองก็ไม่สนใจชุดนักพรตที่ขาดเล็กน้อยของเขา เรื่องประเภทนี้เขาเห็นมามากแล้ว
รสสัมผัสที่คุ้นเคยทำให้ครั้งนี้สวี่ชิงกินเป็นสองเท่าของที่ผ่านมา หลังจากคิดเงินและเดินออกมาแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปกรมปราบพิฆาตเพื่อยกเลิกวันหยุดในทันที แต่ไปกองกิจการลูกศิษย์ที่เมืองหลัก เขาจะไปซื้อชุดนักพรตใหม่ชุดหนึ่งที่นั่น
หลังจากเปลี่ยนชุดแล้ว สวี่ชิงก็ครุ่นคิด ก่อนจะเดินไปกรมขนส่งที่จางซานอยู่ เขารู้สึกว่าเรือเร็วซ่อมนิดหน่อยก็สามารถใช้ได้ ส่วนเรือเวท…นั่นต้องหลอมใหม่ แต่ว่านึกถึงผลเก็บเกี่ยวของตัวเอง สวี่ชิงคิดว่าหลอมใหม่ก็ไม่ใช่ปัญหา
‘แล้วก็ยังมีครั้งที่แล้วที่เอาเปรียบจางซาน ครั้งนี้ก็ต้องชดเชยให้’ สวี่ชิงลูบกระเป๋าเสื้อ สาวเท้าไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ในยามที่แสงอาทิตย์เจิดจ้าแผดเผา สวี่ชิงก็เห็นกรมขนส่งอยู่ลิบๆ และเห็นว่านอกจากสมาชิกของกรมขนส่งแล้ว ยังมีศิษย์ที่ไม่คุ้นหน้าอีกจำนวนหนึ่ง
ศิษย์เจ็ดแปดคนนั้นล้วนเป็นผู้หญิง แต่ละคนล้วนรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ต่อให้เป็นชุดนักพรตก็ไม่อาจปกปิดอะไรได้มาก มองเห็นส่วนโค้งเว้าเป็นระลอกคลื่น ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
และต่างมีหน้าตาสะสวย บุคลิกอย่างวิถีลูกกลอนอันเป็นเอกลักษณ์ของยอดเขาที่สอง
พวกนางล้วนเป็นลูกศิษย์ของยอดเขาที่สอง
ตอนนี้ ในบรรดาพวกนางยังมีศิษย์หลักคนหนึ่งถูกห้อมล้อมเอาไว้ นางสวมชุดนักพรตสีส้มอ่อน ต่อให้อยู่ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก รูปร่างหน้าตาของนางก็เป็นเช่นนั้นเช่นกัน งดงามผุดผาดเปล่งประกาย เป็นหญิงงามเลิศล้ำ รูปร่างอ้อนแอ้นอรชร อายุราวสิบหกสิบเจ็ด คิ้วตาใสกระจ่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความงดงาม
เหมือนโดยปกติหญิงสาวคนนี้ก็อ่อนโยนนุ่มนวลเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ดังนั้นแม้นางจะถูกห้อมล้อม แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสอย่างศิษย์หลักคนอื่น ยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้นก็สง่างามเป็นอย่างมาก
สายตาของสวี่ชิงกวาดไป เดินเข้าไปใกล้อย่างช้าเนิบ ก็เห็นจางซานที่ถูกห้อมล้อมด้วยลูกศิษย์ยอดเขาที่สองเหล่านี้
เทียบกับลูกศิษย์ยอดเขาที่สองที่หน้าตาไม่ธรรมดาเหล่านี้ จางซานที่นั่งยองๆ บนกระสอบทรายพลางถูมือ หน้าตาของเขาไม่ได้โดดเด่น ท่าทางอย่างชาวนาแก่ๆ ดูแล้วใสซื่อนัก
จางซานเห็นการมาเยือนของสวี่ชิงได้ในเสี้ยวพริบตา เขาทักทายสวี่ชิง แล้วตบอกตัวเองปุๆ ให้กับลูกศิษย์ยอดเขาที่สองที่อยู่ข้างกาย
“พวกเจ้าวางใจได้ ครั้งนี้ไม่มีปัญหา ข้าเหล่าจางออกทะเล ทุกเผ่าล้วนไว้หน้ากันอยู่บ้าง”
สังเกตเห็นว่าจางซานเหมือนกำลังคุยเรื่องค้าขายอยู่ สวี่ชิงก็ไม่ไปรบกวน แต่เดินไปยังที่มืดข้างๆ รอคอยอย่างเงียบๆ
สวี่ชิงในชุดนักพรตสีเทาในเงามืด หน้าตาหล่อเหลา สีหน้าดูอ่อนโยน เพียงแต่ที่มืดที่ยืนอยู่เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนกับแสงอาทิตย์ที่โลกภายนอก
อยู่ใต้แสงอาทิตย์มองไปแล้วจะเห็นว่าความอ่อนโยนของสวี่ชิงเป็นเพียงแค่หน้ากากชั้นหนึ่งเท่านั้น และใต้หน้ากากนั้นคือสีหน้าอันเฉยชาที่ผสานรวมกับเงามืด มีความกระด้างเย็นชาที่เข้าถึงได้ยากอยู่สามส่วนรางๆ
ด้วยเหตุนี้ ใต้เส้นผมดำที่ราวม่านน้ำตกและการขับเน้นจากเงาร่างที่ผึ่งผาย ก็ก่อเกิดเป็นบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
นี่จึงสร้างความสนใจให้กับลูกศิษย์ยอดเขาที่สอง ดวงตางดงามล้วนกวาดไปยังร่างของเขา
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ รอคอยอย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก จางซานก็คุยกับลูกศิษย์ยอดเขาที่สองพวกนั้นเสร็จ เดินมาหยุดที่ด้านหน้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า
“เจ้าหนูในที่สุดก็กลับมาแล้ว ผลเก็บเกี่ยวการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ดี” สวี่ชิงมองจางซานพลางยิ้ม
“ได้อะไรกลับมาก็พอแล้ว เห็นแล้วใช่หรือไม่ ลูกศิษย์ยอดเขาที่สองพวกนั้น” จางซานใบหน้าแฝงรอยได้ใจ คางพยักเพยิดไปทางลูกศิษย์ยอดเขาที่สองที่กำลังจากไป
“เห็นแม่หนูที่สวยที่สุดในนั้นหรือไม่ นั่นคือกู้มู่ชิงศิษย์หลักของยอดเขาที่สองเชียวนะ เป็นคู่ฝึกเต๋าในฝันของคนไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แฮ่ม ซึ่งก็เป็นความฝันของข้าเหมือนกัน
“พวกนางจะออกทะเลไปฝึกฝน นี่เป็นงานใหญ่เชียวนะ ข้าแข่งขันกับสหายร่วมสำนักในท่าเรือเรามากมายถึงจะได้สิทธิ์พาพวกนางออกทะเล นายกองของพวกเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้”
จางซานพูดถึงตรงนี้ก็มองไปทางสวี่ชิงอย่างคาดหวัง เหมือนอยากเห็นความอิจฉาของเขา
สวี่ชิงพยักหน้า
จางซานรู้สึกหมดสนุกนิดๆ
“ข้าว่านะ…ศิษย์น้องสวี่ชิง เจ้าควรยินดีกับข้าสักหน่อยดีหรือไม่ ไม่แน่ว่าหลังจากครั้งนี้ข้าอาจจะมีคู่ฝึกเต๋าก็เป็นได้”
สวี่ชิงคิดๆ ก็รู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผล ดังนั้นจึงเค้นสีหน้าอิจฉา พูดออกมาอย่างจริงจัง
“ยินดีด้วย”
จางซานหมดคำจะพูด ล้มเลิกความคิดที่อยากจะเห็นความอิจฉาของสวี่ชิง
“ช่างเถอะ ลำบากเจ้าแล้ว…เจ้ามาครั้งนี้คือจะมาซ่อมเรือเวทใช่หรือไม่”
สวี่ชิงเก็บสีหน้า หยิบเอาคราบกิ้งก่าทะเลที่คุณภาพพอใช้ได้ออกมาชิ้นหนึ่ง
“ศิษย์พี่จาง ที่ข้ามาวันนี้เรื่องแรกคืออยากซ่อมเรือเวท อีกเรื่องคืออยากเพิ่มคราบกิ้งก่าทะเล ทำให้เรือเวทที่หลอมออกมามีความแข็งแรงที่สูงขึ้น” สวี่ชิงเพิ่งพูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็หยุด เงยหน้ามองไปทางลูกศิษย์ยอดเขาที่สองที่ห่างออกไปไม่ไกล
ลูกศิษย์ยอดเขาที่สองเหล่านี้ เดิมทีจะจากไปแล้ว แต่ตอนนี้ กู้มู่ชิงอัจฉริยะยอดเขาที่สองจากปากของจางซานคนนั้นสังเกตเห็นคราบกิ้งก่าทะเลที่สวี่ชิงหยิบออกมา ฝีเท้าพลันหยุดชะงัก ดวงตาวาววาบ
“สหายร่วมสำนักผู้นี้ ที่อยู่ในมือเจ้าคือคราบกิ้งก่าทะเลระดับรวมปราณขั้นแปดใช่หรือไม่”
เสียงของกู้มู่ชิงแฝงด้วยเสียงอ่อนเยาว์อันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กสาว ความอ่อนโยนละมุนละไมแผ่ซ่านมาในแสงอาทิตย์ผสานรวมกับกลิ่นหอมของลูกกลอนจากตัวนาง เหมือนแว่วเสียงเพลงขับขาน ทำให้คนเมื่อได้ฟังแล้วก็สัมผัสได้ถึงความงดงามโดยไม่รู้ตัว
เพียงแต่เมื่อดังมาในหูสวี่ชิง เขากลับขมวดคิ้ว เก็บคราบกิ้งก่าทะเลลงไปตามสัญชาตญาณ มองไปที่คอของกู้มู่ชิงอย่างระแวดระวัง
ขณะเดียวกันในใจก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง และเตือนตัวเองว่าจะเอาออกมาโดยประมาทเพราะคราบกิ้งก่าที่ได้มาครั้งนี้มีมากอีกทั้งร้านในสำนักสามารถซื้อวัตถุนี้ได้ไม่ได้
ตัวเองควรจะรอให้อีกฝ่ายไปแล้วค่อยเอาออกมาถึงจะถูก
กู้มู่ชิงก็สังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าสวี่ชิง จึงรีบอธิบาย
“ข้าอยากหลอมยาชนิดหนึ่ง ต้องการคราบกิ้งก่าทะเลจำนวนมาก คุณภาพยิ่งสูงยิ่งดี ในเมืองข้าซื้อหมดแล้ว ครั้งนี้ออกทะเลก็เพราะสาเหตุนี้ แต่ไม่รู้ว่าผลเก็บเกี่ยวจะพอหรือไม่ ดังนั้น หากเจ้ามีเหลือข้ายินดีจะซื้อในราคาสูง”
กู้มู่ชิงพูดจบก็มองสวี่ชิง ดวงตาใสกระจ่างเป็นประกาย คิ้วเรียวโก่งดุจใบหลิว ขนตายาวขยับแผ่วเบาของนางซ่อนความความหวังเอาไว้ลึกๆ
สวี่ชิงลังเล ใช่ว่าจะขายให้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนอื่นเขาต้องพิจารณาว่าเพียงพอกับการยกระดับเรือเวทของตัวเองหรือไม่
จางซานที่อยู่ข้างๆ อึ้งไปครู่หนึ่ง เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง มองสวี่ชิงที่กำลังขบคิดอย่างจริงจัง แล้วมองไปทางกู้มู่ชิงที่จ้องตาไม่กะพริบ เขาพลันรู้สึกว่าแผนเดินทางออกทะเลของตัวเองครั้งนี้เหมือนจะล่มแล้ว
กระทั่งรู้สึกรางๆ ว่า ตัวเองยืนอยู่ตรงนี้เหมือนจะเป็นส่วนเกิน
ดังนั้นจางซานจึงกระแอมขึ้นมา กำลังจะเอ่ยปาก แต่ตอนนี้กู้มู่ชิงที่จ้องใบหน้าสวี่ชิงเขม็ง จู่ๆ ก็นึกอะไรได้ ดวงตาวาววาบขึ้นอีกครั้ง
“ข้านึกออกแล้ว เจ้าคือสวี่ชิง!”