เยี่ยเฉินรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ปากของสตรีผู้นี้ร้ายกาจ เรื่องต่อปากต่อคำกับนางไม่มีทางที่เขาจะเป็นคู่มือได้อยู่แล้ว
แต่แม้ว่าจะเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว ก็ยังคงถูกยั่วยุจนกรุ่นโกรธอยู่ดี ในลำคอหวานวูบ กระอักเลือดสดออกมาในปากคำหนึ่ง
แต่เขาก็กลืนกลับลงไป
หากคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ที่จริงเขาก็ไม่ได้ล่วงเกินนางในที่ใดนี่นา
อย่างมากก็เพียงแค่เห็นความงามบังเกิดกิเลส คิดจะจับนางมาเป็นสนมเท่านั้น แค่นี่ก็ต้องลงมือกลับถึงขนาดนี้ด้วยหรือ?
ทำไมสตรีผู้นี้ถึงได้โหดเ**้ยมจนถึงขนาดต้องคิดฆ่าเขาด้วยเล่า?
ไม่เพียงแต่จะฆ่าเขา แต่ยังเหยียดหยามเขาถึงเพียงนี้!
ทรวงอกของเยี่ยเฉินกระเพื่อมขึ้นลง เขาคิดอยากจะชกสักหมัด แต่ว่าน่าเสียดาย เมื่อถูกยันต์กระหนาบภูผาของตู๋กูซิงหลันสะกดเอาไว้ ย่อมไม่อาจขยับร่างกายได้แม้แต่น้อย
เอ็นร้อยหวายทั้งหมดขาดสะบั้น เจ็บปวดสุดพรรณนา
กริชของนางแทงลงมาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะแทงลงไปในปากแผลเดิม แต่กว้านลงไปเป็นบริเวณกว้าง และแม้แต่เอ็นร้อยหวายอีกข้างก็ยังขาดไปด้วย
“อืม ต่อไปก็ข้อมือล่ะนะ” ตู๋กูซิงหลันอมยิ้มออกมา ควงกริชในมือ
กริชเล่มนี้หลอมตีขึ้นจากทองคำดำ ระหว่างจัดสร้างต้องสิ้นเปลืองหินวิญญาณไปจำนวนไม่น้อย ไม่มีทางที่จะบิ่นหรือหักโดยง่าย
ต่อให้เป็นเยี่ยเฉินที่มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ แทงลงไปก็ไม่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย
บนตัวกริชยังคงมีเลือดอุ่นๆหยดอยู่ตลอดเวลา นางก็ไม่เสียเวลาแม้แต่จะเช็ด แทงกริชอาบเลือดเล่มนั้นลงไปบนหลังมือของเยี่ยเฉิน ทั้งๆที่มีเลือดอย่างนั้นเลย
เขาทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเป็นประกายระยิบระยับ นางยิ้มอย่างเ**้ยมโหด
“พูดออกไปเจ้าก็คงจะไม่เชื่อ บรรพบุรุษของบ้านข้าเคยเป็นคนฆ่าหมูมาก่อน” ตู๋กูซิงหลันใช้สันกริชเคาะลงไปบนมือของเยี่ยเฉินเบาๆ เอ่ยอย่างอ้อยอิ่งว่า “วิธีการเฉือนข้อมือเนี่ย ข้าเคยเรียนมาเรียบร้อย”
“วิธีการเฉือนมือนะ ตอนแรกก็ต้องกรีดตรงข้อมือให้เป็นแผลก่อนครั้งหนึ่ง…..” ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็จับข้อมือของเยี่ยเฉินมากรีดอย่างไม่มีเกรงอกเกรงใจมีดหนึ่ง
ยามที่แยกหนังออกมาจากเนื้อ ก็ไม่มีอืดอาดยืดยาดเลยสักนิด
“แล้วทีนี้นะ ก็ปล่อยให้เลือดไหล โดยการตัดเส้นเลือดให้ขาด อีกประเดี๋ยวตอนเลาะเอ็นข้อมืออกมา ก็จะยิ่งสนุกสนาน…”
ตู๋กูซิงหลันเป็นพวกชอบปฏิบัติ ทุกครั้งที่พูดออกมาจบคำ ก็จะลงมือทันที
กริชในมือของนางหมุนคว้าง ตัดเอ็นข้อมือของเขาขาดสะบั้น
พอสิ้นเสียงฉับเลือดสดๆก็ทะลักออกมา
คราวนี้สีหน้าของเยี่ยเฉินถึงกับซีดขาวอย่างที่สุด เขากัดฟัดแน่น เกือบจะกรีดร้องออกมา
นังเดรัจฉานนี้มันไม่เพียงแต่โหดเ**้ยม หนำซ้ำยังรู้จักวิธีทรมานผู้คนเป็นอย่างดี!
เขาไม่ยอมส่งเสียงครวญคราง แต่พยายามจะปลุกพลังวิญญาณขึ้นมา คิดจะทะลวงยันต์กระหนาบภูผาของนาง
ตู๋กูซิงหลันทำเป็นว่ามิได้สนใจแม้แต่น้อย นางพูดอย่างช้าๆต่อไปว่า “บรรพชนของบ้านข้า นอกจากเป็นคนฆ่าหมูแล้ว ยังมีฝีมืออื่นๆอีก รู้จักวิธีทรมานคนแบบต่างๆ อีกสักครู่ยังมีแบบอื่นๆที่เยี่ยมกว่ามาปรนนิบัติ หากไม่อยากรับความลำบาก สิ่งที่ข้าถามออกไป ก็จงตอบมาตามตรง”
เยี่ยเฉินกัดฟันมองดูนาง ถึงร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมาก แม้ว่าจะถูกทรมานเช่นนี้ไปรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ถือว่าบาดเจ็บหนักหนาอะไร
ขอเพียงจิตวิญญาณมังกรยังไม่ดับสูญ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะรอดไปไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเขาเคยผ่านการฝึกฝนการรักษาด้วยคาถาอาคมที่แข็งแกร่งมาก่อน
บาดแผลที่ตู๋กูซิงหลันทำร้ายเขา พอผ่านไปเพียงครู่เดียว บาดแผลของเขาก็จะปิดเข้าหากันจนสนิท ต่อให้ตัดมือตัดเท้าทิ้งไปก็ยังเป็นเช่นเดียวกันอยู่ดี
“หืม ถลึงตาใส่ข้ารึ? ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวพอตัดมือเสร็จแล้วก็ควักลูกตาออกมาก็แล้วกัน” ตู๋กูซิงหลันทำสีหน้าเย็นชา เดิมทีก็เป็นคนที่มีบุคลิกขัดแย้งในตนเองอย่างที่สุดอยู่แล้ว
ยามเกลียดชังก็เกลียดอย่างที่สุด ยามมีเมตตาก็เมตตาอย่างที่สุดเช่นกัน
ว่าแล้ว กริชในมือก็แทงลงไปในข้อมือของเขาอีกครั้ง พอออกแรงเล็กน้อย เยี่ยเฉินก็สามารถได้ยินเสียงมีดที่แยกกระดูกกับเนื้อออกจากกัน
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความเจ็บปวดในยามนี้ยังรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้มากมายหลายเท่า
พอเห็นว่ามือครึ่งหนึ่งกำลังขาดออกจากข้อมือ ในที่สุดเยี่ยเฉินก็ยอมเปิดปาก “เจ้ามิใช่บอกว่า แค่จะเลาะเอ็นมือเอ็นเท้าหรอกหรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “หูข้างไหนของเจ้าที่ได้ยินข้าพูดเช่นนั้นกัน ข้ามิได้บอกอยู่ตลอดว่าจะตัดมือของเจ้าต่างหากหรือ?”
เยี่ยเฉินเจ็บปวดจนเหงื่อออกทั่วศีรษะ เขาเกือบจะลืมไปแล้ว ว่าจะไปถกเหตุผลกับนังเดรัจฉานนี่ได้อย่างไรกัน
ไม่ไกลออกไป ฟ่านอิงได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา
ก่อนค่ำคืนนี้ เขาเข้าใจไปว่าสาวน้อยผู้นี้บริสุทธิ์สดใสน่ารักไร้เดียงสา แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นฝีมือของนางที่ทั้งโหดเ**้ยมและน่าสยดสยอง เขาจึงพึ่งจะได้รู้ว่า ที่แท้นี่ต่างหากที่เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
เด็กสาวตัวน้อยร้ายอย่างยิ่ง ทั้งร้ายกาจทั้งเ**้ยมโหด
มิน่าเล่า…ตัวหมากที่ตอนนั้นเขาส่งไปยังต้าโจว ถึงได้ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
มีตัวฉกาจที่มีแผนร้ายอยู่เต็มกระเพาะเช่นนี้ ต่อให้เป็นฉางซุนซิ่ว ก็ต้องได้แต่รอถูกเชือดสถานเดียว
ท่านเจ้าสำนักขยับเข้าไปใกล้ต้นไห่ถางต้นหนึ่งพลางทรุดตัวลงนั่ง เขาปิดตาลง คำพูดทั้งหมดของศิษย์น้อยไหลเข้ามาในหู
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ชอบใช้วิธีการโหดเ**้ยม เหมือนอย่างวิธีการของซ่งชิงอี
แต่ว่าพอศิษย์น้อยขอตนเองลงมืออย่างเ**้ยมโหด เขากลับรู้สึกว่า น่ารักน่าเอ็นดูอะไรเช่นนี้
หากว่าการทรมานผู้คนเป็นงานอดิเรกที่นางชื่นชอบ เช่นนั้นต่อไปเวลาพบกับพวกชั่วช้า ก็จับมันมาให้ศิษย์น้อยทรมานเล่นก็ดีเลย
จะตัดมือตัดเท้าก็ว่าไป ขอเพียงนางชอบ ต่อให้ตัดหัวพวกมันก็ย่อมได้
สมองของท่านเจ้าสำนักปวดร้าวจนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วายคิดหาอะไรมาสร้างความพอใจกับศิษย์น้อย
มิว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น ขอเพียงมีศิษย์น้อยอยู่ตรงนี้ ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญ
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ปล่อยให้เยี่ยเฉินได้มีโอกาสพักหายใจแม้แต่น้อย
“ยังไม่ยอมสารภาพอีก มือข้างนี้ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม” นางยกมือขึ้นมาปักกริชลงไปอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว มือขวาของเยี่ยเฉินก็ขาดสะบั้นออกมา
เฉือนออกไปทั้งกระดูก! หล่นลงไปอยู่ตรงหน้าเขา
“ต่อให้ความสามารถในการรักษาตัวของเจ้าสูงส่งเพียงไร ยังจะสามารถงอกมือขึ้นมาใหม่อีกข้างหนึ่งได้หรือ?”
นางยิ้มอย่างเย็นชา แทงกริชลงไปในข้อมือซ้ายของเขา
เยี่ยเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป เจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
กริชเล่มนี้เย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง แทบจะทำให้เลือดในกายของเขาจับตัวเป็นก้อนหมดแล้ว
พอมองเห็นรอมยิ้มที่โหดเ**้ยมของตู๋กูซิงหลัน ในที่สุดในใจก็ต้องเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
“แดนสวรรค์…. มารดาของข้าคือเทพธิดาบนสวรรค์ หลังเกิดเรื่องที่ทะเลไร้ก้นบึ้ง เผ่ามังกรทมิฬก็พังพินาศ ข้าย่อมต้องกลับไปยังแดนสวรรค์”
“อ้อ?”
ตู๋กูซิงหลันกำลังรอฟังคำถัดไปจากเขาอยู่
ฐานะของหวาชางสุย บิดาคนงามได้บอกนางเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ลูกหลานของผู้กระทำผิดบนสรวงสวรรค์….
ทั่วทั้งเผ่ามังกรทมิฬล้วนถูกแดนสวรรค์กักขังเอาไว้ทั้งหมด ทั้งๆที่เยี่ยเฉินที่มีฐานะของทั้งสองฝ่าย แต่คนของแดนสวรรค์ก็ยังรับตัวเขาเอาไว้…..
ผู้ที่รับตัวเอาไว้จะต้องมีฐานะยิ่งใหญ่เหลือประมาณ
เพราะว่าก่อนหน้านี้ ผู้ที่ครอบครัวของหวาชางสุยล่วงเกินก็คือ เง็กเซียนฮ่องเต้
พออยู่ๆเยี่ยเฉินก็ร้องโพล่งออกมาเช่นนี้ ในใจของตู๋กูซิงหลันก็คาดเดาได้หลายส่วนในทันที
“วันนี้เจ้ากล้าทำร้ายข้า ใต้เท้าผู้นั้นจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”
รอคอยมาตั้งเนิ่นนาน ตู๋กูซิงหลันก็กำลังรอประโยคนี้อยู่พอดี
อีกนิดเดียวนางก็จะกระทืบเยี่ยเฉินจนถึงตายไปแล้ว
“หากเจ้ายังพูดจาไร้สาระ ข้าไม่เพียงแต่จะทำร้ายเจ้า แต่ว่า….”
ตู๋กูซิงหลันสะบัดกริช ตัดมือซ้ายของเขาออกมา “ฆ่าเจ้าซะ”
น้ำเสียงที่เอ่ยสามคำนั้นเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาสุดหยั่ง ยังเย็นเฉียบยิ่งกว่ากริชในมือของนางเสียอีก
“เทพสงครามซือเป่ย!” อาจเป็นเพราะหวาดกลัวในไอสังหารของนาง ในที่สุดเยี่ยเฉินก็ทนไม่ไหวจนกระทั่งโพล่งชื่อนั้นออกมา
มือของตู๋กูซิงหลันกำกริชเล่มนั้นเอาไว้อย่างแนบแน่น
ซือเป่ย……
แววตาของฟ่านอิงเองก็เปลี่ยนไปในทันที
…………………………..