บทที่ 98 ห้าสิบเลือกมาหนึ่ง
กลางคืนเงียบสงัดราวน้ำนิ่ง
ลมคมกริบดุจคมมีด
ในคืนที่เงียบเหงานี้ เงาร่างของสวี่ชิงดุจดาบ ประกายคมแหวกความมืดข้างหน้า เหยียบย่างไปในอากาศ ไล่โจมตีไป
ในเมื่อลงมือแล้ว สวี่ชิงก็ไม่สนใจเรื่องอื่น ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกเป็นฝ่ายบุกมาเอง เขาทำได้แค่ต้องฆ่าเท่านั้น!
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคนขององค์ชายสาม แต่ในเมื่อลงมือกับตน เช่นนั้นสวี่ชิงก็ทำได้แค่เตรียมหาเรื่ององค์ชายสามแล้ว
อย่างดีก็…วันนี้ตนฆ่าคนแล้วก็เดินเรือออกทะเลตลอดทั้งคืน ไปจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
แม้จะน่าเสียดาย แต่เรื่องมาถึงนี่แล้ว สวี่ชิงก็ไม่ลังเลอะไรมากมาย
ตอนนี้ความเร็วของเขาเร็วมาก ใกล้หญิงสาวเผ่าเงือกที่หนีอยู่ข้างหน้าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เพียงแต่พลังบำเพ็ญของเผ่าเงือกคนพี่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีของวิเศษอักขระมากมายนัก ตอนนี้ยิ่งไม่เสียดายที่จะเผาไหม้พลังบำเพ็ญ กระทั่งว่าหลังจากที่สัมผัสได้ว่าสวี่ชิงไล่ตามมาแล้ว นางก็หยิบเอาของวิเศษอักขระประเภทบินออกมาอีกสามใบเพิ่มความเร็วในการหลบหนีภายใต้ความหวาดกลัวของวิกฤตความเป็นความตาย
นี่ทำให้ความเร็วของนางถึงระดับที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก
เพียงพริบตาก็ทิ้งระยะห่างกับสวี่ชิงอย่างมหาศาล มาถึงยังบริเวณท่าเรือ
แม้จะทิ้งระยะห่าง แต่ขอบเขตแค่นี้ก็ไม่มากพอที่จะให้นางคลายความกังวล ในใจของนางมาถึงขีดจำกัดสูงสุดตามการตายของคนติดตามและลมหายใจรวยรินของน้องสาวไปตั้งนานแล้ว
ระดับความเหี้ยมโหดไร้ความปรานีในการลงมือของสวี่ชิงทำให้นางสัมผัสถึงความตายได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะความเย็นเยียบในดวงตาของอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้หญิงสาวเผ่าเงือกคนนี้ในใจสั่นสะท้านรุนแรง
จวบจนเมื่อนางเห็นเรือเวทคุ้นตาข้างหน้าที่อยู่ในท่าเรือ ความรู้สึกอันตรายในใจถึงได้คลายลง ในดวงตาฉายความหวังออกมา
นางไม่ขบคิดเรื่องที่เหตุใดผู้คุ้มครองเต๋าถึงไม่มาปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้สิ่งที่นางคิดคือรีบขึ้นไปบนเรือเวทข้างหน้าให้เร็วที่สุด ไปหาการปกป้องคุ้มครองจากคนรักของตัวเอง
“ฆ่าน้องชายของข้า ฆ่าคนในเผ่าของข้า ทำให้ข้าน่าสมเพชน่าอดสูถึงเพียงนี้ สวี่ชิง…ข้าจะต้องให้องค์ชายสามขับไล่เจ้าออกไปจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ถึงตอนนั้นก็จะเป็นเวลาแก้แค้นของข้า!”
หญิงสาวเผ่าเงือกกัดฟันกรอด ดวงตาแดงก่ำ กระทั่งว่าเริ่มเผาไหม้สายเลือด ความเร็วปะทุขึ้นอีกครั้ง
แววตาของสวี่ชิงเย็นเยือกขึ้นไปอีก สถานที่ที่อีกฝ่ายไปเขาก็รู้จัก นั่นเป็นบริเวณที่เรือเวทขององค์ชายสามเทียบท่าอยู่ กระทั่งว่าตอนนี้สวี่ชิงมองเห็นเรือเวทที่ใหญ่โตและอลังการขององค์ชายสามจากไกลๆ ด้วยซ้ำ
แสงไฟบนนั้นสว่างไสว เหมือนว่าจะมีเสียงดนตรีดังลอยออกมา
ภาพนี้ทำให้จิตสังหารใจดวงตาสวี่ชิงยิ่งเข้มข้นขึ้น ไม่เสียดายการใช้ยันต์บินทะยานเพิ่มความเร็วเพื่อแลกมาซึ่งความเร็วที่เร็วยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงช้าไปนิดอยู่ดี
หลังจากนั้นสิบอึดใจ หญิงสาวเผ่าเงือกที่อยู่ที่ไกลๆ ในที่สุดก็เข้ามาใกล้เรือเวทขององค์ชายสามภายใต้ความเร็วจากสายเลือดและการเผาผลาญพลังบำเพ็ญทั้งสองด้าน ทะยานร่างพุ่งมาแล้วเหยียบย่างขึ้นไป หลังจากที่ลอยต่ำลงพื้นร่างก็โซซัดโซเซ ปากร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา
“ท่านพี่หลี่ ช่วยข้าด้วย!!”
จากเสียงที่ดังขึ้นมา เรือเวทก็มีผู้ติดตามขององค์ชายสามพุ่งตัวออกมาคุ้มครองรอบๆ ทันที
เงาร่างขององค์ชายสามที่อยู่ในห้องเรือเดินออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยความแปลกประหลาดใจ มาถึงข้างกายหญิงสาวเผ่าเงือกทันที
“คนสวยไยจึงร้องไห้เล่า ใครรังแกเจ้าหรือ”
องค์ชายสามมองคนรักที่น่าสงสาร น่าอเนจอนาถไปทั้งตัว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกประดุจฝนซัดต้องดอกไห่ถัง[1] ก็พยุงนางขึ้นมาอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดหัวใจ แล้วมองไปทางศีรษะของคนน้องที่ลมหายใจรวยริน
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” องค์ชายสามใบหน้าฉายแววโมโหออกมา
ในขณะเดียวกัน ร่างของสวี่ชิงก็ไล่ตามมาถึงโดยพลัน ยืนอยู่เหนือผิวน้ำบริเวณเรือเวทขององค์ชายสาม ใบหน้าเย็นชา มองไปทางหญิงสาวเผ่าเงือกที่องค์ชายสามพยุงขึ้นมาคนนั้น
“คนผู้นี้แหละ! ท่านพี่หลี่ เป็นสวี่ชิงคนนี้ที่ฆ่าน้องชายของข้า ข้ากับน้องสาวไปถามหาเหตุผลกับเขา แต่คนชั่วช้าคนนี้ทำลายร่างกายของน้องสาวข้าอย่างเหี้ยมโหด ฆ่าคนทั้งหลายของเผ่าข้า แม้แต่ข้ายังจำต้องเผาสายเลือดถึงได้หนีพ้นเคราะห์นี้มาได้
“ท่านพี่หลี่ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้า ไม่ว่าจะจากเรื่องส่วนตัว หรือพันธมิตรระหว่างเผ่า เผ่าเงือกเราไม่มีทางเลิกราต่อเรื่องนี้แน่ โดยเฉพาะน้องสาว ช่างน่าสงสารเป็นที่สุด” หญิงสาวเผ่าเงือกโกรธแค้นเสียใจ กัดฟันชี้ไปยังสวี่ชิงที่อยู่บนผิวน้ำ
และในตอนนี้ ศีรษะของน้องสาวในมือของนางก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา มององค์ชายสามด้วยลมหายใจรวยรินพลางคร่ำครวญขึ้นมา
“บังอาจนัก ทำเกินสมควรถึงเพียงนี้ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!” องค์ชายสามเมื่อได้ยิน สีหน้าก็เย็นชา เอ่ยปากขึ้นอย่างช้าเนิบ
ผู้ติดตามรอบๆ เขาเกิดจิตสังหารขึ้นมาทุกคน
สวี่ชิงนิ่งเงียบ ตอนนี้ลมทะเลพัดมา ทำให้ชุดนักพรตของเขาที่ยืนอยู่เหนือผิวน้ำสะบัดดัง ผมของเขาก็ปลิวสยายในสายลมเช่นกัน เขามององค์ชายสาม แล้วมองไปทางมหาสมุทรนอกท่าเรือ ตัดสินใจอย่างแน่วแน่เด็ดขาด
เห็นเช่นนี้ หญิงสาวเผ่าเงือกในที่สุดก็โล่งอก ในยามที่มองไปทางสวี่ชิง ดวงตาก็ฉายความเคียดแค้นรุนแรงออกมา
นางคิดเอาไว้แล้วว่าจากนี้จะจัดการอีกฝ่ายอย่างไร กระทั่งว่ารู้สึกว่าวิธีพวกนั้นที่น้องสาวพูดใจดีมีเมตตาไปนิด นางจะลงมือเป็นสิบเท่าที่น้องสาวกล่าวไว้ ให้คนคนนี้ต้องเสียใจที่เกิดมา
“ขอบคุณท่านพี่หลี่ ขอท่านพี่หลี่ส่งคนคนนี้…” หญิงสาวเผ่าเงือกกำลังจะพูดขึ้นด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความเคียดแค้น แต่นางยังพูดไม่ทันจบ องค์ชายสามที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“ที่รักเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าพูดคือเป็นเจ้าต่างหากที่บังอาจนัก”
“ท่านพี่หลี่ ท่าน…” หญิงสาวเผ่าเงือกอึ้งตะลึง เงยหน้ามององค์ชายสาม สิ่งที่เห็นก็ยังคงเป็นดวงหน้าที่คุ้นเคยดวงนั้น ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากแต่ก่อน กระทั่งว่าสีหน้ายังมีความเจ็บปวดหัวใจของเมื่อครู่อยู่ สายตาอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งเหมือนจะแฝงไว้ด้วยความรักอันลึกซึ้ง
นี่ทำให้นางคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป กำลังจะพูดต่อ แต่องค์ชายสามก็ยกมือซ้ายขึ้น แล้ววางลงมาที่ศีรษะของนางเหมือนเวลาลูบเรือนผมงามของนางเมื่อก่อน
เสียงโผละดังขึ้น หญิงสาวเผ่าเงือกคนนี้ร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ศีรษะระเบิดเป็นชิ้นๆ
เลือดเนื้อบดบังรางเลือนดวงตาที่สิ้นหวังของนาง กลบแววตาของนางมิด ทำให้นางที่กลายเป็นศพไม่มีหัวล้มลงกับพื้น พลังชีวิตดับสลาย
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงม่านตาหดเล็ก คาดไม่ถึงสุดๆ
ส่วนน้องสาวเผ่าเงือกที่ลมหายใจรวยรินคร่ำครวญอยู่ข้างๆ ก็อึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้นไปโดยสมบูรณ์
ความอ่อนแอที่หลงเหลือบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยสีหน้าอึ้งตะลึงทำอะไรไม่ถูกทันที เหมือนว่าไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น ยากจะเชื่อในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะความอ่อนโยนและความรักบนใบหน้าขององค์ชายสามในตอนนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม เช็ดคราบเลือดบนมือโดยสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
ภาพนี้ทำให้น้องสาวเผ่าเงือกเกิดความงุนงงสับสนอย่างรุนแรง
นางไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าชายที่เคยกอดตนและพี่สาวไว้ในอ้อมอก ใกล้ชิดสนิทสนมเป็นอย่างมาก จะซัดพี่สาวของตัวเองตายด้วยความอ่อนโยนแบบนี้
หากยามอีกฝ่ายลงมือเปลี่ยนสีหน้าจากความอ่อนโยนเป็นเย็นชา นางล้วนสามารถรับได้
แต่ผู้ชายข้างหน้าคนนี้ สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความรักตลอด นี่ทำให้น้องสาวเผ่าเงือกในใจสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ท่านพี่หลี่…” ในดวงตาของนางหวาดกลัวเป็นที่สุด
องค์ชายสามเช็ดมือพลางยิ้มให้กับนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสวี่ชิง รอยยิ้มยังคงอ่อนโยนเช่นเดิม
“เสียมารยาทแล้ว ศิษย์น้องผู้นี้ เจ้ายังมีธุระอะไรอีกหรือไม่”
ขนทุกเส้นทั่วร่างสวี่ชิงลุกชัน เขามององค์ชายสามที่ใบหน้าอ่อนโยนอีกทั้งยังยิ้ม สายตาเบนไปมองศพที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ จากนั้นก็กวาดตามองศีรษะของคนน้องที่ตื่นกลัวไปแล้วโดยสมบูรณ์
ศีรษะของเผ่าเงือกคนน้องคนนี้เห็นได้ชัดว่าพิษฝังลึก มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ใจของเขามีความเย็นยะเยือกลึกๆ ผุดขึ้นมาตามขนที่ลุกชัน วิธีการและคำพูดขององค์ชายสามทำให้เขาขนลุกขึ้นมาเฉยๆ เขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน
และทิศทางของเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะคาดเดาได้ก่อนหน้านี้ กระทั่งว่าเมื่อครู่เขาเตรียมว่าจะหนีไปจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ตอนนี้เขามองใบหน้าที่อ่อนโยนขององค์ชายสามด้วยความเงียบงัน จากนั้นครู่หนึ่งก็ประสานหมัดแล้วโค้งคารวะองค์ชายสาม
จากนั้นก็จากไปด้วยใจหวาดระแวงเข้มข้น
หลังจากจากไปไกลแล้ว เขาก็หันกลับมามององค์ชายสามที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ในหัวมีภาพที่อีกฝ่ายซัดหญิงสาวเผ่าเงือกตายด้วยใบหน้าอ่อนโยนผุดขึ้นมา
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้สึกว่าองค์ชายสามคนนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง!
ตอนนี้ องค์ชายสามที่อยู่บนเรือเวทยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม จวบจนเงาร่างของสวี่ชิงจากไปไกล เขาถึงได้หันมามองศีรษะของเผ่าเงือกคนน้องที่อยู่บนพื้น สายตาฉายความอ่อนโยน แฝงไว้ด้วยความรักลึกซึ้ง พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน
“พี่รัก พวกเจ้าสองคนพี่น้องช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ทั้งทำให้ข้าทำภารกิจที่อาจารย์มอบหมายมาได้สำเร็จ ทั้งยังพลอยทำให้ข้าได้มอบบุญคุณให้กับดาวพิฆาตดวงน้อยบนเกาะกิ้งก่าทะเลดวงนั้นอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย ไม่เลวๆ ข้าพบว่าข้าชอบพวกเจ้ามากขึ้นอีก”
เสียงขององค์ชายสามอ่อนโยน แต่คำพูดที่ดังเข้าไปในหูของเผ่าเงือกคนน้องสาวทำให้นางสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาฉายความหวาดกลัวมากขึ้น กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เสี้ยวพริบตาต่อมา องค์ชายสามก็ยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงไป
เสียงกร๊อบดังขึ้น หัวแหลกละเอียด
“เฮ้อ วันหน้าก็ทำได้แค่คิดถึงความนุ่มนิ่มของพวกเจ้าในความทรงจำเท่านั้นแล้ว” องค์ชายสามเผยสีหน้าเสียดาย ระหว่างพูด ผู้ติดตามรอบๆ ก็ต่างก้มหน้า ไม่กล้ามององค์ชายสาม ทำความสะอาดเลือดเนื้อที่กระดานเรืออย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก หลังจากที่กระดานเรือกลับมาสะอาดหมดจดอีกครั้ง ลูกศิษย์ผู้ติดตามคนหนึ่งก็ถือขวดฝึกแก้วพลางเดินมาข้างกายองค์ชายสาม เอ่ยเสียงต่ำทุ้มอย่างเคารพนอบน้อม
“องค์ชายสาม ผู้คุ้มครองเต๋าเผ่าเงือกพวกนั้นถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว จับได้พร้อมหลักฐาน”
“ดีมาก” องค์ชายสามยิ้ม
“พวกเจ้าไปส่งข่าวปากเปล่าให้เผ่าเงือก เรื่องขโมยพิมพ์เขียวเรือเวทของสำนักเรา ข้าได้ช่วยพวกเขาปิดไว้แล้ว แต่ข้าต้องการน้ำตาบรรพกาลของราชวงศ์เงือกหยดหนึ่ง ให้ส่งมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด”
พูดจบเขาก็รับขวดผลึกแก้วมา ดื่มของเหลวบำรุงกายชั้นยอดในนั้นลงไป หลังจากที่ยื่นคืนไป ก็ก้าวเท้าไปกลางอากาศ ทั้งคนกลายเป็นสายรุ้งทางหนึ่ง มุ่งหน้าไปยอดเขาที่เจ็ดอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก เงาร่างของเขาก็มาปรากฏบนยอดเขาที่เจ็ด
ตอนนี้ ในตำหนักใหญ่บนยอดเขา นายท่านเจ็ดกำลังนั่งอยู่หน้ากระดานหมากล้อม ครุ่นคิดอย่างหนัก ตรงข้ามเป็นผู้ติดตามยืนอยู่ กำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับนายท่านเจ็ด
“หมากตานี้เจ้าเดินไม่ถูก!” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายท่านเจ็ดก็เงยหน้ามองไปยังผู้ติดตามอย่างเข้มงวด ผู้ติดตามได้ยินดังนั้นก็ก้มหน้าหยิบหมากขึ้นมาแล้ววางไปอีกด้านหนึ่ง
“เจ้าคนนี้ย้ายหมากได้อย่างไร ย้ายหมากถือว่าแพ้รู้หรือไม่ เจ้าแพ้แล้ว!” นายท่านเจ็ดพูดจบก็ล้างกระดานหมาก สายตาจับจ้องมาที่ร่างขององค์ชายสามบนพื้น
“คารวะท่านอาจารย์” สีหน้าท่าทางขององค์ชายสามไม่เหมือนกับเมื่อครู่เลย ตอนนี้เคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง คุกเข่าอยู่บนพื้นก้มหมอบคารวะ
“มีเรื่องอันใด!” นายท่านเจ็ดพูดน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านอาจารย์ เรื่องเผ่าเงือกศิษย์ได้สืบกระจ่างแล้ว แม้ระหว่างนั้นจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นเล็กน้อย แต่สรุปแล้วก็นับว่าราบรื่นดีขอรับ
“ครั้งนี้พวกเขาทำไปก็เพื่อขโมยพิมพ์เขียวเรือเวทของยอดเขาที่เจ็ดเราแทนเผ่าสิงซากสมุทรจริงๆ ในขณะที่จับได้ทั้งคนและหลักฐานนั้น ศิษย์ยังพิสูจน์ได้ว่าเพื่อที่จะประจบเผ่าสิงซากสมุทร ศัตรูคู่อาฆาตของเผ่ามนุษย์เรา เผ่าเงือกก็ได้แอบสร้างเจดีย์กระดูกศพเพื่อแสดงถึงความภักดี
“นี่คือหลักฐานขอรับ นอกจากนั้น ในสำนักยังมีผู้ดูแลสี่คนที่เกาะเงือกซื้อตัวไว้ รายชื่ออยู่ที่นี่แล้วเช่นกันขอรับ” องค์ชายสามพูดพลางหยิบเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา แล้วยื่นออกไปสองมืออย่างเคารพนอบน้อม
นายท่านเจ็ดยกมือคว้ากลางอากาศ เอาแผ่นหยกมาแล้วกวาดตามอง จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่ร่างของลูกศิษย์ สีหน้าเปลี่ยนมาเย็นชาขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
ร่างขององค์ชายสามค่อยๆ สั่นเทาขึ้นมานิดๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา
“แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ศิษย์ขอรับโทษ เผ่าเงือกคนนั้นทรมานสังหารเด็กชาวบ้านเมืองเจ็ดเนตรโลหิต พี่สาวทั้งสองของเขาร่วมมือด้วย เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ศิษย์บกพร่องในหน้าที่ ขออาจารย์โปรดลงโทษ”
“กฎต้องรักษา ไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ อีกเดี๋ยวเจ้าไปสำนึกตัวในถ้ำกระดูกเทียนเจ็ดวันก็แล้วกัน” คราวนี้สีหน้าของนายท่านเจ็ดถึงผ่อนคลายลง เอ่ยขึ้นช้าๆ
ได้ยินถ้ำกระดูกเทียนสามคำนี้ องค์ชายสามก็ใจสั่นสะท้าน ก้มหน้ารับคำ ก่อนจะเอ่ยลาจากไป
จวบจนลูกศิษย์ของตนจากไปแล้ว นายท่านเจ็ดก็ลุกขึ้น สายตามองไปทางท่าเรือข้างล่างภูเขา เหมือนกำลังมองท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า คล้ายครุ่นคิดอะไร
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปบริเวณที่ไกลกว่านั้น นั่นคือทางมหาสมุทร
ผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา
“เผ่าเงือกไม่ได้โง่เขลา เกรงว่าเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะไม่กล้าส่งคนมาขโมยพิมพ์เขียวหลอมเรือเวทอย่างอุกอาจ…”
“เจ้าสามละโมบโลภมาก แผนการที่วางเอาไว้ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ หลักฐานอย่างเจดีย์กระดูกศพเรื่องใหญ่เช่นนี้ เขาไม่กล้าปลอมขึ้นมา” นายท่านเจ็ดเอ่ยเนิบนาบ
“เผ่าเงือก…หลายปีมานี้ใกล้ชิดกับเผ่าสิงซากสมุทรศัตรูคู่อาฆาตของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ความทะเยอทะยานของหมาป่าชัดเจนมากแล้ว การส่งของไปสนับสนุนของสำนักเราเมื่อหลายปีก่อน และลูกศิษย์เราที่ตายไปเพื่อช่วยวิกฤตในเผ่าพวกเขาล้วนไม่ควรค่าเลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เอาคืนกลับมาทั้งต้นทั้งดอก” นายท่านเจ็ดมองไปทางมหาสมุทร ประกายเย็นเยือกฉายวาบในดวงตา
[1] ฝนซัดต้องดอกไห่ถัง (雨打海棠) ดอกไห่ถัง เปรียบเปรยถึงหญิงสาวที่หน้าตางดงาม จากบริบทนี้เปรียบได้ว่าเอื้อเอ็นดูอยากปลอบโยนหญิงสาวที่กำลังทุกข์ใจจากเรื่องราวที่ประสบพบเจอ