บทที่ 104 จักรพรรดิโบราณแห่งความมืด
ด้วยการช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของบรรพจารย์สำนักวัชระ สวี่ชิงก็หาไข่มุกเก็บของที่ซ่อนอยู่ในศพของบรรพจารย์จนเจอ บรรพจารย์สำนักวัชระฝังของชิ้นนี้ไว้ในเลือดเนื้อ สิ่งของด้านในมีไม่มาก มีแค่สามอย่างเท่านั้น
อย่างที่หนึ่งคือตั๋ววิญญาณ มูลค่าห้าร้อยก้อนหินวิญญาณ
อย่างที่สองคือกล่องหินหยก เหมือนมีไว้เพื่อบ่มเพาะยาลูกกลอน และมองเห็นยาลูกกลอนสีม่วงเม็ดหนึ่งกำลังถูกบ่มเพาะไว้อยู่ด้านใน
อย่างที่สามเป็นแผ่นหยกสามชิ้น แบ่งเป็นบันทึกวิชาของสำนักวัชระรวมไปถึงวิชาวิญญาณศัสตราฉบับไม่สมบูรณ์ที่เขาพูดมาทั้งหมดก่อนหน้านี้
ส่วนในถุงเก็บของที่เขานำมาหลอก ด้านในล้วนเป็นของสัพเพเหระ มูลค่าประมาณหนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณ
เหมือนกลัวว่าสวี่ชิงจะไม่พอใจ บรรพจารย์สำนักวัชระก็รีบร้อนเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ของที่องค์หญิงสองต้องการครั้งที่แล้วหนักหนาเกินไป ดังนั้นตอนนี้จึงเหลืออยู่เท่านี้”
“ถุงเก็บของในห้องลับที่หอสมบัติของสำนักครั้งก่อนนั่น ก็เป็นของลวงด้วยหรือไม่” สวี่ชิงถามขึ้นแช่มช้า
“ถูกต้อง…” ร่างกายบรรพจารย์สำนักวัชระสั่นเทิ้ม ตอบกลับเสียงต่ำ
สวี่ชิงไม่พูดอะไร หลังจากทำลายศพแล้ว ก็ออกไปค้นหาในซากสำนักวัชระเสียรอบหนึ่ง และพบกับสมบัติลับที่บรรพจารย์สำนักวัชระพูดถึง ในนั้นก็ว่างเปล่าเช่นกัน มีเพียงหน้าไม้สงครามที่เหมือนจะเป็นอาวุธเวทอยู่ชิ้นหนึ่ง
และเป็นดังที่บรรพจารย์สำนักวัชระว่าไว้จริงๆ ของสิ่งนี้ใช้กับเรือเวทโดยเฉพาะ จำเป็นต้องมีค่ายกลโดยเฉพาะจึงสามารถกระตุ้นได้ สวี่ชิงชำเลืองมองผาดหนึ่งจากนั้นเก็บมันลงไป
จากนั้นก็จัดการกวาดค้นสำนักวัชระไปรอบหนึ่ง แต่ที่นี่ก็ยากจนเสียเหลือเกิน ในตัวศิษย์ที่ตายไปก็ไม่มีสิ่งของล้ำค่าเลย มีเพียงบนตัวเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสที่ดีขึ้นมาหน่อย
“นายท่านสังหารไปก็ดี เจ้าพวกคนทรยศกลุ่มนี้ ช่วงนี้แอบร่วมมือกัน เตรียมรอช่วงที่ข้าปิดด่านแล้วจะทรยศสำนัก เดิมทีข้าคิดจะกำจัดพวกเขาทิ้งในช่วงนี้ด้วยตนเองเหมือนกัน”
สวี่ชิงไม่สนใจข้อเท็จจริงของคำพูดบรรพจารย์สำนักวัชระ หลังจากกวาดค้นไปรอบหนึ่ง ก็ปลีกตัวไหววูบและค่อยๆ หายไปในสายลมหิมะ
เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนลอยละล่องร่วงหล่นจากฟากฟ้าสีดำ กระจายไปทั่วทั้งทุ่งสีชาด เมื่อทอดตามองไปรอบๆ สีแดงของผืนดินแต่เดิมหายไปแล้ว กลายเป็นสีขาวทั้งผืนแทน
สายลมยิ่งเสียดแทงกระดูก ม้วนพัดหิมะ เหมือนจะพัดเอาความหนาวเย็นแทรกซึมไปยังทุกอณูของแผ่นดิน
เหมันต์ฤดูนี้ จะมีคนตายอีกมาก
สวี่ชิงกระชับคอเสื้อ แล้วพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วในพื้นที่รกร้างนี้ เขาไม่ได้กลับไปยังฐานที่มั่นคนเก็บกวาด แต่มุ่งตรงไปยังเมืองที่อยู่เขตชายขอบของทุ่งสีชาดนี้ตลอดทั้งคืน
“ต้องรีบกลับไปสำนักเจ็ดเนตรโลหิต จะอยู่ที่นี่นานไม่ได้” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ขณะที่พูดในดวงตาเขามีประกายหม่น ชำเลืองมองไปยังถุงหนังที่ใส่เหล็กแหลมสีดำอยู่
สวี่ชิงยังไม่ได้คิดว่าจะทำลายบรรพจารย์สำนักวัชระที่กลายเป็นวิญญาณศัสตราไปแล้วทิ้งไปเลยดีหรือไม่ และขณะที่กำลังพุ่งทะยาน ในใจเขาก็กำลังชั่งน้ำหนักพลางเอ่ยสอบถามเรื่องเกี่ยวกับลัทธินอกวิถีอย่างสงบไปด้วย
เมื่อสังเกตเห็นว่าชีวิตน้อยๆ ของตนเองยังไม่ปลอดภัย ขณะที่ก้นบึ้งจิตใจของบรรพจารย์สำนักวัชระก็ขมขื่นตึงเครียด จึงไม่กล้าจะปิดบังแม้แต่น้อย บอกแจ้งเรื่องที่เขารู้ทั้งหมดออกมาอย่างซื่อสัตย์
“ลัทธินอกวิถีเป็นขั้วอำนาจขนาดใหญ่เช่นเดียวกับเจ็ดเนตรโลหิต ผืนอินทนิลและเขาสัจธรรม มีรากฐานอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ และที่อยู่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณนี้ ถือเป็นลัทธิย่อย”
“มีรากฐานอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์?” สวี่ชิงชำเลืองมองบรรพจารย์สำนักวัชระผาดหนึ่ง ปัจจุบันนี้แม้เขาจะรู้เรื่องขั้วอำนาจในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจถึงเพียงนั้นเหมือนบรรพจารย์สำนักวัชระที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน
เมื่อฟังความสงสัยเล็กๆ ในคำพูดของสวี่ชิงออก บรรพจารย์สำนักวัชระก็รู้สึกว่าเวลาในการแสดงคุณค่าของตนเองมาถึงแล้ว จึงรีบร้อนพูดออกมา
“นายท่าน สี่ขั้วอำนาจใหญ่ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณนอกจากผืนอินทนิลที่เป็นขั้วอำนาจในพื้นที่แล้ว รากฐานที่เหลือของอีกสามฝ่ายล้วนไม่ได้อยู่ที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
“ในนี้เจ็ดเนตรโลหิตที่เจ้านายอยู่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ยอดเขาทั้งเจ็ดดูแล้วเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่อันที่จริงแต่ละยอดเขาล้วนปกครองตนเอง เพียงแต่ยอมรับกฎเกณฑ์ของเจ็ดเนตรโลหิตร่วมกันเท่านั้น ดำเนินการภายใต้กฎเกณฑ์ และในช่วงเวลาหลายปีต่อมาจึงค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอันที่จริงยอดเขาทั้งเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิตคือพันธมิตรเจ็ดสำนักที่ใหญ่ที่สุดจากพื้นที่เผ่ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ร่วมมือกันสร้างสาขาย่อยขึ้นมาที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ!
“และสาขาย่อยเช่นนี้ บนเกาะต่างๆ ในท้องทะเลที่มีเผ่ามนุษย์อาศัยอยู่ก็ล้วนสร้างขึ้นเช่นกัน เพียงแต่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณถือเป็นหนึ่งในเกาะที่ใหญ่ที่สุดของทะเลโอฬาร ดังนั้นสาขาย่อยที่นี่จึงแข็งแกร่ง
“ส่วนเขาสัจธรรมนั้นลึกลับเป็นอย่างมาก ข้าเองก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก”
สวี่ชิงดวงตานิ่งค้างขึ้นมา เรื่องเหล่านี้เขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“พันธมิตรเจ็ดสำนักของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์?”
“แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นั้นใหญ่โตเกินไป เผ่ามนุษย์เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของพื้นที่นั้นเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พื้นที่นี้ก็กว้างใหญ่มหาศาล ส่วนเรื่องที่ว่าใหญ่เพียงใดนั้นเนื่องจากข้าไม่เคยไปจึงไม่รู้ แต่ข้าได้ยินมาว่าพันธมิตรเจ็ดสำนักเป็นแค่ขั้วอำนาจที่ไม่เลวนักแห่งหนึ่งในพื้นที่ใกล้ทะเลของเผ่ามนุษย์เท่านั้น แต่ข้าคิดว่า…เทียบกับกลุ่มก้อนเผ่ามนุษย์ทั้งหมด ก็น่าจะไม่ใช่กลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด
“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ สำหรับข้าน้อยแล้ว หนึ่งยอดเขาของเจ็ดเนตรโลหิตทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ก็ถือเป็นตัวตนระดับยิ่งใหญ่มากแล้ว…”
ฟังคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระ ในใจสวี่ชิงก็โหมคลื่นยักษ์ขึ้นมา เงยหน้ามองไปยังฟ้าดินที่ห่างออกไป สำหรับโลกใบนี้แล้ว เขามีความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
“แต่ลัทธินอกวิถีข้ารู้ ลัทธินี้ทั่วโลกมีกลุ่มสาวกอยู่นับไม่ถ้วน เป็นขั้วอำนาจยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ล้วนทำตามคำสอนลัทธิ…” บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยต่อ
“คำสอนของลัทธินอกวิถีคือออกจากโลกที่โหดร้ายใบนี้ พวกเขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าตอนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าแห่งโบราณกาลมาเยือน เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณที่จากไปจะมารับตัวพวกเขาไปแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณสร้างขึ้นด้วยในสักวันหนึ่ง
“และสาเหตุที่ลัทธินอกวิถีแยกย่อยออกมามากมาย ก็เพราะในม้วนคำสอนเขาบันทึกไว้ว่าในยุคโบราณมีเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณจากไปทั้งหมดเก้าคนเพื่อสร้างแดนศักดิ์สิทธิ์
“ดังนั้นลัทธินอกวิถีแต่เดิมจึงแบ่งออกเป็นเก้าพรรคใหญ่ ในแต่ละพรรคก็ไม่เข้ากัน ล้วนเข้าใจว่าองค์เทพที่ตนเองเชื่อมั่นศรัทธาจึงจะเป็นคนที่พาพวกเขาจากไปอย่างแท้จริง และนายเหนือหัวจักรพรรดิโบราณที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ด้านในไม่ได้มีแต่เผ่ามนุษย์ ยังมีต่างเผ่าพันธุ์อยู่ด้วย นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้สาวกของลัทธินอกวิถีแพร่หลายออกไปยังแต่ละชนเผ่า”
คำพูดเหล่านี้ สวี่ชิงฟังจนจิตใจสั่นสะเทือน ขณะที่กำลังคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็วนั้น เขาก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
“นายเหนือหัวจักรพรรดิโบราณเป็นตัวตนแบบใดกัน”
บรรพจารย์สำนักวัชระตกตะลึง คำถามนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่อยากจะแสดงความไม่รู้ของตนเองออกมาขณะที่สวี่ชิงกำลังชั่งน้ำหนักความเป็นความตายของตนเองอยู่ ดังนั้นหลังจากครุ่นคิด จึงเอ่ยปากขึ้นทันที
“ข้าน้อยเองก็ยังไม่รู้ระดับของนายเหนือหัวจักรพรรดิโบราณขอรับ แต่ข้าเคยเห็นที่บรรยายไว้ในคัมภีร์โบราณ…ว่าเขาเคยคิดจะรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง เป็นตัวตนที่สะกดทุกชนเผ่า และถูกเรียกว่าจักรพรรดิโบราณ
“และแม้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จะไม่ได้รวมเป็นหนึ่ง แต่ผู้แข็งแกร่งที่ต่อสู้กับจักรพรรดิโบราณได้ศึกหนึ่ง ผู้ที่พลังอำนาจของตนเองอยู่ระดับย้อนทวนสวรรค์ ถูกขนานนามว่าเป็นนายเหนือหัว”
สวี่ชิงดวงตาเผยความเลื่อมใสออกมา ไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นสวี่ชิงเช่นนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระจึงผ่อนลมหายใจโล่ง อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าคำอธิบายนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถึงอย่างไรคัมภีร์โบราณที่เขาเห็นมาก็ล้วนพูดแบบเดียวกัน…
ดังนั้นเขาจึงรีบเบนหัวข้อสนทนา แนะนำลัทธินอกวิถีต่อ
“ตัวตนสูงสุดของลัทธินอกวิถีมีชื่อว่าซือมิ่ง ตำนานกล่าวว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของโลกนี้ แต่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้นำจิตวิญญาณของลัทธินอกวิถี ลึกลับอย่างมาก
“และผู้นำของพรรคใหญ่ทั้งเก้า ก็ถูกเรียกกันว่าสาวกศักดิ์สิทธิ์
“ในนี้พรรคของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของพรรคความมืดเท่านั้น พรรคความมืดหลักที่แท้จริงอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ที่เคารพศรัทธากันคือจักรพรรดิโบราณเผ่ามนุษย์ จักรพรรดิโบราณแห่งความมืด
“มีคัมภีร์โบราณบันทึกว่า ก่อนหน้าตอนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ายังไม่จุติ จากยุคสมัยผันผ่านมานานมีอยู่ยุคสมัยหนึ่งถูกเรียกว่ายุคสมัยแห่งความมืด และจักรพรรดิโบราณแห่งความมืดนี่เองที่เป็นผู้ก่อตั้ง เคยนำพาเผ่ามนุษย์รวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่ง”
พอฟังคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระ ก้นบึ้งจิตใจสวี่ชิงก็เกิดคลื่นอารมณ์ขึ้น แต่ยังคงพุ่งทะยานอยู่ตลอดทาง จนกระทั่งรุ่งสางและถูกดวงตะวันเข้ามาแทนที่ สวี่ชิงก็มองเห็นเป้าหมายอยู่ลิบๆ จากการปรากฏแสงทอที่ฟากฟ้า
เมืองที่เต็มไปด้วยความสกปรกวุ่นวายและมีค่ายกลส่งข้ามเพียงหนึ่งเดียวบนทุ่งสีชาด
มาถึงที่นี่ ในใจสวี่ชิงก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะทำอย่างไรกับบรรพจารย์สำนักวัชระดี
“ลูกกลอนของเจ้าเม็ดนั้น คือลูกกลอนอะไร”
“อา นั่นคือลูกกลอนวาฬวิญญาณ วิธีกินมันจะพิเศษออกไปหน่อย กลืนลงไปทันทีไม่ได้ จำเป็นต้องบ่มเพาะในกล่องหยกหนึ่งร้อยวันรอให้มันละลาย ตอนนี้น่าจะขาดอีกสามวัน” บรรพจารย์สำนักวัชระมองเมืองที่อยู่ห่างออกไปผาดหนึ่ง รีบร้อนตอบกลับมา
“ข้าชอบความสงบ” สวี่ชิงถามเรื่องยาลูกกลอนจบ จู่ๆ ก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้น
บรรพจารย์สำนักวัชระสั่นพั่บ พอคิดจะพูด แรงสะกดจากจิตวิญญาณของเขาก็ส่งออกมากะทันหัน คลุมไปทั้งเหล็กแหลมสีดำ ทำให้เขาที่ร่างกายเป็นวิญญาณศัสตรา ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากนั้นจึงเข้าสู่การปิดผนึก
หลังจากปิดผนึกไปชั้นหนึ่ง สวี่ชิงยังไม่วางใจ เพิ่มความเข้มข้นของการรับรู้ลงไปอีก สะกดเข้าไปทีละชั้นๆ จึงรู้สึกวางใจลง
บรรพจารย์สำนักวัชระก็อ่อนแอลงอย่างมากในการปิดผนึกสะกดหลายชั้นนี้ เกือบจะสลายไป เข้าสู่ภาวะหลับลึก
จนท้ายที่สุดสวี่ชิงก็ยังไม่เลือกที่จะสังหารบรรพจารย์สำนักวัชระคนนี้ มูลค่าของศัสตราวิญญาณทำให้เขาตัดสินใจรักษาเอาไว้ก่อน เพื่อทำให้เหล็กแหลมสีดำของตนเองสมบูรณ์แบบ
แต่ในขณะที่ยังไม่มีวิธีสร้างความสมดุลให้กับมัน และขณะที่ตนเองยังไม่ได้ทะลวงขั้นเข้าสู่ระดับสร้างฐาน สวี่ชิงยังไม่คิดจะปลุกเขาขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เตรียมตัวที่จะลบเขาทิ้งไปตอนที่เขาขัดคำสั่งอีกด้วย
เสร็จเรื่องเหล่านี้ เขาก็สูดลมหายใจลึก ไม่ได้เดินเข้าไปในเมืองด้านหน้า แต่หันตัวไหววูบตรงไปอีกทางแทนในสายลมหิมะช่วงอรุณ
สาเหตุที่เขาพึมพำว่าจะกลับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เป็นเพราะจะให้บรรพจารย์สำนักวัชระได้ยิน แม้อีกฝ่ายจะกลายเป็นวิญญาณศัสตราแล้ว และยังซื่อสัตย์มาตลอดทาง คำพูดเองก็ดูจริงใจ แต่สวี่ชิงก็ยังไม่หลงเชื่อง่ายๆ
ดังนั้นยาลูกกลอนประโยคนั้นคือการพิสูจน์ และประโยคที่พูดถึงสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็คือการลวง
เรื่องยาลูกกลอนก่อนหน้า ถ้าหากบรรพจารย์สำนักวัชระโกหก สวี่ชิงก็จะสังหารเขาทิ้ง ส่วนเรื่องหลัง…หากบรรพจารย์สำนักวัชระมีวิธีการพิเศษบางอย่างบ่งบอกถึงร่องรอยของเขา เช่นนั้นหลังจากถูกลวงไปก็จะไม่ได้ผล
เพราะสวี่ชิงไม่คิดจะกลับไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในช่วงนี้
สวี่ชิงเพิ่มความเร็วขึ้นในสายลมหิมะ ใช้งานยันต์บินทะยานเร่งความเร็วตลอดทาง
จนกระทั่งราตรีมาเยือน ในที่สุดเขาก็พบกับถ้ำแห่งหนึ่งที่พอจะมุดตัวเข้าไปได้ สาดผงพิษที่ปากทางเข้า จากนั้นก็ทำการอำพราง แล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิ ล้วงเอากล่องหยกที่ใส่ยาลูกกลอนของบรรพจารย์สำนักวัชระออกมา
“จะเป็นหรือตาย ก็ต้องดูว่าลูกกลอนนี้เป็นอย่างที่เจ้าว่าหรือไม่!”
สวี่ชิงก้มหน้ามองกล่องหยก วางมันลงและถอยหลังออกมาหลายก้าวแล้วสังเกตมันอย่างละเอียด จากนั้นจึงชี้เปิดมันกลางอากาศ
เกสียงแกร๊กของกล่องหยกดังขึ้นเชื่องช้า กลิ่นยาเข้มข้นวูบหนึ่งปะทะใส่หน้า
————————————–