เยี่ยเฉินเกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ขณะที่มุมปากของเขากำลังคลี่ยิ้มอยู่นั้น เขาก็ขยับสามง่ามในมือชี้เข้าใส่ตู๋กูซิงหลันแล้ว
เขาจำต้องยอมรับว่า น้องสาวต่างมารดาของเขาคนนี้ ช่างเกิดมางดงามเสียจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เผ่ามังกรทมิฬ เพราะถูกความงามของนางดึงดูดไว้ จึงเกิดความเสียดายไม่อาจหักใจลงมือ จึงได้ทำให้ทั้งเสี่ยวอิง เสด็จแม่และชาวมังกรทมิฬทั้งหมดต้องพบกับภัยพิบัติ
ไม่เจอกันนานครึ่งปี ความงามของนางก็เพิ่มพูนขึ้นไปอีก แม้ว่าจะอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดก็ยังรู้สึกว่าแพรวพราวระยับตา
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ สำหรับเยี่ยเฉินแล้ว ความงามของนางไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาอีกต่อไป
เขาเกลียดชังตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนอย่างรุนแรง คนหลังนั้นตายไร้ที่กลบฝังไปแล้ว ส่วนคนแรก จะต้องให้นางได้ชดใช้ทุกสิ่งที่มีออกมาจนหมด
สามง่ามอันนี้ ใต้เท้าประทานให้กับเขา เป็นศาสตราวุธแดนสวรรค์ ต่อให้นางเอาดาบยักษ์ในตอนนั้นออกมารับศึก ก็ยังไม่อาจเป็นคู่มือของเขาได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางก็ไม่มีแม้แต่ดาบยักษ์อีกแล้ว มีแต่ไม้คฑาดำๆขมุกขมัวด้ามหนึ่งเท่านั้น
เยี่ยเฉินเองก็มิใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้เขาได้ลองทดสอบดูแล้ว ว่าคฑาในมือของนางไม่มีพลังวิญญาณใดๆทั้งสิ้นเลย
ธรรมดาอย่างที่สุด
ดังนั้นเขาจึงไม่แม้แต่จะขบคิดอีกต่อไป พอลงมือก็ซัดออกมาอย่างเต็มกำลัง
ไม่เพียงแต่ต้องการจะสับนางเป็นพันๆชิ้น ยังต้องการจะทำลายวิญญาณของนางให้แหลกสลายอีกด้วย
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ในที่เดิม ทั้งไม่ขยับและไม่หลบหลีก ในมือของนางกุมคฑาสีดำเอาไว้แน่น พอสามง่ามของเยี่ยเฉินบุกเข้ามาก็ตั้งรับอย่างเต็มกำลัง
“เฮอะ รนหาที่ตายเองนะ!” เยี่ยเฉินขำแทบตายแล้ว นี่นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ถึงได้กล้าเอาของที่ผุพังแบบนี้มาต่อสู้?
สามง่ามถูกควงออกไป ปะทะกับไม้คฑาสีดำในทันที
ฟ่านอิงเองก็รีบพุ่งเข้ามา แต่ก็ถูกแสงสว่างจากการปะทะกันของอาวุธทั้งสองผลักจนกระเด็นออกไป
เมื่อครู่เขาใช้พลังเกือบทั้งหมดไปกับการเปิดขยายลูกแก้วโลกาวินาศขึ้นมา จนทำให้ร่างกายอ่อนล้า ถึงแม้ว่าในใจจะกังวลถึงตู๋กูซิงหลัน แต่ก็ไม่อาจไปถึงข้างกายนางได้อย่างทันท่วงที
ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ห่างจากตู๋กูซิงหลันไปทางด้านหลังอีกร้อยกว่าเมตร
เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนดวงหน้าซีดขาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดอยู่ๆในสมองของเขาก็มีภาพต่างๆผุดขึ้นมามากมายไม่ยอมหยุด แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่ชัดเจนเลยแม้แต่อย่างเดียว
โดยเฉพาะเมื่อเข้าใกล้ศิษย์น้อย ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มพูน
และเพราะชักช้าไปเพียงวูบเดียว แสงนั้นก็ระเบิดออกมาแล้ว
แสงที่ระเบิดขึ้นบนเกาะลอยฟ้าสว่างออกไปเกือบครึ่งเมืองว่านฮวาเฉิง
เดิมทีเป็นเพราะว่าบนเกาะลอยฟ้ามีก้อนหินหล่นลงมาไม่ขาดสาย คนในเมืองว่านฮวาเฉิงต่างก็ตื่นตระหนกกันไปครึ่งเมืองแล้ว ตอนนี้อยู่ๆก็มีแสงสว่างจ้าระเบิดออกมา ยิ่งทำให้แม้แต่คนที่หลับใหลอยู่ก็ตื่นขึ้นมาหมด
แต่ละคนต่างก็มองขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้า
“นี่มัน….”
เจ้าแคว้นทองที่ยังไม่ได้รีบร้อนไปจากเมืองว่านฮวาเฉิงตอนนี้กำลังจับจ้องไปที่แสงสว่างนั่น ด้วยความรู้สึกขนลุกชันขึ้นมาทั้งร่าง
หรือว่าเทพเจ้าบนเกาะลอยฟ้าทั้งสองเปิดศึกอันดุเดือดขึ้นมา แสงสว่างที่ระเบิดออกมาเมื่อครู่ ดูแล้วแม้แต่ท้องฟ้าที่ว่างเปล่ายังถูกฉีกกระชากออกด้วยซ้ำ
ไม่เพียงแต่ตัวเขา ผู้คนทั้งทั้งเมืองว่านฮวาเฉิงต่างก็ชมดูจนโง่งมกันไปหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกัน?
คงมิใช่ว่าเจ้าสำนักหยินหยางและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่อสู้กันอีกแล้วกระมัง?
ก็เมื่อกลางวันนี้ พวกเขาพึ่งจะหน้าแตกไปตามๆกัน
คนหนึ่งคืออาจารย์ของฮ่องเต้หญิงแห่งดินแดนโบราณ อีกคนหนึ่งคือท่านตาแท้ๆ ดูอย่างไรความสัมพันธ์นี้ก็ออกจะไม่เลวเลย แล้วทำไมถึงจะต้องลงมือกันอีก?
คนเราก็เป็นเช่นนี้ ทางหนึ่งหวาดหวั่น ทางหนึ่งก็อยากรู้อยากเห็น
ยิ่งพวกที่ไม่กลัวตายต่างก็อยากจะไปชมดูความสนุกสนาน ว่าจริงๆแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
ในตอนนั้นเอง รอบเกาะลอยฟ้าพลันปรากฏผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่ขี่สัตว์อสูรวิญญาณออกมา
……………
บนเกาะลอยฟ้า แสงสว่างเจิดจ้านั้นเปล่งประกายอยู่พักใหญ่ถึงได้สลายหายไป
ฟ่านอิงขมวดหัวคิ้วแนบแน่น เขาบอกแต่แรกแล้ว แดนสวรรค์มิใช่ที่ที่หลันหลันจะไปหาเรื่องได้ เขาไม่รู้จริงๆว่าสาวน้อยผู้นี้ไปทำเรื่องใดล่วงเกินคนพวกนั้น
แต่เพราะว่าเด็กหญิงตัวน้อยนั้นปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว ลูกแก้วโลกาวินาศของเขาก็ไม่อาจนำมาใช้ได้อีก
ของสิ่งนี้เมื่อนำออกมา มีพลังดึงดูดทุกสิ่งอย่างมหาศาล
หากไม่ระวังให้ดี แม้แต่เด็กหญิงตัวน้อยนั่นก็อาจจะถูกดูดเข้าไปด้วย
ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บมันกลับไป
ตอนนี้หัวใจของเขากระดอนขึ้นมาจนถึงลำคอ กระทั่งเมื่อแสงสว่างจางลงไป จึงได้เห็นสาวน้อยในชุดสีแดงนั่นยังเหาะอยู่ในอากาศ ดุจผีเสื้อสีแดงที่งดงามบาดตา
ในมือของนางถือไม้คฑาสีดำเอาไว้ เส้นผมยาวสลวยสีดำเงินไม่ได้รับความชอกช้ำใดๆ แต่กลับพลิ้วอยู่ราวเริงระบำ
ส่วนเยี่ยเฉินก็ยังคงกุมสามง่ามเอาไว้ในมือ ร่างกายลอยถอยหลังไปหลายสิบเมตร
ดูผิวเผินแล้วเขามิได้รับบาดเจ็บในที่ใดทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าสามง่ามที่อยู่ในมือเปลี่ยนจากสีทองระยิบระยับที่ส่องประกายแพรวพราวกลายเป็นสีทองทึบๆแทบ
ราวกับว่าเมื่อครู่นี้มันถูกดูดดึงพลังไปจนหมดสิ้น
สีสันของมันยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กลับกัน ไม้คฑาในมือของตู๋กูซิงหลันเพิ่มพูนลายสีทองขึ้นมาวงหนึ่ง
“เจ้า!” เยี่ยเฉินยังไม่ทันได้ตั้งสติกลับมา หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ ดาบเล่มใหญ่ในตอนนั้นก็สามารถดูดซับพลังของอาวุธอื่นๆได้เช่นกัน
แต่ว่าดาบเล่มยักษย์นั้นแม้จะน่ากลัวเพียงไร ความสามารถในการดูดซับพลังก็ยังไม่เทียบเท่ากับไม้เท้าสีดำในมือของนาง
เมื่อครู่เขาทุ่มเทพลังแทบทั้งหมดออกไป ไม่เพียงแต่ไม่สามารถกำจัดลงได้อย่างง่ายดาย แถมสามง่ามของเขาก็ยัง…..
นี่เป็นสมบัติของแดนสวรรค์ ต่อให้นางเป็นลูกเมียน้อยของบิดา แต่ก็ไม่ควรมีความสามารถถึงเพียงนั้น
ตู๋กูซิงหลันไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาขบคิด ในมือของนางควงไม้คฑาสะกิดปลายเท้าพุ่งเข้าไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเยี่ยเฉิน
นางยกมือขึ้นสูงอย่างไม้ต้องคิด ฟาดไม้คฑาลงไปหนักๆ
ตีลงกลางแสกหน้า!
เยี่ยวเฉินใจหายวาบ รีบพลิกมือยกสามง่ามขึ้นกันเอาไว้
แต่ว่าครั้งนี้สามง่ามของเขาสูญเสียประกายที่เคยมีจนไม่ต่างอะไรกับเหล็กธรรมดาไปเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันฟาดไม้คฑาลงมาผ่าลงตรงกลาง
สามง่ามก็แตกกระจายออกราวกับเศษกระจกอย่างไรอย่างนั้น
แถมความเคลื่อนไหวของตู๋กูซิงหลันก็มิได้หยุดลง ไม้คฑายังคงวาดลงไปกระแทกเข้ากับกลางหน้าผากของเยี่ยเฉินอย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน
“ตึง….” เสียงดังสนั่นเยี่ยเฉินรู้สึกเพียงว่าศีรษะสั่นสะเทือน
ในสมองเหมือนถูกกระแทกจนแตกเละ
ทุกสิ่งกลายเป็นสีขาวและว่างเปล่า เจ็ดปวดรวดร้าวอย่างที่สุด
รอจนเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ใบหน้าที่งดงามของตู๋กูซิงหลันก็ลอยเคว้งคว้างยืดขยายอยู่ตรงหน้า
นางยกเท้าขึ้นมาข้างหนึ่งเหยียบคนกระทืบลงไปสู่พื้นดินจากกลางอากาศ
จนพื้นดินที่ราบเรียบ กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
จากนั้นขาของนางก็วาดขึ้นมาเหยียบลงไปบนเยี่ยเฉินจนติดกับพื้น
ดวงตาดอกท้อทั้งดุร้ายและชิงชัง
“ยังนึกว่าผ่านมาครึ่งปีแล้วเจ้าจะมีการพัฒนาอยู่บ้าง นี่ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเดิมอยู่อีกหรือ?” นางเหลือบตามองเขา ราวกับว่านางคือเทพเจ้าจากเบื้องบนที่แท้จริง
“เยี่ยเฉิน ก่อนหน้านี้ที่โดนซัดไปจนหมอบไม่รู้จักจดจักจำสินะ รอดชีวิตไปได้ครั้ง ยังไม่รู้จักรักถนอม ถ่อมาส่งศีรษะให้แต่ไกล เจ้านี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ”
ตู๋กูซิงหลันโบกไม้คฑาในมืออย่างคล่องแคล่ว “และครั้งนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าขึ้นสวรรค์อย่างถาวร”
……………………