ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 108 หอยโบราณ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 108 หอยโบราณ

เวลาไหลผ่านไปช้าๆ

แสงสายัณห์สีชาดในวันนี้ ฉูดฉาดยิ่งกว่าวันที่ผ่านๆ มา กระทั่งมองนานๆ ยังเกิดความรู้สึกประหลาดที่บรรยายออกมาไม่ได้อีกด้วย เหมือนมีคนกำลังใช้เลือดสดวาดภาพทาฉาบไปทั้งผืนฟ้า เหมือนมีแสงสีทองพันวนอยู่ด้วยรางๆ

ภาพนี้ดึงดูดกระทั่งความสนใจของผู้บำเพ็ญที่พักอยู่บนเขายอดเขาลำดับเจ็ดในเมืองเจ็ดเนตรโลหิตอีกด้วย ล้วนเดินออกมาจากที่พักมองไปยังขอบฟ้า สายตาเผยประกายประหลาด

ศิษย์ในท่าเรือต่างๆ ก็มีไม่น้อยที่สังเกตเห็นทั้งหมดนี้

และสวี่ชิงที่อยู่ในเรือเวทท่าเรือเจ็ดสิบเก้าก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของแสงสายัณห์สีชาดที่ขอบฟ้าเหมือนกัน หลังจากสังเกตไปหลายครั้ง เขาก็รีบอธิบายคำถามที่ศิษย์พี่หญิงติงถามให้จบ แล้วเก็บตั๋ววิญญาณหนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณเข้าไปในถุง จากนั้นก็เงยหน้ามองขอบฟ้าอีกครั้ง

“ภาพนี้ เหมือนเคยเห็นบรรยายไว้ที่ใดกันนะ” สวี่ชิงทบทวนบันทึกท้องสมุทรในความทรงจำต่อที่ตนเองอ่านมา ค้นหาในแหล่งที่คุ้นเคยส่วนนั้น

และแสงสายัณห์สีชาดก็คงอยู่ไม่นานนัก ค่อยๆ สลายหายไป ราวกับมันคิดจะใช้ความงามของตนเองรั้งตะวันยามเย็นไว้ แต่ดวงตะวันก็ยังคงร่วงหล่น เมื่อศิษย์พี่หญิงติงเห็นว่าฟ้ากำลังจะมืด จึงทำได้เพียงบอกลา

แต่ก่อนหน้าที่จะจากไป ศิษย์พี่หญิงติงก็พิจารณาตัวสวี่ชิงอย่างละเอียดหลายครั้ง จู่ๆ สายตาก็แข็งค้าง ก่อนหน้านี้นางไม่ทันสังเกตพลังบำเพ็ญของสวี่ชิง แต่หลังจากที่สังเกตตอนนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า

“ศิษย์น้องสวี่ พลังบำเพ็ญของเจ้า…เจ้าไปถึงขั้นบริบูรณ์แล้วหรือ” ใบหน้าศิษย์พี่หญิงติงเผยความไม่อยากเชื่อออกมา

แม้สวี่ชิงจะพยายามเก็บงำอยู่บ้าง แต่วิชาที่ติงเสวี่ยฝึกบำเพ็ญมานั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย เหมือนจะสามารถสังเกตพลังวิญญาณของผู้อื่นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นตอนนี้หลังจากสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังบำเพ็ญของสวี่ชิง จิตวิญญาณของนางก็เกิดคลื่นยักษ์โถมขึ้น

นางรู้ว่าสวี่ชิงแข็งแกร่งมาก แต่ประสาทสัมผัสเวลานี้เกินกว่าที่นางคาดคะเนไว้ แสงในดวงตาจึงยิ่งเปล่งประกาย

“ในเมื่อศิษย์น้องสวี่จะไปถึงระดับสร้างฐานแล้ว เช่นนั้นเจ้าเข้าใจระดับสร้างฐานแล้วหรือไม่”

สวี่ชิงชำเลืองมองศิษย์พี่หญิงติงผาดหนึ่ง ระแวดระวังขึ้นมาเมื่อถูกมองพลังบำเพ็ญออก พอส่ายศีรษะ เขาก็กระตุ้นเกราะคุ้มกันเรือเวทขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ ทำให้มันมีประกายเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งอย่างไร้ซุ่มเสียง

“ข้าเข้าใจอยู่นะ” ใบหน้าศิษย์พี่หญิงติงมีรอยยิ้ม สีหน้ามีความเบิกบาน

“เรื่องเหล่านี้ น้าของข้าไม่รู้เล่าให้ข้าฟังกี่รอบแล้ว” พูดพลาง ติงเสวี่ยก็ล้วงแผ่นหยกสามชิ้นออกมาจากในถุง ยื่นให้สวี่ชิง

สวี่ชิงตกตะลึง เขารู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับระดับสร้างฐานนั้นมีมูลค่าแพงมากในสำนัก ตอนนี้พอเห็นแผ่นหยกสามชิ้นตรงหน้า เขาแม้จะหวั่นไหวมาก แต่ก็เข้าใจว่าบนโลกนี้ทั้งหมดไม่มีอะไรที่ได้มาเฉยๆ โดยไม่ต้องตอบแทน ในทางคุณสมบัติล้วนเป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น

“ต้องใช้หินวิญญาณเท่าไร” สวี่ชิงถามออกไป

ติงเสวี่ยพอได้ยินก็คลี่ยิ้ม

“ศิษย์น้องสวี่เห็นเป็นคนอื่นไกลไปได้ ตอนนั้นถ้าในทะเลไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงจะไปยังหมู่เกาะปะการังตะวันตกได้ไม่ราบรื่นแล้ว เห็นแก่ประสบการณ์ในท้องทะเลร่วมกันของพวกเรา ของแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังสอนความรู้เรื่องยาสมุนไพรให้ข้าตั้งมากมาย นอกจากนี้ด้วยพลังบำเพ็ญของเจ้าถ้าเป็นศิษย์หลักคนอื่นก็คงจะมาสานสัมพันธ์ด้วยเหมือนกัน ข้าก็แค่มาก่อนเท่านั้น ถ้าเจ้ารับไปแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เช่นนั้นคราวหลังถ้าวันหนึ่งข้าเจอเข้ากับอันตราย เจ้าก็มาช่วยข้าสักครั้งก็พอแล้ว” พูดพลาง ศิษย์พี่หญิงติงก็วางแผ่นหยกไว้ข้างๆ

นางยิ้มให้กับสวี่ชิง ไม่รบกวนต่อ

“อันที่จริงข้าก็ยังเอาเปรียบเจ้าอยู่ ศิษย์น้องสวี่ ข้าขอตัวก่อนนะ”

พูดจบ ศิษย์พี่หญิงติงก็ร่างไหววูบ หลังจากที่สวี่ชิงเปิดเกราะคุ้มกันออกก็เดินออกจากเรือเวท

ตอนเหยียบขึ้นบนฝั่ง จิตใจของนางก็อิ่มเอมมาก เวลานี้อยากจะรีบแบ่งปัน จึงเดินไปพลางล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมาด้วย จากนั้นก็เริ่มสนทนากับเพื่อนหญิงในสำนักอีกหลายคนอย่างเบิกบานใจ

แตกต่างจากเพศชาย ความอยากจะแบ่งปันของเพศหญิงล้วนรุนแรงกว่ามาก โดยเฉพาะเวลาที่เจอกับเพศตรงข้ามที่ทำให้ตาเป็นประกายก็มักเป็นเช่นนี้

จุดนี้ สำหรับคนที่ดิ้นรนอยู่ในความขมขื่นของโลกมนุษย์ถือว่ามีได้ยาก แต่สำหรับศิษย์หลักที่ถูกปกป้องมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้วนับเป็นเรื่องปกติ

ดังเช่นความแตกต่างของเหมันต์ฤดูในท่าเรือและในทุ่งสีชาด สิ่งที่โลกประทานให้กับผู้คนก็แตกต่างกันเช่นกัน

อันที่จริงหลังจากที่นางกลับมาก็เอาเรื่องที่เจอสวี่ชิงด้านนอกไปเล่ากับเพื่อนหญิงบ้างแล้ว และการมาครั้งนี้ก็เพราะมีเพื่อนหญิงยุยง จึงมีความกล้าขึ้นมา

“พวกเจ้าคอยดูเถอะ สวี่ชิงคนนี้ ข้าจะเอามาให้ได้เลย”

ตอนที่ศิษย์พี่หญิงติงส่งสื่อเสียงอย่างภูมิใจ ร่างของเจ้าจงเหิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ท่าเรือเจ็ดสิบเก้าไกลๆ รีบตรงเข้ามาหานาง

“ศิษย์พี่หญิงติง…สกุลสวี่คนนั้นไม่ได้ทำอะไรท่านใช่หรือไม่ ข้ามาช่วยท่าน!”

คนยังไม่ทันถึง เสียงก็ส่งมาถึงหูศิษย์พี่หญิงติงแล้ว

“พิลึกคน!”

ติงเสวี่ยขมวดคิ้ว เงยหน้าชำเลืองมองเจ้าจงเหิงผาดหนึ่ง ใบหน้าแฝงความรำคาญ เดินห่างออกไป

เจ้าจงเหิงรีบเดินตามไป แม้ติงเสวี่ยจะไม่สนใจเขา แต่เขาก็ยังตามอยู่ด้านหลัง ในใจเด็ดเดี่ยวอย่างมาก

“ติงเสวี่ย สักวันหนึ่งเจ้าก็จะรู้ ว่าคนมากมายใจชีวิตเจ้าล้วนเป็นแค่นกที่บินผ่านไปเท่านั้น

“มีแต่ข้าเจ้าจงเหิงที่เป็นเหมือนผืนมหาสมุทร คอยติดตามไม่ออกห่างเจ้า และถ้าเจ้าคุ้นเคยกับการติดตามของข้า ก็จะเข้าใจถึงความสำคัญของข้า พวกผู้มาเยือนที่ผ่านไปแล้วอย่างไร ต่อให้จะมีมากอีกแค่เพียงใด ข้า ก็ยังแตกต่างจากพวกมาเยือนที่ผ่านไปเหล่านั้น!”

เจ้าจงเหิงสีหน้าหนักแน่น หันหน้ามองเรือเวทที่สวี่ชิงอยู่ ความริษยาในใจแรงกล้า แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายรวมถึงความน่ากลัวของนายกองหก เขาจึงไม่กล้าเผยอารมณ์นี้ออกมาทั้งหมด เพียงแค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจเท่านั้น

“ก็แค่หน้าตาดีหน่อยไม่ใช่หรือ เมื่อเทียบกับลูกตื๊อของข้าแล้วจะสู้อะไรได้ เวลาจะพิสูจน์ทุกสิ่ง!”

คลื่นอารมณ์ต่างๆ ในใจเจ้าจงเหิง สลายหายไปตามแสงสายัณห์สีชาดบนท้องฟ้า ดวงตะวันตกไปแล้ว ผืนทะเลที่มืดมิดตามแสงที่หายไป ในพริบตาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดขึ้น

แสงงามตานับไม่ถ้วนเจิดจ้าขึ้นฉับพลันในทะเลนอกท่าเรือ ราวกับส่องสว่างไปทั้งท้องฟ้า ความงดงามจับตายิ่งเด่นชัด ดึงความสนใจของท่าเรือทั้งหมดในเจ็ดเนตรโลหิต

มีเสียงฮือฮาค่อยๆ ดังออกมา ร่างเงามากมายเดินออกมาจากในเรือเวทของแต่ละท่าเรือ กระทั่งบนฝั่งเองหลังจากที่มีคนมากมายเห็นภาพนี้ ก็มองออกไปอย่างรวดเร็ว

นอกอ่าวท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตเวลานี้ เพียงไม่นานก็กลายเป็นลำแสงไหลไปตามผืนทะเลเป็นสายๆ จากการปรากฏขึ้นของแสงงามตาอย่างรวดเร็ว แต่ละสายแหวกว่ายต่อเนื่อง ค่อยๆ ก่อตัวเป็นกลุ่มเป็นผืนมากมายเต็มไปหมด

มองออกไป เหมือนลำแสงเหล่านี้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งผืนทะเลนอกอ่าว ราวกับกลายเป็นผืนฟ้าที่มีดาวหางหลายดวงวาดผ่าน

และในแสงเจิดจ้านี้ ลำแสงนับไม่ถ้วนผืนนี้ก็สาดผ่านประตูใหญ่ของอ่าว แผ่ไปทั่วท่าเรือทั้งหมด

ภาพนี้ ยิ่งพาดผ่านก็ทำให้ผู้บำเพ็ญในเจ็ดเนตรโลหิตตกตะลึง ดวงตาสวี่ชิงเกิดประกายประหลาด ยืนอยู่บนเรือเวทแล้วมองไป

เขาสังเกตเห็นว่าสิ่งที่แผ่ลำแสงออกมาเหล่านั้น เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างหอยขนาดเท่าฝ่ามือ

ร่างกายที่แผ่ขยายของพวกมันเหมือนจะมีเส้นประสาทที่สามารถเป็นต้นกำเนิดแสง และส่องสว่างก่อกันเป็นภาพที่สวยงามจับตา

“หอยโบราณ…”

สวี่ชิงคิดถึงสิ่งที่บรรยายไว้ในบันทึกท้องสมุทร ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา

ในบันทึกท้องสมุทรบรรยายถึงหอยโบราณไว้ไม่มากนัก เพียงบอกไว้ว่าถ้าแสงสายัณห์สีชาดมีสีทองแซม หลังจากแสงสายัณห์สลายไปเช่นนั้น บางครั้งในท้องทะเลก็จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ได้เอ่ยถึงรูปธรรมมากนัก เพียงบอกว่าไม่มีพิษมีภัย

แต่สวี่ชิงรู้มาจากในตำราสมุนไพรเล่มนั้นที่ปรมาจารย์ไป่ทิ้งไว้ให้ ว่าหอยโบราณก็เป็นตัวยาที่ล้ำค่ามากในท้องทะเลเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านระดับการปรับสมดุลและการลดผลกระทบของตัวยา มีผลมหัศจรรย์มาก

ขณะเดียวกัน ศิษย์พี่หญิงติงกับเจ้าจงเหิงที่ยังไม่ออกไปจากท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้าก็สังเกตเห็นภาพนี้ด้วยเช่นกัน ศิษย์พี่หญิงติงมองไปยังผืนทะเลที่งามตาด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย

เจ้าจงเหิงที่อยู่ข้างๆ รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์พี่หญิงข้ารู้ว่ามันคืออะไร นี่คือหอยโบราณ เรียกอีกอย่างว่าหอยดารา บางครั้งจะลอยขึ้นมาเหนือทะเลหลังแสงสายัณห์สีชาด ทั้งตัวมันไม่มีข้อดีใดเลย ทำได้แค่ส่องแสง นอกจากความสวยงามก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก”

เจ้าจงเหิงชำเลืองมองสวี่ชิงที่ห่างออกไป เอ่ยขึ้นเสียงดัง

สวี่ชิงสีหน้าปกติ ไม่มีเวลามาสนใจเจ้าจงเหิง กระทั่งเขาไม่ตั้งใจฟังด้วยซ้ำ ตอนนี้เขายืนอยู่ที่หัวเรือ ความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่กับสิ่งที่อยู่เหนือผืนทะเล

ระหว่างที่น้ำทะเลกระเพื่อมไปมา หอยโบราณที่แผ่ลำแสงเจิดจ้าก็พัวพันกันไปมาแล้วผละตัวออกจากกัน แสงที่ปล่อยออกมาแต่ละตัวในขณะที่พัวพันกัน บ้างก็ประสานกัน บ้างก็เกิดความวุ่นวาย

ที่ประสานกัน ก็พันเข้าด้วยกันแล้วไม่แยกจากกันอีก ส่วนที่วุ่นวายพอแตะกันนิดเดียวก็ผละออกจากกัน ราวกับต่างฝ่ายต่างกำลังออกค้นหา

และที่สวี่ชิงให้ความสนใจคืออย่างหลัง

ในหัวเขาปรากฏความรู้ที่ปรมาจารย์ไป่เคยถ่ายทอดออกมา มองไปยังหอยโบราณที่ผละออกจากกันวุ่นวายแล้วแหวกว่ายต่อเหล่านั้น เฝ้ารอโอกาสอยู่เงียบๆ

ใช่ว่าหอยโบราณทั้งหมดจะสามารถกลายเป็นยาได้ ที่เขาจำเป็นต้องรอคือหอยโบราณตัวผู้ที่ประสานกับใครไม่ได้เลยเหล่านั้น มีเพียงประเภทนี้เท่านั้นที่จะเกิดการบิดเบือนในร่างกายในท้ายที่สุด แล้วกลายมาเป็นหินยาที่มีส่วนช่วยในการฝึกบำเพ็ญ!

และการนิ่งงันของสวี่ชิง ก็ทำให้เจ้าจงเหิงยิ่งเหิมเกริม เชิดคางขึ้น สีหน้าหยิ่งผยอง

“สิ่งที่สำนักบันทึกไว้ ไม่มีประโยชน์อันใด ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ได้ไม่นานก็จะสลายไป”

ศิษย์พี่หญิงติงมองหอยโบราณเหล่านั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าจงเหิง สีหน้าก็เผยความรังเกียจ เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ

“เปล่งแสงได้ก็ถือว่าดีเหมือนกัน สร้างความงามจับตาไม่เพียงแต่สามารถสะท้อนตัวตนของตนเอง แต่ยังสะท้อนให้เห็นผู้ที่มองมันด้วย ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าพวกที่ดำมืดไม่มีแสงเป็นไหนๆ”

เจ้าจงเหิงเลิกคิ้วขึ้น พอคิดจะเอ่ยตอบ

ทว่าตอนนี้เอง ที่หัวเรือเวท สวี่ชิงที่ยืนนิ่งไม่สนใจคนทั้งสองมาโดยตลอด เวลานี้ดวงตาก็แข็งค้างขึ้นฉับพลัน มือขวายกขึ้นในพริบตา ตะปบคว้าไปบนผืนทะเล

ฉับพลันไอน้ำรอบๆ ก็กลายเป็นหยดน้ำ หลังจากเข้ามารวมกันทีละหยดก็กลายเป็นฝ่ามือใหญ่ที่รวมขึ้นจากน้ำทะเลในพริบตา คว้าไปทางหอยโบราณนับไม่ถ้วนเหนือผืนทะเล

ขณะคว้ามาหนึ่งตัว ระหว่างที่ม้วนกลับมา ฝ่ามือใหญ่นี้ก็สลายไปตรงหน้าสวี่ชิง และหอยโบราณที่ถูกคว้ามานั้นก็ร่วงลงกลางฝ่ามือ

บนเปลือกหอยโบราณขนาดเท่าฝ่ามือเต็มไปด้วยภาพลวดลายคล้ายดอกเบญจมาศ แสงที่เปล่งออกมาในช่องเปลือกเวลานี้ค่อยๆ หม่นแสงลง

และพริบตาที่หม่นแสงลง จู่ๆ มือขวาสวี่ชิงก็ส่งไอเย็นออกมา ไอเย็นระเบิดห่อหุ้มหอยโบราณฉับพลัน ทำให้มันถูกแช่แข็งจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็งทันที

ด้านในก็รักษาสภาพที่กำลังหม่นแสงของมันเอาไว้

มองก้อนน้ำแข็งในมือ ใบหน้าสวี่ชิงก็มีรอยยิ้มเบิกบานออกมา หลังจากเก็บมันลงไปอย่างระมัดระวัง ก็ทำการสังเกตมหาสมุทรต่อ

ขณะเดียวกัน ในท่าเรือเจ็ดสิบเก้า คนที่ทำแบบเดียวกับสวี่ชิงยังมีอีกเจ็ดแปดคน เจ็ดแปดคนนี้เห็นได้ชัดว่ารู้ถึงมูลค่าทางยาของหอยโบราณ ดังนั้นจึงรีบลงมือจับพวกที่สอดคล้องกับเงื่อนไข

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ศิษย์บางคนจากท่าเรือต่างๆ ก็ลงมือ กระทั่งบนเขาก็ยังมีร่างบินทะยานตรงมาที่นี่ เริ่มลงมือจับ

ในนั้นมีผู้บำเพ็ญจากยอดเขาลำดับสองเยอะเป็นพิเศษ

ฉากนี้เหมือนกับฝ่ามือที่มองไม่เห็นตบฉาดเข้าไปที่หน้าของเจ้าจงเหิงที่เพิ่งบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ไปก่อนหน้า เขางงงันไปครู่หนึ่ง ในใจไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย

ศิษย์พี่หญิงติงพอเห็นทั้งหมดนี้ในใจก็อยากรู้อยากเห็น จึงรีบร้อนเข้าไปหาสวี่ชิง พอมาถึงท่าจอดเรือเวทของสวี่ชิง นางก็รีบร้อนถามว่า

“ศิษย์น้องสวี่ หอยโบราณนี้ทำไมจึงมีคนจับไปหรือ” พูดพลาง นางที่ชินกับนิสัยของสวี่ชิง ก็ล้วงเอาตั๋ววิญญาณใบหนึ่งยื่นออกมา

“หอยโบราณตัวผู้ขณะที่กำลังจะตาย จะกลายเป็นตัวยาที่พบเห็นได้น้อยมากชนิดหนึ่ง มีส่วนช่วยการฝึกบำเพ็ญไม่น้อย”

สวี่ชิงรับตั๋ววิญญาณใบนั้น แต่ก็ยังอธิบายกับติงเสวี่ย

โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงแผ่นหยกระดับสร้างฐานที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างไม่มีเงื่อนไขก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างละเอียดอีกครั้ง

“หอยโบราณ หรือชื่ออื่นคือผลดารา หินอสรพิษ เป็นสิ่งมีชีวิตไม่มีกระดูกสันหลัง ตระกูลจำพวกลำตัวนิ่ม ได้ชื่อจากลายดอกเบญจมาศบนเปลือกหอยของมัน พออายุหลายปีจะมีส่วนช่วยในการปรุงยาที่ยอดเยี่ยม ชอบอาศัยอยู่ในซอกเขาใต้ทะเล จะออกมาทุกฤดูผสมพันธุ์ ทุกครั้งที่ออกมาจะเกิดแสงสายัณห์สีเลือดแซมทอง กระจัดกระจายอยู่ในทะเลต้องห้ามทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน สืบตามร่องรอยได้ยาก ดังนั้นจึงพบเห็นได้ยากมากบนบก สรรพคุณของมันสามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตประหลาดได้ เมื่อใช้วิธีการตามทฤษฎีอวัยวะภายในทั้งห้า สามารถช่วยเหลือพลังวิญญาณให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสได้

“มีรสหวาน เย็น มีพิษเล็กน้อย สามารถทำให้จิตใจสงบได้ เมื่อรวมเข้ากับวิธีจำแนกเพียบพร้อมหยินหยาง รวมเข้ากับน้ำในกระดอง จะสามารถหลอมลูกกลอนยกวิญญาณได้

“และในวิชาทฤษฎีโอสถแบบใหม่ มักจะใช้ร่างกายรูปดอกเบญจมาศนี้เป็นกาฝาก ใช้ความพิเศษในวิญญาณและร่างกายของมันมาเป็นเตาทางธรรมชาติ บ่มเพาะลูกกลอนยอดเยี่ยมออกมา ขณะเดียวกันในด้านปรับสมดุลก็ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า สามารถปรับสรรพคุณทางยาที่รุนแรงให้เป็นกลางได้”

สวี่ชิงพูดจบก็มองไปทางมหาสมุทรต่อ มองหาหอยโบราณที่สามารถจับได้

ศิษย์พี่หญิงติงข้างๆ ยังดูเหมือนฟังไม่ออกหน่อยๆ แต่ก็รู้สึกว่าคำพูดของสวี่ชิงนั้นยอดเยี่ยมมาก จึงมองสวี่ชิง ดวงตางามเผยประกายร้อนแรงจากนั้นจึงถามต่อว่า

“แล้วทำไมพวกมันจึงเปล่งแสงกัน”

“นั่นเป็นเพราะช่วงฤดูผสมพันธุ์ หอยโบราณเพศผู้จะลอยขึ้นมาเหนือผืนทะเล แล้วจะปล่อยคลื่นแสงที่แตกต่างกันจากร่างกายเพื่อดึงดูดตัวเมีย

“พวกมันจึงปล่อยแสงออกมาด้วยเหตุนี้ หลังจากสัมผัสกันแล้ว ถ้าหากทั้งสองฝ่ายประสานกันได้ก็จะถือว่าผสมพันธุ์กันได้ ถ้าหากแสงจากหอยโบราณตัวผู้ไม่สามารถประสานกันได้ ก็จะถูกหอยโบราณตัวผู้อื่นๆ รังเกียจ สุดท้ายตัวผู้ที่ไม่สามารถประสานกับใครได้ แสงก็จะสลายแล้วตายไป”

สวี่ชิงพูดจบมือก็ยกขึ้นคว้า และเก็บหอยโบราณที่เงื่อนไขสอดคล้องกลับมาได้อีกตัวหนึ่ง

ศิษย์พี่หญิงติงใบหน้าเต็มไปด้วยความศรัทธา นางรู้ว่าสวี่ชิงตอนนี้กำลังยุ่ง ก็เลยไม่ถามอะไรอีก แต่คอยสังเกตเรียนรู้แทน

ทุกครั้งที่สวี่ชิงลงมือ นางก็จะคอยสังเกต ผ่านไปไม่นานนางก็เริ่มใช้วิชาเริ่มช่วยเหลือบ้าง

สวี่ชิงไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่เห็นแก่แผ่นหยกระดับสร้างฐาน แม้จะรู้สึกว่าถ่วงแข่งถ่วงขาอยู่บ้างแต่ก็ไม่พูดอะไร ยอมให้ศิษย์พี่หญิงติงเข้ามาช่วยเหลือ

เวลาผ่านไป หนึ่งคืนก็ผ่านไปพร้อมกับการลงมือของศิษย์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ช่วงอรุณค่อยๆ สว่างขึ้นในผืนทะเลอ่าวเจ็ดเนตรโลหิต หอยโบราณที่พันรัดอยู่ด้วยกันก็ทยอยกลับไปยังใต้ทะเล เหลือไว้เพียงศพของหอยโบราณตัวผู้ที่หม่นแสงจนตายและยังไม่ถูกเก็บไป หลังจากที่ย่อยสลายแบบเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของทะเลต้องห้าม

ศิษย์พี่หญิงติงที่วุ่นวายทั้งคืนแต่ยังเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้จึงเลือกขอตัวลากลับไป

และด้านหลังร่างสะโอดสะองของนาง เจ้าจงเหิงก็หน้ามุ่ยเดินตามหลัง

เขามองแผ่นหลังของศิษย์พี่หญิงติง ขณะที่สายตาเผยความปรารถนา ในใจก็แอบลั่นคำสาบาน

“คอยดูเถอะ ติงเสวี่ย สักวันหนึ่ง เจ้าจะต้องประทับใจในตัวข้า”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท