ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 114 แผ่นดินต่างเผ่า

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 114 แผ่นดินต่างเผ่า

มองจากท้องฟ้า รูปร่างของเกาะเผ่าเงือกทั้งสี่ที่แสงสีม่วงปกคลุมเอาไว้ การฆ่าล้างสังหารที่ปะทุขึ้นถี่ และระลอกคลื่นพลังเวทตั้งเรียงเป็นเหมือนจันทร์เสี้ยว

เกาะทั้งสี่ที่จับกลุ่มเป็นทรงจันทร์เสี้ยวนี้ บนสุดคือเกาะหมีเอ้อ สองเกาะตรงกลางคือเกาะจวีอิงและเกาะอีเหม่ยฉี และเกาะข้างล่างสุดคือเกาะครองมรดก

ในนั้นเกาะอีเหม่ยฉีคือเกาะหลักของเผ่าเงือก ที่เหลือสามเกาะเป็นรอง

สวี่ชิงไม่ได้มีความเข้าใจกับเผ่าเงือกสักเท่าไรอยู่แล้ว ในแผ่นหยกที่หวงเหยียนให้แต่ก่อนมาที่นี่ก็มีคำอธิบายเกี่ยวกับเผ่าเงือกละเอียดมาก

ไม่ใช่แค่ทำสัญลักษณ์ไว้บนสถานที่ที่มีค่าต่างๆ เท่านั้น แต่ยิ่งบอกกล่าวถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเผ่าเงือกด้วย

ในวัฒนธรรมของเผ่าเงือก เมื่อคนในเผ่าตายแล้ว ก็จะเข้าไปในโลกอันแปลกพิศดารที่มีชื่อว่าทุ่งเมฆาผ่านจากศาลเจ้าแห่งหมีเอ้อ แดนเทพที่พวกเขาเรียกแห่งนั้นฝังเทพเจ้าบรรพกาลที่อยู่ในตำนานเทพนิยายของพวกเขาเอาไว้

เทพเจ้าองค์นี้ชื่อว่าหมีเอ้อ

ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อเกาะหมีเอ้อ ดังนั้นเสื้อเกราะที่บวงสรวงอยู่ในภูเขาไฟบนเกาะหมีเอ้อจึงมีชื่อว่าเกราะหมีเอ้อ

แม้หมีเอ้อในตำนานเทพนิยายของพวกเขาจะศักดิ์สิทธิ์มากแต่ถึงอย่างไรก็แตกดับไปแล้ว และความเชื่อของเผ่าเงือกก็ต้องการสื่อกลาง กระทั่งว่าในบรรดาผู้แข็งแกร่งบางคนของพวกเขาก็ต้องการสื่อกลางนี้เพื่อมาสำแดงวิชาเทพของตัวเอง

ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงบูชาผู้แข็งแกร่งอีกคนหนึ่ง บรรยายให้ลึกลับเกินจริง แล้วเรียกเขาว่าจวีอิง

เกาะจวีอิงก็ได้ชื่อมาด้วยเหตุนี้

และในแผ่นหยกที่หวงเหยียนให้มาก็ได้บอกว่าเทพจวีอิงที่ว่า ความจริงแล้ว…เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่อยู่ลึกในทะเลต้องห้ามก็เท่านั้น

แข็งแกร่งก็แข็งแกร่งอยู่ แต่เทียบไม่ได้กับระดับที่ได้ชื่อว่าเทพเจ้าเลย

ส่วนเกาะครองมรดกเป็นตัวแทนของที่ผู้ตายทิ้งไว้

เผ่าเงือกให้ความสำคัญกับของที่ผู้ตายทิ้งไว้และวัตถุที่ฝังไปกับคนตายมาก พวกเขาเชื่อว่ายิ่งวัตถุที่ฝังไปกับคนตายเยอะมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ในตอนที่มีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงมักจะฝังคนที่ตายไว้ที่เกาะครองมรดก อีกทั้งยังฝังสิ่งของต่างๆ ตลอดช่วงชีวิตลงไปด้วย

แต่พวกเขาก็ไม่ได้กีดกันคนรุ่นหลังไปขุดค้น เพราะในวัฒนธรรมพวกเขาเชื่อว่า วัตถุที่ฝังไปกับคนตายที่ผู้มีวาสนาในเผ่าขุดออกมาได้และได้ตามคนคนนั้นไปร่วมสู้ด้วย นั่นคือการเกิดใหม่ในอีกความหมายหนึ่งของพวกเขา

สุดท้ายคือเกาะอีเหม่ยฉี

ในฐานะที่เป็นเกาะหลักของเผ่าเงือก จึงตั้งชื่อตามนามสกุลของหัวหน้าเผ่ารุ่นแรกของเผ่าเงือก และสกุลนี้ก็เป็นสกุลของเชื้อพระวงศ์เผ่าเงือก

นี่ก็คือเกาะทั้งสี่ของเผ่าเงือก อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมของพวกเขา

ในหัวสวี่ชิงมีเนื้อหาในแผ่นหยกเหล่านี้ผุดขึ้นมา ขณะเดียวกันก็นึกถึงเรื่องเล่าเบาะแสศาลเจ้าที่ซ่อนอยู่ในตะเกียงดับวิญญาณ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสร้างฐานที่เจ้าอ้วนน้อยพูดถึง

หลังจากที่หมีเอ้อเทพรุ่นแรกในตำนานของเผ่าเงือกตาย ศาลเจ้าหมีเอ้อก็ได้หายตามไปด้วย ว่ากันว่าในตะเกียงดับวิญญาณมีเบาะแสตามหาศาลเจ้าหมีเอ้ออยู่ แต่เนิ่นนานมานี้ก็ไม่มีใครค้นพบ

สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสนใจเพียงราคาของตะเกียงดับวิญญาณเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่ข้อมูลพวกนี้แวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว เขาก็ไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย พุ่งตัวไปข้างหน้าในป่าอย่างรวดเร็ว

รวดเร็วว่องไว สวี่ชิงได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นจำนวนไม่น้อยอยู่ไกลๆ และสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังวิญญาณ

นี่คือเสียงของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่มาเกาะนี้ต่อสู้กับเผ่าเงือก

สวี่ชิงหรี่ตาลงเล็กน้อย กวาดไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยท่าทางเตรียมพร้อมโจมตีตามความเคยชิน เคลื่อนตัวไปบนยอดไม้แต่ละต้นๆ ท่องไปในจุดซ่อนเร้นมืดมิดในป่า ความเร็วไม่ลดลงเลย

เขาคุ้นเคยกับป่าไม้เป็นอย่างดี

ตอนนี้ในขณะที่วิ่งตะบึง ในที่สุดสวี่ชิงก็มั่นใจเรื่องที่คาดเดาและวิเคราะห์เรื่ององค์ชายสามกับสำนักในวันนั้น รู้ว่าไม่มีใครมาหาเรื่องที่ตนฆ่าเผ่าเงือกแล้ว

นี่ทำให้เขาจิตใจสงบ ร่างทะยานไปบนยอดไม้แห่งหนึ่ง กำลังจะอาศัยแรงพุ่งไปข้างหน้า จู่ๆ ม่านตาของเขาก็หดเล็ก

ความรู้สึกอันตรายกลุ่มหนึ่งพลันผุดขึ้นมาในใจ ร่างของเขาถอยไปข้างหลังทันที และในเสี้ยวพริบตาที่เขาถอยไปนั้น ในยอดพุ่มไม้ใหญ่ที่เขาอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ ก็มีกิ่งไม้สีแดงกิ่งหนึ่งพุ่งมา

กิ่งไม้เหมือนรยางค์โหมกวาดมาในพริบตา

ในขณะเดียวกับที่กิ่งไม้ปรากฏขึ้น ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็แห้งเหี่ยวอย่างสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งที่แห้งเหี่ยวตามไปด้วยยังมีต้นไม้ใหญ่ที่คล้ายๆ อีกหลายสิบต้นรอบๆ

ในเสี้ยวพริบตาที่พวกมันแห้งเหี่ยว กิ่งไม้สีแดงมากมายก็พุ่งมาหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็วจากทั่วทุกสารทิศ

สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ร่างกายเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างปราดเปรียว ไม่ได้ลงมือในทันที แต่หลังจากที่หลบกิ่งไม้รอบๆ แล้วก็ทะยานตัวขึ้น ทอดสายตามองบริเวณต้นกำเนิดของกิ่งไม้พวกนี้ที่อยู่ไกลลิบ

ดินโคลนบริเวณนั้นกำลังถล่มลงไป ต้นไม้ใหญ่หนาสีแดงเลือดต้นหนึ่งกำลังลอยขึ้นมาจากใต้ดินอย่างช้าๆ ก็มีแสงสีแดงสาดประกายตามการลอยขึ้นมาของมัน แต่มันกลับไม่อาจบดบังสายตาของสวี่ชิงได้ สวี่ชิงมองเห็นเศษชิ้นส่วนมากมายฝังอยู่ในกิ่งไม้นี่อย่างชัดเจน

มีเผ่ามนุษย์ และก็มีต่างเผ่า

เป็นสีดำคล้ำทั้งหมด

เหมือนว่าพวกเขาถูกฝังอยู่ที่นี่ เลือดเนื้อในร่างก็กลายเป็นสารอาการหล่อเลี้ยงต้นไม้ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นจุดกลายพันธุ์สำหรับกักเก็บไอพลังประหลาด

เพราะต้นไม้ใหญ่ลอยขึ้นมา สวี่ชิงจึงมองเห็นผลไม้ขนาดมหึมาหลายสิบผลบนนั้น

ผลไม้พวกนี้ล้วนออกผลอยู่บนกิ่ง มีลักษณะกึ่งโปร่งแสง สามารถมองเห็นได้ว่าทุกลูกมีผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกอยู่

เผ่าเงือกเหล่านี้กำลังหลับตา ไอพลังประหลาดมหาศาลแผ่ออกมาจากทั่วทั้งร่างของเขาแล้วหลอมรวมไปในผลไม้ แล้วต้นไม้ใหญ่ก็ดูดซับก่อนจะส่งไปในซากศพจำนวนมหาศาลในกิ่งไม้

เห็นได้ชัดว่านี่คือวิธีพิเศษในการกำจัดไอพลังประหลาดในตัวของผู้บำเพ็ญเผ่าเงือก

และต้นไม้แบบนี้ก็ไม่ได้มีแค่ต้นเดียว สวี่ชิงเงยหน้ามองไปที่ไกลๆ ที่เห็นในสายตามีอย่างน้อยๆ เจ็ดแปดต้น คิดได้เลยว่าต้นไม้ประเภทนี้ในป่าที่โอบล้อมเขตพื้นที่รอบนอกเกาะจวีอิงจะต้องมีมากกว่านี้แน่นอน

ตอนนี้ ในขณะที่สวี่ชิงกำลังมองออกไปไกลๆ กิ่งไม้สีแดงชาดที่เหมือนรยางค์แต่ละเส้นรอบๆ เหล่านั้นก็พุ่งมาพร้อมกับจิตสังหารรุนแรงจากทั่วทุกสารทิศอย่างรวดเร็ว

แต่ในเสี้ยวพริบตาที่พวกมันเข้าใกล้สวี่ชิง กิ่งไม้สีแดงที่อยู่ใกล้ที่สุดกิ่งนั้น จู่ๆ ก็แห้งเหี่ยวไปด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีแดงถูกแทนที่ด้วยจุดสีดำ และจุดสีดำนี้ก็เหมือนว่ามีชีวิต มันแผ่ลามไปในเสี้ยวพริบตา ทุกที่ที่พาดผ่านล้วนเน่าสลายไปอย่างรวดเร็ว

ทุกอย่างนี้ทำให้ในขณะที่กิ่งไม้ประชิดเข้ามาใกล้เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว ของเหลวเหนียวหนืดสีดำมากมายหยดลงมา

ของเหลวเหนียวหนืดนี้มีพิษร้ายเช่นกัน หลังจากที่หยดลงมาสัมผัสมาโดนกับสิ่งใดก็ตามล้วนเน่าเปื่อยไปทั้งสิ้น แม้แต่ดินยังส่งเสียงฉ่าออกมา

และกิ่งที่เปื่อยเน่าก็ไม่ได้มีแค่กิ่งนี้กิ่งเดียว ตอนนี้กิ่งไม้ที่เข้าใกล้สวี่ชิงทุกกิ่งล้วนเน่าเปื่อยไปในเสี้ยวพริบตา ส่วนจุดดำบนกิ่งไม้ก็ไม่ได้สลายไป แต่มันพุ่งไปยังต้นกำเนิดของพวกมันไปตามกิ่งไม้

มองไกลๆ แล้วก็จะเห็นบนกิ่งไม้ที่กำลังละลายหลายสิบกิ่งนี้ถูกสีดำปกคลุมไปอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงต้นไม้สีเลือดมหึมาต้นนั้นจากทั่วทุกทิศ

เห็นว่าต้นไม้ต้นนี้ใกล้จะถูกสีดำกลืนกินจากทั่วทุกทิศแล้วเต็มที ในตอนนี้เอง ผลไม้สิบกว่าลูกนั่นก็พลันสั่นขึ้นมา ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกที่อยู่ในนั้นสัมผัสได้ถึงอันตรายก็ต่างลืมตาขึ้น

แต่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทุกคนจะตื่นได้เร็วขนาดนั้นและพุ่งตัวออกมา สุดท้ายก็มีแค่สี่คนเท่านั้นที่พุ่งตัวออกมาได้ภายใต้การปกคลุมจากสีดำ

ส่วนที่เหลือ…ในเสี้ยวพริบตาที่ต้นไม้ใหญ่ถูกสีดำปกคลุม หมึกเข้มข้นก็หยดมายังผลไม้ แล้วกลายเป็นสีดำปี๋ทันควัน เน่าไปทั้งหมด

ภาพนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทั้งสี่คนจิตสังหารรุนแรง พลังบำเพ็ญปะทุทันที ล้วนแต่เป็นระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ทุกคน พุ่งมาสังหารสวี่ชิง

ในสายตาของพวกเขา สวี่ชิงก็เป็นระดับรวมปราณบริบูรณ์เหมือนกัน พลังบำเพ็ญเหมือนกับพวกเขา แค่เผ่ามนุษย์น้อยนักจะมีพรสวรรค์ในการปลุกเผ่าพันธุ์ได้ ดังนั้นในการต่อสู้ของระดับเดียวกัน ต่างเผ่ามักจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบกว่า

แม้วิถีพิษจะร้ายกาจ แต่โครงสร้างร่างกายของพวกเขาต่างไปจากมนุษย์ ดังนั้นจึงเมินพิษมากมายของเผ่ามนุษย์ได้

ดังนั้นแล้วผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทั้งสี่จึงเข้าประชิดสวี่ชิงจากทั้งสี่ด้านอย่างรวดเร็ว แต่ในเสี้ยวพริบตาที่พวกเขาเข้ามาใกล้ ประกายเย็นเยียบในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายวาบ จู่ๆ ความเร็วก็พลันเพิ่มขึ้น

ความเร็วนี้อยู่เหนือการคาดหมายของผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทั้งสี่ ยังไม่ทันที่ความตื่นกลัวบนใบหน้าจะฉายออกมา เงาร่างของสวี่ชิงก็มาอยู่ข้างหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกคนหนึ่งแล้ว กริชปาดมาพร้อมประกายวาววาบ ในเสี้ยวพริบตาที่หัวขาดกระเด็น ร่างของสวี่ชิงก็กระแทกเข้ากับผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกอีกคนเข้าอย่างจัง

เสียงกร๊อบดังออกมา ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกที่เขากระแทกใส่ต่อให้เผ่าพันธุ์มีพรสวรรค์กายเนื้อแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีวิชาลดแรงกระแทกในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจทนรับได้ ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา ร่างก็ยุบลงไป กระดูกกับเนื้อแหลกเละทันที

ขณะเลือดเนื้อที่สาดกระจาย กริชของสวี่ชิงก็พุ่งจากมือตรงไปที่หว่างคิ้วผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกคนที่สาม ในขณะที่เสียบทะลุ ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกคนสุดท้ายคนนั้นหน้าซีดเผือด ในดวงตาฉายความตื่นกลัวรุนแรงออกมา ไม่กล้าเข้าไปใกล้อีก ร่างถอยไปอย่างรวดเร็ว คิดจะหนี

แต่ก็ช้าไปแล้ว

เขาหนีออกมาได้ไม่ถึงสิบจั้ง ร่างก็กระตุกเกร็ง มีจุดดำมากมายปรากฏขึ้น

เสียงร้องโหยหวนของเขาก็ดังไปทั่วทุกทิศจากการแผ่ลามของจุดดำ ร่างถูกกัดกินเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วแล้วสลายไป

โครงสร้างของร่างกายเผ่าเงือกสามารถต้านพิษบางอย่างได้ แต่สวี่ชิงจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ พัฒนาผงพิษของตัวเอง ตอนนี้เมื่อใช้ย่อมร้ายกาจ

ฆ่าไปติดๆ สี่คน สีหน้าของสวี่ชิงสงบนิ่ง ในตอนที่เดินไปค้นของในตัวของสี่คนนี้ ในใจของเขาเพียงขยับก็เงยหน้ามองไปที่ไกล ในสายตามีลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตคนหนึ่งปรากฏขึ้น

คนคนนี้สวี่ชิงไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่ระลอกคลื่นของคัมภีร์แปรสมุทรที่เกือบจะถึงขั้นบริบูรณ์พิสูจน์ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ภาพลวงตา และในขณะที่เขามองไป ลูกศิษย์คนนี้ก็หยุดฝีเท้าทันทีเช่นกัน

ในเสี้ยวพริบตาที่ประสานสายตาเข้ากับสวี่ชิง ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตคนนี้ลมหายใจก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกที่เหมือนกับได้เจออสูรทะเลแข็งแกร่งในทะเลต้องห้ามลอยเอ่อขึ้นมาในใจทันที ทำให้ร่างของเขาแข็งทื่อ อาศัยจิตตั้งมั่นอันแข็งแกร่งถึงจะพอขยับได้บ้าง แววตาฉายความระแวดระวังอย่างไม่เคยมีมาก่อนออกมา เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สหายผู้นี้ ข้าไม่ได้คิดร้าย แค่ผ่านมาเท่านั้น” พูดพลางรีบหยิบเอาลูกกลอนกำใหญ่ออกมากลืนลงไป จากนั้นก็ยกมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้มีจิตคิดร้าย ก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังไป

สวี่ชิงกวาดสายตามองคนคนนี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง หลังจากจัดเก็บสินสงครามแล้ว ร่างเพียงไหววูบก็จากไป

จวบจนมั่นใจว่าสวี่ชิงจากไปไกลแล้ว ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่พลังบำเพ็ญเกือบจะถึงขั้นบริบูรณ์คนนั้นถึงได้สูดลมหายใจ ดวงตาฉายแววหวาดกลัว หัวใจยิ่งเต้นโครมครามรุนแรง

‘เมื่อครู่หากข้าเข้าไปใกล้อีกนิด หรือเผยจิตคิดร้ายเพียงเล็กน้อยก็คงตายอยู่ที่นี่แน่นอน!’

ในใจของเขายังมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่ การลงมือของสวี่ชิงและกลิ่นอายในตัวเขาสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเขา แรงกดดันนี้ทำให้เมื่อครู่นี้มีชั่วพริบตาหนึ่งเกิดภาพลวงตาขึ้น เหมือนว่าคนที่เผชิญหน้าด้วยไม่ใช่ระดับรวมปราณ แค่เป็นผู้ดูแลระดับสร้างฐานของสำนัก

“ล่างเขามีคนร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน…”

ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตคนนี้ เมื่อครึ่งปีที่ผ่านมาอยู่ในทะเลตลอดไม่ได้กลับมา ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องสวี่ชิง ตอนนี้บินจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็กระอักเลือดสีดำคำโตออกมา ตกใจจนเขาต้องกลืนยาลูกกลอนกำโตๆ ลงไปอีกครั้ง คราวนี้ถึงจะดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

นี่ก็คือพิษที่เมื่อครู่นี้สวี่ชิงหลักๆ แล้วใช้สำหรับเผ่าเงือก ไม่เช่นนั้นหากเป็นยาพิษพวกนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ คนคนนี้แค่เข้าใกล้สนามศึกก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

“พลังบำเพ็ญแข็งแกร่ง ลงมือฆ่าอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งวิถีพิษยังน่ากลัว…” ความหวาดระแวงในดวงตาของลูกศิษย์เก่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตคนนี้เข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง ไม่กล้าเดินตามทางสวี่ชิง แต่เปลี่ยนทิศเดินทาง ในใจตัดสินใจแล้วว่าที่ที่อีกฝ่ายไป ให้ตายตนก็ไม่มีทางไปเด็ดขาด

เวลาก็ไหลไปเช่นนี้เอง การฆ่าล้างสังหารบนเกาะเงือกทั้งสี่ดำเนินต่อไป ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีทั้งบาดเจ็บล้มตาย สวี่ชิงก็ค่อยๆ ฝ่าออกไปจากป่าแห่งนี้

ในเสี้ยวขณะที่เดินออกมาจากป่า เขาก็เห็นเมืองของเผ่าเงือกเมืองหนึ่งอยู่ลิบๆ!

เมืองนี้พิเศษมาก ไม่ได้สร้างขึ้นจากอิฐหรือกระเบื้อง แต่ก่อขึ้นจากกระดูกปลาขนาดมหึมาโครงหนึ่ง

กระดูกปลานี่ใหญ่โตมโหฬารนัก มีขนาดเท่ากับเขตหนึ่งของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตเลยทีเดียว

สวี่ชิงเทียบข้อมูลที่เกี่ยวกับเกาะจวีอิงในแผ่นหยกที่หวงเหยียนให้มา ร่างเพียงขยับก็ทะยานไปยังเมืองนั้นอย่างรวดเร็ว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท