ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 121 จวีอิงตื่นขึ้น

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 121 จวีอิงตื่นขึ้น

“นายกองติดพิษแล้ว” สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง

“ติดพิษ? ข้าไม่ได้ติดพิษ ข้าแข็งแกร่งเสียขนาดนี้ จะมาติดพิษได้อย่างไร” นายกองเลิกคิ้ว ตอบกลับอย่างประหลาดใจ

“เจ้าติดพิษแล้วจริงๆ นายกอง”

สวี่ชิงมองนายกองที่หน้าตาดูดำคล้ำจนใกล้เคียงกับน้ำทะเลสีดำสนิท เอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ

นายกองพอได้ยินก็สีหน้าเคร่งขรึม

“รองนายกองสวี่ เจ้าอย่าพูดส่งเดช พูดอะไรต้องมีหลักฐานด้วย! ข้าแค่เพิ่งเห็นผลไม้ในทะเลที่ดูแล้วน่าจะรสชาติดีผลหนึ่ง กินไปแล้วเจอสิ่งแปลกปลอมไปเพียงนิดเท่านั้น ดูแล้วผลไม้ในทะเลจะกินมั่วซั่วไม่ได้”

นายกองพูดพลางก็เหมือนรู้สึกหน้าจะชาๆ จึงรีบหยิบยาแก้พิษออกออกมากำหนึ่ง ยัดปากเคี้ยวกร้วมๆ เหมือนเม็ดถั่วแล้วกลืนลงไป

ส่วนในใจเขาตอนนี้ค่อนข้างกลัดกลุ้ม ในอุโมงค์มืดก่อนหน้าหลังจากตนเองลงไปในน้ำแล้วซ่อนตัว ก็แค่คิดจะให้สวี่ชิงออกไปสำรวจทางก่อน แล้วตนเองตามอยู่ด้านหลังเท่านั้น

ไม่คิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ จะปล่อยพิษเอาไว้ตลอดทาง!

ปัจจุบันเมื่อเห็นสวี่ชิงยังคิดจะเอ่ยปาก เขาก็รีบกวาดตามองไปรอบๆ แล้วชี้นิ้วไปยังจางซานที่แกล้งนอนเป็นศพอยู่ใกล้ๆ

“เอ๊ะ นั่นใครน่ะ ไม่ใช่จางซานหรือ”

พูดพลาง ร่างของนายกองก็โยกไหวแยกจากตัวสวี่ชิง พุ่งตัวเข้าไปหาจางซาน หลังจากมาถึงข้างกายจางซานเขาก็วาดเท้าเตะออกไปทีหนึ่ง แต่จางซานที่แกล้งเป็นศพอยู่ก็เบี่ยงออกอย่างฉับไว เงยหน้าขึ้นมาจากพื้นเห็นนายกอง และเห็นสวี่ชิงด้วย

“นายกอง เจ้าติดพิษหรือ” จางซานมองสีดำคล้ำบบนใบหน้านายกองอย่างประหลาดใจ

“หุบปาก” นายกองกระแอมเสียงหนึ่ง รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า

“เหตุใดเจ้าทำตัวเช่นนี้ เอาแต่แกล้งเป็นศพจะไปหาของดีอะไรได้ ตามข้ามา ข้ารู้ว่าของดีอยู่ที่ใด” พูดพลาง นายกองก็ตรวจสอบรอบๆ ทันที พุ่งออกไปทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว

จางซานไม่ลังเล กระโดดขึ้นจากพื้น ทักทายกับสวี่ชิงแล้วก็ตามไปทันที

“รองนายกองสวี่ จุดที่ข้าจะไปมีลูกกลอนสร้างฐานที่เจ้าต้องการ รีบมาเร็ว” นายกองที่ไกลออกไปวิ่งไปด้วยพลางหันมากวักมือเรียกสวี่ชิง

สวี่ชิงเก็บสายตากลับ กวาดมองยังความวุ่นวายของการต่อสู้รอบๆ จากนั้นก็มองไปยังนายกองที่อยู่ห่างออกไป ที่นั่น…ก็เป็นตำแหน่งที่ตะเกียงดับวิญญาณชี้นำมาเช่นกัน จึงไม่ลังเล รีบสาวเท้าก้าวตามนายกองกับจางซานไป

ทั้งสามคนจึงออกจากสนามรบโลกใต้ดินของเผ่าเงือกอย่างรวดเร็วเช่นนี้ และพวกเขาเดิมทีก็แข็งแกร่งมาก ดังนั้นตอนที่ออกมาแม้จะเจอการขัดขวางอยู่บ้าง แต่ก็ยังจัดการได้อย่างราบรื่น

นายกองดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้พอลงมือก็มีไอเย็นแผ่ออกมา ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทั้งหมดที่สัมผัสมัน ล้วนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปในทันที

ส่วนนิสัยของจางซานแตกต่างจากนายกอง ของเล่นของเขามีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าพวกนั้นพอแตะก็ระเบิดออกมา พลังสังหารไม่ธรรมดา

ขณะตรงไปด้านหน้าก็โยนออกไปรอบๆ ทำให้เผ่าเงือกเข้าใกล้จากทั้งสองด้านไม่ได้เลย

เวลาเดียวกันสิ่งที่เขาใช้มากสุดคือด้ายที่มองแทบไม่เห็นเส้นหนึ่ง ด้ายเส้นนี้ก็พันไปรอบๆ ตามการเคลื่อนย้ายของร่างเขา ความคมกริบไร้เทียมทานนี้กรีดตัดเข้าไปตามรูปปั้นน้ำแข็งที่มาจากการลงมือของนายกอง

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ใช่ว่าเคยร่วมมือกันแค่ครั้งเดียว ดูเข้าขากันอย่างมาก ดังนั้นความเร็วที่มุ่งตรงไปด้านหน้าของพวกเขาจึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งสวี่ชิงยังเห็นว่าจางซานผูกด้ายเส้นหนึ่งไว้ที่ตัวนายกอง นี่จึงยิ่งทำให้การตรงไปด้านหน้าของจางซานสบายขึ้นไปอีก

ส่วนสวี่ชิง การลงมือของเขาไม่เหมือนกับนายกองและจางซาน พูดให้ถูกก็คือเขาไม่ได้ลงมือเลย แต่เลือกใช้ผงพิษไร้สีที่เขาค้นคว้าเพ่งเล็งไปยังเผ่าเงือกโดยเฉพาะ ละลายไปในน้ำจนกระจายไปรอบตัว

ดังนั้นตอนที่ตรงไปด้านหน้า เผ่าเงือกที่เข้าใกล้เขาทั้งหมดร่างกายจึงพากันสลายหายไป ต่อให้จะถอยหนีอย่างรวดเร็ว ก็ยังเปลี่ยนแปลงการเน่าสลายของร่างกายไม่พ้น กรีดร้องเสียงแหลม ในดวงตาหวาดกลัวขึ้นสุดขีด

เมื่อจางซานเห็นภาพนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเหมือนกัน รีบร้อนล้วงยาแก้พิษออกมากิน ใช้ความเร็วทั้งหมดตรงไปด้านหน้า คิดจะรักษาระยะห่างออกจากสวี่ชิงที่อยู่ด้านหลัง

ส่วนนายกอง ก็กินยาแก้พิษลงไปหลายเม็ดนานแล้ว

ขณะที่ทั้งสามคนกะลังวิ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทางเช่นนี้ จึงค่อยๆ ออกห่างจากสนามรบฝั่งทางออก และสวี่ชิงก็มองออกว่าทิศทางที่นายกองตรงไป มันคือทางที่พวกชิ้นส่วนเทวะในสนามรบก่อนหน้านั้นเข้ามา จึงทำให้เขาต้องครุ่นคิดเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ระหว่างที่ทั้งสามคนวิ่งทะยาน ตอนที่เสียงครืนครันจากสนามรบแผ่วลง ด้านหน้าของพวกเขาปรากฏสิ่งปลูกสร้างประหลาดขึ้น

วัสดุของสิ่งปลูกสร้างนี้แม้จะเป็นปะการัง แต่สีกลับดำสนิท ประกอบกันจนกลายเป็นตำหนักทรงกลมสูงแห่งหนึ่ง จากลักษณะที่เห็น ดูคล้ายกับหมู่ศาลเจ้าที่สวี่ชิงเห็นจากในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด

“ศาลเจ้า?” สวี่ชิงหรี่ตา พลังวิญญาณที่เขาสัมผัสได้จากคลื่นชี้นำของตะเกียงดับวิญญาณเหมือนจะมาจากที่นี่ แต่เวลานี้ยังไม่สะดวกนำออกมายืนยัน จึงไม่บุ่มบ่าม

“ที่นี่เลย” นายกองที่ยืนอยู่ด้านหน้าส่งเสียงตื่นเต้นออกมา เพิ่มความเร็วขึ้นฉับพลัน รีบตรงไปยังศาลเจ้า

และการมาเยือนของพวกเขา กระตุ้นความระแวดระวังขององครักษ์เผ่าเงือกด้านในศาลเจ้านี้ ทยอยพุ่งตัวออกมาคิดจะล่าสังหาร เพียงแต่จำนวนองครักษ์ไม่เยอะมากนัก

หากในเวลาปกติที่นี่จะต้องถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาแน่นอน แต่ตอนนี้เผ่าเงือกกำลังเผชิญภัยพิบัติใหญ่ สถานที่มากมายในโลกใต้ทะเลนี้กำลังเปิดฉากเข่นฆ่าสังหาร จนกระทั่งชิ้นส่วนเทวะส่วนใหญ่ก็ยังต้องออกไป ดังนั้นการคุ้มกันของที่นี่จึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของนายกองและของเล่นมากมายของจางซาน และยังมีพิษไร้สีของสวี่ชิงอีก ดังนั้นเพียงไม่นานพวกเขาจึงมุ่งตรงและสังหารตลอดทางมาจนถึงพื้นที่ของหมู่ศาลเจ้านี้

ในนี้มีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ถูกสะกดพลังบำเพ็ญลงไปจนถึงระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ปรากฏตัวขึ้น แต่ความแข็งแกร่งของนายกองก็ระเบิดขึ้นมาในวินาทีนี้ ทุกจุดที่แล่นผ่านกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่ว่าจะพลังบำเพ็ญแบบใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาจุดจบล้วนเป็นเช่นเดียวกัน กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งในพริบตา

สวี่ชิงเห็นภาพนี้จิตใจสั่นสะเทือน พลังต่อสู้ของนายกองน่าหวาดหวั่น ขณะเดียวกันเขายืนยันแล้วว่าที่นายกองมาที่นี่ มีการตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนมาก

ตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายเหมือนจะไม่นอกลูกนอกทางเลย ตรงมาที่นี่อย่างรวดเร็ว

“หรือนายกองจะมีเป้าหมายเดียวกับข้ากัน” สวี่ชิงระแวดระวัง แอบตามอยู่เงียบๆ ความระแวดระวังในใจรุนแรงมากขึ้น

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาทั้งสามคนก็สังหารฝ่ามาจนถึงพื้นที่ใจกลางหมู่ศาลเจ้า ด้านหน้าศาลเจ้าสีน้ำเงินแห่งหนึ่ง นายกองเอ่ยปากขึ้นอย่างรวดเร็วที่นี่

“จางซาน วางกลไกเอาไว้รอบๆ เสีย เอาของดีของเจ้าออกมาให้หมด กลับไปข้าจะชดเชยให้

“สวี่ชิง เจ้าก็โปรยพิษไว้ที่นี่มากหน่อย ไม่ต้องงก กลับไปข้าก็จะชดเชยให้เช่นกัน!”

จางซานพอได้ยินคำนี้ก็ลงมือทันที เพียงไม่นานรอบด้านก็วางกลไกที่เมื่อแตะแล้วระเบิดทันทีเอาไว้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นทุกชิ้นก็ล้วนล่อลวงและจอมปลอมทั้งสิ้น มุมที่จัดวางเอาไว้ก็ดูเจ้าเล่ห์ที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นกลไกชิ้นหนึ่งถูกเขาขุดหลุมฝังไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังขุดไว้ลึกกว่าที่อื่นอีกด้วย รูปแบบการสัมผัสน่าจะเป็นการเหยียบ

“เดินผ่านครั้งแรกไม่เป็นไร แต่เดินผ่านครั้งนี้สองก็จะตูมขึ้นมา” เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิงมองมาทางตนเอง จางซานจึงยิ้มซื่อๆ ออกมา

สวี่ชิงเงียบนิ่ง คิดย้อนไปยังจุดที่คลื่นของตะเกียงดับวิญญาณชี้นำพักหนึ่ง แม้จะสัมผัสได้ว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่ทางนี้ น่าจะอยู่ในส่วนที่ลึกกว่า

นี่จึงทำให้เขาโล่งอก จนจางซานติดตั้งเสร็จ เขาก็ล้วงผงพิษไม่น้อยออกมาสาดไว้เช่นกัน จนทำให้ระดับอันตรายรอบๆ ศาลเจ้านี้ยกระดับขึ้นมาอีกมาก

จากนั้นสวี่ชิงจึงมองไปทางนายกอง

นายกองดูดีใจมาก เปิดประตูใหญ่ศาลเจ้า เรียกสวี่ชิงกับจางซานเข้ามา

ในศาลเจ้าเป็นที่โล่งๆ ดูไม่มีสมบัติล้ำค่าใดอยู่เลย มีเพียงรูปปั้นจวีอิงตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น

“นายกอง ครั้งนี้เจ้าจะทำอะไรกันแน่ ที่นี่ไม่มีอะไรอยู่เลยนะ ของที่ข้าอยากได้ก็ไม่อยู่ที่นี่!” เมื่อเห็นว่ารอบด้านว่างเปล่า จางซานก็ร้อนรนขึ้นมา

สวี่ชิงไม่พูดอะไร มองนายกองเช่นเดียวกัน

“เจ้าสองคนไม่ต้องร้อนรน” นายกองย่อตัวลงนั่งแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“รอสักครู่ ข้ารับประกันว่าอีกครู่หนึ่งพวกเจ้าจะได้สิ่งที่พวกเจ้าต้องการ” พูดพลาง เขาก็ล้วงเอาลูกตาเหี่ยวแห้งข้างหนึ่งออกมา ตานี้ดูแล้วไม่ใช่ของเผ่ามนุษย์ หลังจากนายกองนำออกมาวางข้างๆ ก็ทำปางมือชี้ลงไป

ฉับพลันตาที่เหี่ยวแห้งข้างนี้ก็เบิกตาโพลง ม่านตาของมันมีภาพเลือนรางภาพหนึ่งปรากฏออกมา เหมือนจะเป็นด้านนอกของเกาะ

“พวกเรามาดูละครกันก่อน” สีหน้าของนายกองดูมีความตื่นเต้นยินดี

“เนตรจิต เจ้าสิ่งนี้แพงมากเลยนะ เจ้าไปหามาจากที่ใดกัน!” จางซานสูดลมหายใจ รีบเข้าประชิดเพื่อตรวจสอบ

สวี่ชิงนิ่งเงียบ เมื่อมองลูกตานั้นอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดเหลือเกิน จากนั้นก็ชำเลืองมองนายกอง ถอยเว้นระยะออกมาเล็กน้อย สายตามองไปรอบๆ เริ่มสังเกตสิ่งแวดล้อมในนี้

ที่นี่นอกจากรูปปั้นนั่นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอยู่อีกจริงๆ

ต่อให้เป็นวัสดุรูปปั้นก็เป็นแค่ปะการังประกอบกัน ไม่มีคลื่นความเป็นเทพอยู่เลย แต่สวี่ชิงก็ไม่ผ่อนคลาย เขาจำได้ว่าศาลเจ้าในพื้นที่ต้องห้ามคนเก็บกวาด รูปปั้นถือดาบนั้นก็ดูแล้วไม่มีอะไรประหลาดเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน

แต่ว่าเขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก เตรียมหาโอกาสดอดออกไป

และพริบตาที่สวี่ชิงลอบสังเกต พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นฉับพลัน เสียงดังสนั่นครืนครันดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนลมพายุชั้นหนึ่งพัดกวาดไปทั้งแปดทิศ

และสิ่งที่ตามมาจากการสั่นไหวของพื้นดิน คือเสียงแหลมคมดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนว่าสามารถทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางทั้งหมด แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งโลกใต้ทะเล

จุดที่เสียงครืนครันกับแหลมคมนี้ส่งออกมาคือสนามรบที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนปลีกออกมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ที่นั่นศพเกลื่อนเรียงราย ล้มตายไปนับไม่ถ้วน และชิ้นส่วนเทวะหลายสิบคนพวกนั้นตอนนี้แต่ละคนก็เริ่มล้มลุกคลุกคลานกันหมดแล้ว

สัตว์ประหลาดที่แปลงมาจากวิชาเทพของพวกเขาเองก็ตายไปแล้วส่วนใหญ่ ดังนั้นแต่ละคนจึงส่งเสียงแหลมออกมาภายใต้ความบ้าคลั่ง ขณะที่เสียงนี้ส่งออกมา ร่างกายของพวกเขาก็เผาไหม้อย่างรวดเร็ว

คล้ายกับเป็นการเผาไหม้ที่ใช้พลังชีวิตเพื่อสำแดงวิชาเทพที่สั่นฟ้าสะเทือนดินบางอย่าง

ขณะเดียวกัน ตามเสียงแหลมคมของพวกเขา ชิ้นส่วนเทวะที่อยู่ในสนามรบหลายแห่งในโลกใต้ทะเลนี้ แม้จำนวนจะไม่มากนัก แต่ปัจจุบันก็พากันแผดเผาตัวเอง แล้วเปล่งแสงแหลมคมออกมา

เสียงเหล่านี้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ยิ่งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังที่แผ่ออกมาก็ยิ่งน่าตกตะลึง

จากการเผาไหม้อย่างบ้าคลั่งของชิ้นส่วนเทวะนับร้อยทั่วทั้งเกาะจวีอิง เสียงแหลมคมก็ลอดออกมาจากเกาะจนทะลุออกไปด้านนอกค่ายกลต่อเนื่องไปยังส่วนลึกของมหาสมุทร

ประดุจการอัญเชิญ!

เพียงไม่นานก็มีเสียงคำรามเสียงหนึ่งลอดมาจากส่วนลึกของทะเล ดังสะท้อนก้องจากก้นทะเลในตอนนี้

เสียงนี้เหมือนเป็นเสียงของฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยความพรั่นพรึงที่ไม่อาจพรรณนา

พริบตาที่แผ่ออกมา ก็ทำให้อาณาเขตทะเลนับพันลี้โหมคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าขึ้น ซัดสาดตีเกลียวต่อเนื่อง ท้องฟ้าเปลี่ยนสี สายลมเมฆาพัดม้วน

ส่วนลึกก้นทะเล…เหมือนปรากฏร่างขนาดยักษ์ร่างหนึ่งออกมารางๆ!

ร่างนี้สูงนับหมื่นจั้ง ใหญ่โตน่าตกตะลึงราวกับเทพเจ้า

เหมือนว่าทุกการเคลื่อนไหวจะใช้พละกำลังมหาศาลมาก แต่ขณะเดียวกัน ทุกก้าวที่เคลื่อนไหวก็ล้วนทำให้ท้องทะเลครืนครัน จนก่อเกิดคลื่นใต้น้ำ

พลานุภาพที่น่ากลัว ก็ปะทุขึ้นมาในพริบตานี้

อสูรทะเลนับไม่ถ้วนในบริเวณไม่ว่าจะพลังบำเพ็ญอะไร ล้วนตัวสั่นงันงกภายใต้พลานุภาพนี้ พลังสยบที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตทั้งหมดจิตวิญญาณสั่นระรัว แผ่ซ่านออกมาฉับพลันจากร่างเงาราวเทพเจ้าที่มาจากก้นทะเลร่างนั้น

ส่งเสียงครืนครันออกมาต่อเนื่อง ถ้าหากมองจากที่สูง หากมีดวงตาที่สามารถมองทะลุผืนมหาสมุทรได้ เวลานี้จะเห็นว่าในส่วนลึกของก้นทะเลโอฬารนี้ หญิงชราที่ภายนอกมีรยางค์มหาศาลงอกออกมาในชุดคลุมยาวที่ถักทอขึ้นจากกระดูกเงือกนับไม่ถ้วนร่างหนึ่ง กำลังย่างเท้าตรงมายังเกาะเงือกทีละก้าวๆ

ทั้งใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น และกว่าครึ่งก็เน่าเปื่อยไปแล้วมีเพียงดวงตาสีทองคู่หนึ่งที่เผยความล้ำลึก ไม่แผ่ซ่านคลื่นอารมณ์ใดแม้แต่น้อย กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาก็มีไอพลังประหลาดอยู่เข้มข้น และยังแฝงความเป็นเทพที่รุนแรงไว้ด้วย

รยางค์ที่อยู่บนตัวเหล่านั้น ทุกเส้นล้วนมีดวงตาสีทองเช่นกัน เวลานี้ลืมตาอยู่เกือบครึ่ง จ้องเขม็งไปทางเกาะเงือกที่ห่างไกล

และด้านหลังของหญิงชรานี้ มีลิ้นยาวสีแดงขนาดยักษ์ลิ้นหนึ่งยื่นออกมา บนลิ้นมีดวงวิญญาณโผล่ออกมาอีกมากมายนับไม่ถ้วนท่ามกลางการพัดกระพือของชุดคลุมยาวกระดูกเงือก

เมื่อมองอย่างละเอียด ดวงวิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นพวกชิ้นส่วนเทวะของเผ่าเงือกทั้งสิ้น พวกมันกำลังส่งเสียงแหลม เหมือนกำลังขานรับกับเสียงของจวีอิง

ภาพนี้ทำให้เกาะจวีอิงที่อยู่ตรงกลางของเกาะทั้งสี่เผ่าเงือก คลื่นค่ายกลนี้ล้วนเหมือนกับจะสลายไปบ้าง บางจนโปร่งใส ทำให้ในที่สุดผู้บำเพ็ญบนเกาะก็มองเห็นโลกภายนอก

เงานี้ คือเทพเจ้าที่เผ่าเงือกทั้งหมดเคารพศรัทธา…จวีอิง!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท