บทที่ 124 สวี่ชิงเองก็บ้าคลั่ง!
สวี่ชิงเห็นภาพวาดฝาผนังนี้ จิตใจก็สั่นสะเทือน จู่ๆ แสงตะเกียงร่มดำในภาพวาดฝาผนังก็เปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับมีอยู่จริงอย่างไรอย่างนั้น ประกายแสงส่องผ่านภาพวาดฝาผนังออกมายังโลกภายนอก
ขณะเดียวกันตะเกียงดับวิญญาณในมือสวี่ชิงก็เปล่งแสงที่ข้นยิ่งกว่าออกมาในพริบตานี้ สะท้อนแสงจากภาพวาดฝาผนังจนกลายเป็นทะเลแสง ระเบิดออกครืนครัน
สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสี คิดจะถอยกลับแต่ก็ไม่ทันแล้ว ร่างกายถูกทะเลแสงปกคลุมทันที
พริบตานั้น ร่างของสวี่ชิงก็หายไปด้วยเช่นกันจากการหายไปของทะเลแสง!
ราวกับว่าผ่านไปนานมาก และราวกับเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว
ตอนที่ประสาทสัมผัสของสวี่ชิงเริ่มชัดเจนจากความเลือนราง เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวขีดสุดวูบหนึ่งขึ้นเป็นลำดับแรก เหมือนเสียงคำรามของมหาอสูรร้ายแห่งโลก โถมเข้ามาด้านหน้าเขา
ทั้งๆ ที่ไม่มีเสียง ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแรงกดดัน แต่ยังคงทำให้สองหูของสวี่ชิงอื้ออึง เหมือนแก้วหูจะทานทนไม่ไหว จะขาดอยู่รอนๆ มีเลือดสดไหลลงมาจากหูของเขา
ไม่เพียงเท่านี้ จมูกของเขาก็เช่นกัน สองตาเสียดแทงเจ็บปวด ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากมาก
ในร่างกายเองบิดเกลียวอย่างรุนแรง ราวกับว่าอวัยวะภายในทั้งหมดกำลังสั่นสั่นสะท้าน
ความเจ็บปวดที่มาจากสิ่งเหล่านี้ ทำให้สวี่ชิงไม่กล้าจะลูบจับสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบๆ ในสถานการณ์ที่ลืมตาไม่ขึ้น
เขาทำได้เพียงย่อตัวนั่งลงอย่างรวดเร็ว ตั้งท่าพร้อมสู้ออกมาโดยสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันก็สาดผงพิษไปรอบๆ เหล็กแหลมสีดำเองก็ถูกนำออกมา เขาปลดผนึกบรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ด้านในออกโดยไม่ลังเล
ด้านในเหล็กแหลมก็มีเสียงโหยหวนส่งออกมาหลังจากที่ผนึกปลดออกทันที
บรรพจารย์สำนักวัชระตื่นขึ้นแล้ว เพียงแต่พริบตาต่อมา เขาก็กรีดร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา
“นายท่านข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ที่นี่มันที่ใดกัน ให้ตายเถอะ ที่นี่….ที่นี่….
“นายท่านท่านคิดจะทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือ ให้ข้าต้องมาทนรับความทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ในที่แห่งนี้ ข้าอ่านคัมภีร์โบราณมากมาก คนมากมายในนั้นล้วนถูกจัดการเช่นนี้
“นายท่าน ข้าศิโรราบต่อท่านอย่างจริงใจ ยอมเป็นวิญญาณศัสตราให้กับท่าน ท่านอย่าสังหารข้าเลย ข้าเชื่อฟังมาก ข้ารู้ผิดแล้ว ข้าเป็นพวกตรงไปตรงมา อันที่จริงข้ายังฝังหินวิญญาณอีกไม่น้อยไว้ในสถานที่หนึ่ง อันที่จริงข้ายังทำสัญญาสหายเต๋าไว้อีกส่วนหนึ่งที่รับปากว่าจะจ่ายให้ข้าจำนวนเงินมหาศาล บอกว่าถ้าข้าขาดการติดต่อไปก็ให้พวกเขาลองมาหาท่าน
“นายท่าน ข้าจะบอกท่านเองว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจะจัดการพวกเขาให้!”
“หุบปาก!” สวี่ชิงไม่สามารถลืมตาได้ กัดฟันเอ่ยขึ้น
“บอกข้ามา ว่ารอบๆ นี้คืออะไร”
บรรพจารย์สำนักวัชระสั่นหนักกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าจะไม่ฟังคำพูดของสวี่ชิง และไม่ยิ่งไม่กล้าจะปิดบัง ดวงวิญญาณเขาอยู่ในมืออีกฝ่าย จะอยู่หรือตายก็เพียงแค่ชั่วความคิดของอีกฝ่ายเท่านั้น
ดังนั้นจึงรีบตอบเสียงสั่น
“นายท่าน ที่นี่เหมือนจะเป็นแท่นบูชาแห่งหนึ่ง รอบๆ ล้วนเป็นกระดูกกองถมจนเหมือนทะเล พวกเราอยู่บนพื้นที่สูง ด้านหน้ามีบันไดเส้นหนึ่งทอดยาวลงไปด้านล่าง จากนั้นก็จะเป็นเส้นทางที่สองฟากเป็นหน้าผา ปลายทางมีแท่นบูชาทรงกลมแห่งหนึ่ง
“ด้านหน้าแท่นบูชานี้เป็นทะเลกระดูกมหาศาล ให้ตายเถอะที่นี่ใหญ่มากเลย ด้านหน้ายังมีรูปปั้นที่สั่นฟ้าสะเทือนดินอีกสามองค์ด้วย!”
“สามองค์เรียงกันใช่หรือไม่!” สวี่ชิงส่งกระแสเสียงต่ำ
“ไม่ใช่ หนึ่งยืนสองสักการะ” บรรพจารย์สำนักวัชระไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตนเองเดินวนอยู่ระหว่างความเป็นตายไปแล้วรอบหนึ่ง
“ว่าต่อ” สวี่ชิงค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“ที่ยืนอยู่นั่นเป็นยักษ์ ร่างกายมีงูใหญ่เก้าหัวตัวหนึ่งพันอยู่ราวกับเป็นเทพเจ้า ให้ตายเถอะ! นี่มันอะไรกัน เมื่อข้ามองไปก็รู้สึกเหมือนตาจะบอด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นวิญญาณศัสตราไม่มีร่างกายมนุษย์ ข้าคงจะตาบอดไปแล้วจริงๆ…ด้านหน้าเขายังมีอีกสองคน…นายท่านข้าผิดไปแล้ว…นี่มันที่ใดกัน…”
จากคำสะอื้นไห้ของบรรพจารย์สำนักวัชระ ในใจสวี่ชิงก็สั่นสะเทือน เขารับรู้แล้วว่าตำแหน่งที่ตนเองอยู่คือโลกในภาพวาดฝาผนัง
ดังนั้นจึงครุ่นคิดไม่พูดอะไร แต่โบกมือปิดผนึกบรรพจารย์สำนักวัชระ หลังจากทำให้หลับลึกหุบปาก เขาก็รอให้ร่างกายปรับตัวกับฟื้นฟูอยู่เงียบๆ
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป พลังฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงในร่างกายก็แผ่ออกมาต่อเนื่อง จึงทำให้สวี่ชิงค่อยๆ ปรับตัวกับแรงกดดันรอบๆ ได้ระดับหนึ่ง
แม้ยังมีความเจ็บปวดแผ่ซ่าน ความรู้สึกร่างกายปริแตกยังไม่หายไป แต่เขาก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมา เพื่อจะมองรอบด้านให้ชัดเจน
ที่นี่เป็นดังที่บรรพจารย์สำนักวัชระบรรยายไว้ สถานที่ที่สวี่ชิงอยู่เป็นเหมือนกับถ้ำขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง และดูคล้ายจะเป็นโลกอีกชั้น
บันไดด้านหน้าใหญ่โตมโหฬาร ไม่เหมือนเอาไว้ให้เผ่ามนุษย์เดิน และใจกลางทะเลกระดูกด้านหน้าสุด รูปปั้นสามองค์นั้นก็น่าเกรงขามเหลือคณา
แรงกดดันที่ทำให้สวี่ชิงรับไม่ไหวแผ่ออกมาจากพวกเขาทางนั้น
ดวงตาสวี่ชิงเจ็บปวดจนเลือดไหล หลังจากกัดฟันฝืนชำเลือง ม่านตาทั้งสองก็หดลง เขามองเห็นว่าบนตัวยักษ์ที่ยืนอยู่ในทะเลกระดูกนั่น ในปากของงูตัวหนึ่งที่พันอยู่ คาบตะเกียงร่มสีดำนั่นอยู่
ตะเกียงร่มดำส่องแสงจ้า ดูประเสริฐยิ่ง ส่องอยู่บนโลกทั้งสองบนบ่ายักษ์ ทำให้โลกทั้งสองใบนี้เหมือนกับมีชีวิต
สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ ใจเต้นขึ้นอย่างรุนแรง หัวสมองมีเสียงอื้ออึงครืนครัน ดวงตาขวาง จ้องเขม็งไปที่ตะเกียงร่มดำนั่น
“ตะเกียงแห่งชีวิต?”
ในใจสวี่ชิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หัวเขามีคำบรรยายเกี่ยวกับตะเกียงแห่งชีวิตของนายกองก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมา ความปรารถนาที่ไม่อาจพรรณนาได้กำลังโถมขึ้นในใจเขา
ตอนเข้ามาแม้จะคาดเดาไว้แล้ว แต่ยังคงถูกภาพนี้สั่นสะเทือนอยู่ดี
สถานที่นี้มีตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ดวงหนึ่งด้วย!
เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกไป เกรงว่าการแข่งขันด้านนอกคงจบลงทันที สายตาทั้งหมดคงมารวมกันอยู่ที่นี่ พันธมิตรเจ็ดสำนักแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็คงจะมุ่งมาที่นี่เป็นลำดับแรก
ในความเป็นจริงก็คงเป็นเช่นนี้ หากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เช่นนั้นโลกภายนอกจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน และเทียบกับตะเกียงแห่งชีวิต เผ่าเงือกอะไรนั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนว่าเผ่าเงือกเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้น ถ้าส่งมอบมันให้กับขั้วอำนาจใหญ่ใดสักที่ก็คงจะได้รับการคุ้มกันไปแล้ว!
ส่วนสวี่ชิงทางนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเงาก็คงจะค้นหาและเข้ามาได้ยาก
เวลานี้สวี่ชิงมองตะเกียงแห่งชีวิตดวงนั้น ในใจตื่นเต้นเหลือคณานับ แต่เขาก็ไม่กระทำบุ่มบ่าม สูดลมหายใจลึกสะกดคลื่นในใจ ทำให้ใจของตนเองผ่อนคลายลง
จากนั้นเขาจึงยกมือเช็ดเลือดในตาออก และสภาพร่างกายเขาตอนนี้ก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้าพอควรจากการฟื้นฟูต่อเนื่องของผลึกวารีสีม่วง
ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ชิงที่สงบจิตสงบใจแล้วเล็กน้อย เงยหน้ามองตะเกียงนั่นอีกครั้ง ดวงตาค่อยๆ เผยความเด็ดขาดออกมา
เขาทดลองเดินหน้า จนเข้าใกล้ปลายทาง มองบันไดขนาดยักษ์ด้านล่าง ร่างกายก็คลานลงไปฉับพลัน
แต่ตอนที่เขาคลานลงไป พริบตาที่ร่างกายไปถึงบันไดขั้นที่สอง แรงกดดันจากสถานที่นี้ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้าระดับหนึ่ง เพิ่มขึ้นมาครืนครัน
ร่างกายสวี่ชิงสั่นสะท้านอีกครั้ง ลำคอฝาดเฝื่อน กระอักเลือดสดออกมา สีหน้าขาวซีด โยกร่างกายนั่งลงขัดสมาธิปรับลมหายใจทันที
ผ่านไปพักหนึ่งเขาถึงฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง กัดฟันเดินหน้าต่อ แต่ละก้าวช่างยากเย็น ร่างกายกำลังกู่ร้องครืนครัน ทวารทั้งเจ็ดเลือดไหลริน กระดูกราวกับกำลังแตกหัก
จนตอนที่เขาเข้าใกล้ชายขอบของบันไดขั้นที่สอง ร่างกายของเขา…ก็ถึงขีดจำกัดที่รับไหวแล้ว ตอนนี้ภาพตรงหน้ามึนเบลอไปบ้าง
สวี่ชิงเข้าใจว่าตนเองไปต่ออีกไม่ไหว เขามีลางสังหรณ์ที่แรงกล้า ว่าถ้าหากยังคลานลงไปยังบันไดขั้นที่สาม จะต้องเกิดเรื่องน่ากลัวมากๆ ขึ้นแน่นอน
แต่เขาเงยหน้าจ้องเขม็งไปทางตะเกียงแห่งชีวิตดวงนั้น ก็รู้สึกไม่ยินยอมที่จะออกไปจริงๆ ดังนั้นจึงก้มหน้าลงมองพื้นใต้เท้าตนเอง
แสงของที่นี่ส่งมาจากด้านหน้า ดังนั้นเงาของเขาจึงปรากฏเลือนลางอยู่ด้านหลัง
สวี่ชิงหันหน้ากลับไปมองเงาตนเองผาดหนึ่ง สองตาหรี่ลง เอ่ยขึ้นกะทันหัน
“ตื่นขึ้นมา เจ้าไม่ใช่ชอบดับไฟหรือ ไปดับไฟให้ข้าหน่อย”
ระหว่างพูด สวี่ชิงก็เริ่มควบคุมเงาทันที ทันใดนั้นเงาก็บิดเบี้ยวขึ้นมา เหมือนจะค่อยๆ หดตัวจากด้านหลังเข้าไปอยู่ใต้เท้าอย่างไม่ยินยอม จากนั้นก็แผ่ยื่นออกไปเบื้องหน้า
เงาที่ยื่นไปด้านหน้าภายใต้การส่องแสงจึงมองเห็นไม่ชัดแล้ว มีเพียงสัมผัสของสวี่ชิงเท่านั้นที่ยังสัมผัสได้ถึงตัวตนของเงา ดังนั้นภายใต้การควบคุมของเขา เงาจึงตกกระทบไปบนบันไดขั้นที่สาม
ไม่มีแรงต้านทางใดส่งมา
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย ควบคุมเงาให้ยืดแผ่ต่อไป กระทั่งถึงบันไดขั้นที่สี่ บันไดขั้นที่ห้า…
ในที่สุดเงาก็ทอดยาวไปยังขั้นบันไดทั้งหมดภายใต้การควบคุมของเขา ไปจนถึงแท่นบูชาด้านล่าง คืบคลานไปด้านหน้าตรงไปยังรูปปั้นทั้งสามในทะเลกระดูกนั้น
เงาจะยาวได้เท่าไร จุดนี้สวี่ชิงยังไม่มีคำตอบ
แต่เขาสัมผัสได้ว่ายิ่งควบคุมให้มันยืดไปเท่าไร จำเป็นต้องใช้พลังควบคุมมากขึ้น ขณะเดียวกัน เงาก็เหมือนยิ่งไม่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ระดับความยากก็ทบทวีขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในทะเลกระดูกกำลังเข้าใกล้รูปปั้นทั้งสาม ความไม่มั่นคงของเงาก็ยิ่งแผ่แรงสะท้อนกลับที่รุนแรงเข้ามาในใจสวี่ชิงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในดวงตาสวี่ชิงเส้นเลือดแผ่กระจาย จ้องมองตะเกียงแห่งชีวิต และสัมผัสไปถึงเงา ด้วยไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ เขาจึงแผ่พลังสะกดวูบหนึ่งออกไปจากผลึกวารีสีม่วงในหน้าอก จะทดลองสะกดดูหน่อยว่าจะทำให้มันยาวขึ้นได้อีกหรือไม่
นี่คือวิธีที่ใช้เมื่อการไร้ซึ่งหนทาง แต่พลังการสะกดนี้ก็ก่อตัวขึ้น ยังไม่ทันแผ่ลงไป เงาที่เดิมทีเริ่มไม่มั่นคงจู่ๆ ก็สั่นสะเทือน คล้ายกับเบิกทรัพย์เกินบัญชี จู่ๆ ก็ยื่นออกมาอีกช่วงใหญ่
ยื่นไปจนถึงตัวรูปปั้นยักษ์ ห่างจากตะเกียงแห่งชีวิตที่หัวงูนั้นคาบไว้เพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ มันถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ สั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด เริ่มมีแววจะปริแตกแล้ว
ต่อให้สวี่ชิงสะกดต่อก็ยังไปต่อไปไม่ได้ กระทั่งยังต้องถอยกลับอีกด้วย เหมือนจะรับไม่ไหวจริงๆ
นี่ทำให้สวี่ชิงหายใจหอบถี่ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อเจ้าเงานี่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตอนนี้จงใจไม่ไปต่อ หรือไปต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงจ้องเขม็งไปทางเงา เอ่ยขึ้นเสียงขรึม
“ครั้งนี้ถ้ายังหยิบมาไม่ได้ เช่นนั้นหลังจากออกไป ต่อให้ข้าต้องตาย ก่อนตายข้าจะสะกดเจ้าอีกสักพันครั้งจนกว่าจะตายเลยเชียว!!”
คำพูดนี้ของสวี่ชิง เอ่ยออกมาอย่างเรียบนิ่ง
แต่พลังสังหารที่แฝงไว้สำหรับเงาก็ถือว่ามาถึงขีดสุดแล้ว ดังนั้นเงาจึงสั่นเครือขึ้นอย่างชัดเจน คิดจะยื่นต่อไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง แต่เห็นได้ชัดว่าทำไม่ไหว อาการเหมือนจะฉีกขาดก็รุนแรงยิ่งขึ้น
สวี่ชิงสัมผัสถึงฉากนี้ ในใจถึงจะเชื่อ ดังนั้นนัยน์ตาจึงเผยความเด็ดขาดออกมา เขาล้วงของวิเศษอักขระ และล้วงเรือเวทออกมา เปิดเกราะคุ้มกันทั้งหมด
ร่างกายปีนขึ้นไปบนเรือเวท หยิบเอาหินวิญญาณมากมายใส่เข้าไปในช่อง ทำให้พลังเกราะคุ้มกันหนายิ่งขึ้น
จากนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึก ควบคุมเรือเวทบินไปด้านหน้าระยะหนึ่งก้าวอย่างไม่ลังเล ปรากฏตัวเหนือบันไดขั้นที่สาม
พริบตาที่เงาของเขาไหลตามการเคลื่อนที่ไปด้านหน้าของเรือเวท ตัวเงาก็ยืดแผ่ไปอีกหนึ่งก้าวตามการเคลื่อนไหวไปด้านหน้าของเขา แตะเข้าไปที่ตะเกียงแห่งชีวิตในปากงูพอดี คว้าจับมันอย่างแรง
และไม่รอให้สวี่ชิงเห็นว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เสียงครืนครันสนั่นฟ้าที่ดังกว่าก่อนหน้ามากวูบหนึ่งก็ระเบิดขึ้นมาด้านหน้าเขาจากการเข้าใกล้ของเรือเวท เสียงครืนครันที่ก้าวข้ามสายอัสนี ก่อตัวขึ้นเป็นพลังพลิกเขาคว่ำทะเล โถมเข้าหาสวี่ชิง
เรือเวทของเขาทานทนไม่ไหวเป็นลำดับแรก หัวแตกเสียหาย เกราะคุ้มกันชั้นแรกที่สร้างขั้นจากใบเรือฉีกขาด เรือเวททั้งลำถอยกลับฉับพลัน
จากนั้นก็เป็นเกราะคุ้มกันชั้นที่สอง พลังทลายลงเช่นเดียวกัน แม้จะได้รับการสนับสนุนจากหินวิญญาณมหาศาลก็ทานไม่อยู่ แตกสลายทันที และเรือเวทก็ถูกซักจนถอยหลังเร็วขึ้น
ถัดมาคือหัวเรือ จากการแผ่รังสีของความเป็นเทพบนคราบกิ้งก่าทะเลก็ยังคงหาทางแก้ไขไม่ได้ ทำให้พริบตาที่ทะลวงเข้าไปฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที จากนั้นตัวเรือครึ่งหน้าก็เป็นแบบเดียวกัน
ขณะที่เรือเวททั้งลำอยู่ในสภาพน่าเวทนา พลังนี้ก็ยังตกมาบนของวิเศษอักขระหลายใบของสวี่ชิงอีกด้วย
ของวิเศษอักขระคุ้มกันต้านทานอย่างบ้าคลั่ง แต่อักษรด้านบนเองก็หม่นลงทันควันแล้วสลายไป พลังทั้งหมดม้วนเกลียวเข้ามาซัดเข้าไปบนตัวของสวี่ชิงตรงๆ
ร่างสวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เหมือนถูกภูเขาอัดกระแทกเข้ามา ร่างกายส่งเสียงครืนครัน กระอักเลือดสดออกมาคำใหญ่
กระดูกทั่วร่างแตกไปไม่น้อย เลือดเนื้อเหวอะหวะดูไม่ได้ และในที่สุดเรือเวทของเขาตอนนี้ก็ถอยมาจนสุดแล้ว ด้านหน้าภาพวาดฝาผนังในศาลเจ้าของโลกใต้ทะเลเกาะจวีอิงของเผ่าเงือก สวี่ชิงกับเศษซากเรือเวทของเขาก็พุ่งออกมาจากด้านในภาพวาดฝาผนังทันทีจากแสงที่สาดจ้าไปรอบด้าน
พลังที่ซัดออกมานี้รุนแรงมาก จนทำให้เรือเวทของสวี่ชิงกระแทกไปบนวาดฝาผนังอีกด้านจนพังยับ เรือเวททิ้งรอยยาวนับร้อยจั้งไว้บนพื้น
สวี่ชิงที่อยู่ด้านบนก็กระอักเลือดคำใหญ่ออกมา เนื้อหนังทั่วทั้งตัวก็ยับเยินจนกระดูกโผล่ออกมา กระทั่งมีกระดูกหลายท่อนที่หักสะบั้นโคลงสั่นตามที่เรือเวทถูกสะบัดไปร้อยจั้ง
ที่ท้องเขาก็มีแผลขนาดใหญ่ทะลุร่างจนเป็นรูโหว่ ส่วนเสื้อผ้าตอนนี้ก็เหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว อเนจอนาถเหลือแสน
ตอนที่เลือดสดทะลักนองออกมาปริมาณมาก เบื้องหน้าสวี่ชิงก็เลือนรางอย่างรวดเร็ว บาดเจ็บหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มือขวาของเขาเวลานี้กลับกำของสิ่งหนึ่งเอาไว้แน่น
นั่นคือ…สิ่งที่เงาคว้าออกมาจากในโลกภาพวาดฝาผนัง…ตะเกียงแห่งชีวิต!
“ยังสลบไม่ได้!”
เมื่อเบื้องหน้าเลือนราง สวี่ชิงก็กัดลิ้นลงไปอย่างแรง เบิกตาโพลงขึ้นทันควัน กระเสือกกระสนล้วงเอายาลูกกลอนกำใหญ่ออกมาจากถุงเก็บของ ยังไม่ทันได้กินก็โปะลงไปบนบาดแผล และกระจายผงพิษไปรอบๆ เพื่อระวังถึงอันตรายที่อาจจะเข้ามา
ขณะเดียวกันเขาก็ไม่มีเวลามาตรวจสอบตะเกียงแห่งชีวิต แต่ถูกเขาเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว ใส่เข้าไปในไข่มุกเก็บของที่ได้จากบรรพจารย์สำนักวัชระ
จากนั้นก็ยังไม่วางใจ เอาไข่มุกเก็บของนี้ใส่ลงไปในถุงเก็บของใบหนึ่งอีก และยังคงรู้สึกไม่สบายใจ จึงเอาถุงเก็บของใบนี้ใส่เข้าไปในถุงเก็บของอีกใบหนึ่ง เป็นเช่นนี้อีกหลายชั้น จนกลิ่นอายของมันไม่สามารถแผ่ออกมาได้อีกจากการทับซ้อนกันของมิติ
เรือเวทที่เละเป็นชิ้นอีกด้านยังเหลือความเป็นเทพอยู่บ้างบางส่วน สวี่ชิงไม่มีเวลาปวดใจ ควบคุมเรือเวทให้ความเป็นเทพสลายไปแล้วเปลี่ยนเป็นเกราะคุ้มกันปกคลุมลงมารอบตัวเขา
เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็กระอักเลือดสดออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกอ่อนแอรุนแรงทำให้เขาเหมือนสัมผัสถึงเสียงเพรียกหาจากความตาย ผลึกวารีสีม่วงในร่างกายแผ่แสงม่วงออกมาอย่างแจ่มชัด ไหลเวียนต่อเนื่องไปทั่วทั้งร่าง
แต่จากความเจ็บปวดที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนเรือนร่าง ยังคงทำให้สวี่ชิงครวญครางออกมา จากนั้นจึงกัดฟันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อยให้ตนหมดสติ เฝ้ารอการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงอย่างทุกข์ทรมาน