บทที่ 135 กฎของบนเขา
ในเวลาเดียวกับที่สวี่ชิงปะทุกลิ่นอายระดับสร้างฐาน เสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาที่เจ็ด เงาร่างสามร่างก็พุ่งมาจากทางยอดเขาอย่างรวดเร็ว บินมุ่งตรงมายังล่างเขาทันที
โดยปกติแล้ว หากมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเหยียบบนบันไดขึ้นเขา จะถูกสกัดกั้นอยู่ข้างนอกเท่านั้น จะไม่ทำให้เสียงระฆังดังขึ้น
ตอนนี้ต้องแจ้งตัวตนบอกจุดประสงค์ที่มา จะมีค่ายกลแจ้งคนที่ต้องการมาเยี่ยมเยียน หลังจากที่อีกฝ่ายตกลง จึงจะสามารถขึ้นเขาท่ามกลางการจับตามองจากค่ายกลได้
อย่างตอนนั้นที่บรรพจารย์สำนักวัชระมาเยี่ยมเยียนนักพรตเมฆาอิสระแห่งยอดเขาที่หกก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
และในเสี้ยวพริบตาแรกที่เหยียบลงบนบันไดขึ้นเขาทำให้เกิดเสียงระฆังขึ้นมีเพียงความเป็นไปได้ข้อเดียวเท่านั้น
นั้นก็คือ…มีลูกศิษย์ในสำนักที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนในผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานคนใหม่ในค่ายกล
แน่นอนว่าศัตรูบุกเป็นอีกกรณีหนึ่ง
ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ลูกศิษย์ล่างเขาก้าวสู่ระดับสร้างฐานไม่ใช่ทุกคนจะเลือกเช่าที่สร้างฐานของสำนัก ด้านหนึ่งคือราคาแพงมาก อีกด้านหนึ่งคือผู้ที่สามารถแสดงพรสวรรค์ออกมาได้จากบรรดาผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณนับไม่ถ้วนในโลกาวินาศนี้ มักจะมีวาสนาของตัวเอง
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะพบเห็นได้น้อย อย่างไรเสีย นอกจากวาสนาแล้ว สำนักที่มีผลประโยชน์เป็นพลังสามัคคี ในเรื่องความเชื่อใจก็แทบจะไม่มี
ดังนั้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานประมาณสามส่วนที่ทะลวงขั้นจากข้างนอกกลับมา
วาสนาเหล่านี้ส่วนมากล้วนเกี่ยวพันกับซากโบราณสถาน แม้จะมีคนสังเกตเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่กรณีพิเศษอะไร อีกทั้งยังเป็นเรื่องไม่เหมาะสมมากๆ หากเกิดจิตคิดร้ายแย่งชิง จะอย่างไรถ้าไม่แพร่งพรายออกไปก็ไม่มีปัญหา แต่หากเรื่องแพร่งพรายออกไปจะสั่นคลอนรากฐานของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ดังนั้นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจึงห้ามอย่างเด็ดขาด แม้จะเกิดการสังหารกันเองอย่างลับๆ บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็นับว่าหลับตาข้างนึง ในเมื่อสำหรับผู้บำเพ็ญบนเขาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ก่อนที่พวกเขาจะลงมือล้วนประเมินแล้วว่าคุ้มหรือไม่
เสี่ยงขนาดนั้นเพื่อการคาดเดาที่ไม่รู้ผลลัพธ์ น้อยนักที่จะมีคนโง่ขนาดนั้น
เรื่องเหล่านี้ในตอนที่สวี่ชิงเลือกจะออกไปสร้างฐานข้างนอกก็ได้คิดอย่างกระจ่างดีแล้ว ตอนนี้มองไปยังเงาร่างทั้งสามที่ทะยานเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว พลางยืนรอการมาเยือนของพวกเขาอยู่บนบันได้ขั้นที่ห้า
ไม่นานนักเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็วก็ยิ่งชัดขึ้น ในเงาทั้งสามที่บินตรงมาที่นี่จากที่ไกลๆ คนที่อยู่หน้าสุดสวมชุดคลุมยาวสีม่วง รูปร่างสูงปานกลาง มีใบหน้ากลม
เป็นคนที่นำให้สวี่ชิงในตอนที่เขาขึ้นเขาครั้งแรกนั่นเอง ตอนนั้นอีกฝ่ายยังเตือนเรื่องช่องโหว่ความเคยชินมือข้างขวาของเขาและเรื่องซ่อนคมเข็มในผ้าด้วยความหวังดีอีกด้วย
มองเงาร่างของอีกฝ่าย สวี่ชิงก็สะท้อนใจนัก ตอนนั้นเขาก็แค่ฟังอีกฝ่ายพูดว่าซ่อนคมเข็มในผ้านี้เท่านั้น แต่ประสบการณ์ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนี้ แต่ละคนที่ได้เจอ เขาก็สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าซ่อนคมเข็มในผ้า
ส่วนตัวเขาก็เรียนรู้อะไรมากมายจากสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ อย่างสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนี้
สวี่ชิงประสาน ในเสี้ยวพริบตาที่อีกฝ่ายประชิดเข้ามาใกล้ ก็โค้งคารวะสุดตัว
บนท้องฟ้ามีเสียงหัวเราะดังมา
เงาร่างผู้บำเพ็ญหน้ากลมคนนั้นไหววูบ มาถึงข้างหน้าสวี่ชิง ใบหน้าที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สวี่ชิง ตอนนั้นข้าเจอเจ้าครั้งแรกก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือน วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง เจ้าได้กลายเป็นคนระดับเดียวกับข้าแล้ว”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ตักเตือนสั่งสอน” สวี่ชิงในใจขอบคุณผู้บำเพ็ญหน้ากลมคนนี้จริงๆ พูดพลางประสานหมัดโค้งคารวะ
“ไม่ต้องเรียกว่าผู้อาวุโส เจ้าเป็นระดับสร้างฐานแล้ว เจ้าและข้าเรียกว่าศิษย์พี่ ศิษย์น้องพอแล้ว ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้าชื่อจางอวิ๋นซื่อ เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่จางก็ได้”
ผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมหัวเราะพลางเอ่ยปาก ระหว่างพูดก็เงยหน้า มองเห็นเจ้าจงเหิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงอยู่ไม่ไกล
เดิมเขาก็เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว สายตากวาดมองสีหน้าของเจ้าจงเหิง แล้วก็มองสวี่ชิง ในใจก็พอคาดเดาอะไรได้คร่าวๆ แล้ว แต่ก็ไม่ทำให้เป็นเรื่องอะไรเยอะ ดังนั้นแล้วจึงหรี่ตาดวงเล็กๆ ลง
“ศิษย์น้องสวี่ชิง พวกเราขึ้นเขากันดีหรือไม่”
“รบกวนศิษย์พี่จางแล้ว” สวี่ชิงพยักหน้าอย่างเกรงใจ แล้วประสานมือคารวะไปทางผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานอีกสองคนที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย
เขาพบว่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานบนเขาส่วนมากล้วนเก็บซ่อนระลอกคลื่นพลัง สองคนนี้ก็เช่นกัน จางอวิ๋นซื่อก็เช่นกัน ดังนั้นสวี่ชิงจึงยากที่จะสังเกตตื้นลึกหนาบางโดยละเอียดได้ในทันที
นี่ทำให้การเตรียมพร้อมรับมือและความระแวดระวังในใจของสวี่ชิงสูงมาก
และเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ตำแหน่งไม่เท่าจางอวิ๋นซื่อ เห็นจางอวิ๋นซื่อรู้จักกับสวี่ชิง ดังนั้นแล้วจึงยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่ประสานหมัดโค้งคารวะก็จากไป
สวี่ชิงเดินไปข้างหน้าตามขั้นบันไดภายใต้การนำทางไปด้วยกันของจางอวิ๋นซื่อไปเช่นนี้เอง
ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น ตอนนี้ลมทะเลพัดมาทำให้ใบไม้ไหว ยิ่งมีเสียงวิหคขับขานกังวานในนั้น
เสียงนี้ไพเราะจับใจนัก เหมือนทำให้จมอยู่ในห้วงความคิดได้ ภาพที่ขึ้นเขามาครั้งแรกในวันนั้นทับซ้อนกับช่วงเวลานี้
“ศิษย์น้องสวี่ โลกข้างล่างเขาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตตอนนั้นข้าได้แนะนำกับเจ้าไปแล้ว วันนี้ข้าจะบอกเจ้าถึงเรื่องบนเขา” ท่ามกลางสายลม เสียงอ่อนโยนสงบนิ่งของจางอวิ๋นซื่อดังก้องไปบนถนน
“ยอดเขาที่เจ็ดมีผู้อาวุโสสิบสามคน ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ ใต้พวกเขาก็คือพวกเราผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานซึ่งมีจำนวนหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าคน วันนี้เมื่อเจ้าลงทะเบียนแล้ว ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของยอดเขาที่เจ็ดก็จะเป็นหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าคน
“ดูเหมือนเยอะมาก แต่ความจริงแล้วมีไม่เท่าไร ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเกือบพันคนก็เท่านั้น ต้องรู้ว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเราเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจใหญ่ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเชียวนะ
“ดังนั้นตำแหน่งและฐานะของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานนั้นสูงมาก
“เรื่องนี้ที่ใดๆ ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตของเราก็เช่นกัน หลังจากที่เจ้าลงทะเบียนแล้ว ทุกเดือนก็จะได้หินวิญญาณประมาณห้าพันเจ็ดร้อยกว่าก้อน
“จำนวนโดยละเอียดต้องดูรายรับของสำนักในทุกเดือน ดังนั้นจึงไม่แน่นอน แต่คลาดเคลื่อนไม่มาก
“นอกจากนั้น หลังจากที่เป็นระดับสร้างฐานแล้ว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะพักบนเขา แต่ว่าถ้ำต้องจ่ายเงิน แล้วก็เคล็ดวิชาระดับสร้างฐานของสำนัก ไม่ได้ให้เปล่าๆ เหมือนตอนเป็นระดับรวมปราณ ต้องจ่ายเงินเช่นกัน ส่วนที่โถงตำรา วิชาสร้างฐานใดๆ ในนั้นเจ้าล้วนมีสิทธิ์ซื้อหา
“ในขณะเดียวกัน ในฐานะที่เป็นระดับสร้างฐานจะมีสิทธิ์สี่ประการ
“สิทธิ์ประการแรก นับตั้งแต่ตอนนี้เจ้ามีสิทธิ์ในการบุกเบิกท่าเรือใหม่ เจ้าสามารถเปิดท่าเรือของตัวเองในเขตอ่าวได้!
“จะค้าขายกับภายในหรือภายนอกก็ได้ รายได้ทุกอย่างที่ได้จากการจัดการในนั้น สำนักจะเก็บครึ่งหนึ่ง แต่นี่เจ้าจะต้องให้คนไปจัดการดูแล ในขณะเดียวกันการลงทุนในระยะต้นสูงมาก เจ้าต้องเป็นคนแบกรับเองเช่นกัน
“หากไม่ต้องการสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือ ก็จะได้กรรมสิทธิ์ถนนเส้นหนึ่งในเมืองหลัก ร้านค้าทุกร้านบนถนนเส้นนั้นล้วนต้องจ่ายค่าเช่าให้เจ้า วิธีนี้เรียบง่ายตรงๆ
“สองตัวเลือกนี้ล้วนมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเลือกทั้งนั้น เจ้าขบคิดเอง
“สิทธิ์ที่สอง ลูกศิษย์ล่างเขาของยอดเขาเราหากหาเรื่องเจ้า เจ้าสามารถฆ่าได้ แต่ว่าฆ่าหนึ่งคนจะต้องจ่ายหนึ่งแสนหินวิญญาณเป็นการลงโทษ ฆ่าคนที่สองราคาเพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ล้างกลับเป็นศูนย์”
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมยิ้มพลางเอ่ย แต่คำพูดที่พูดออกมาทำให้ม่านตาสวี่ชิงหดเล็ก
“กฎข้อนี้ความจริงแล้วเป็นเส้นในใจของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ไม่ว่าจะอยู่ในสำนักหรือนอกสำนัก เมื่อเจอผู้อ่อนแอก็จะต้องชั่งน้ำหนักว่าฆ่าแล้วคุ้มค่าหรือไม่
“หากเป็นลูกศิษย์ล่างเขายอดเขาอื่นราคาจะทบเท่าจากพื้นฐานนี้
“ส่วนสิทธิ์ที่สามคือเจ้าสามารถเลือกลูกศิษย์ล่างเขาสองคน หรือคนที่เจ้ารู้จักคนอื่นให้มาเป็นผู้ติดตามของเจ้าได้ พวกเขาจะได้สิทธิ์ในการอาศัยในเมืองหลักโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือจะตามเจ้าขึ้นเขา ฝึกบำเพ็ญภายใต้ชื่อของเจ้าก็ได้
“ในขณะเดียวกัน เมืองย่อยทุกเมืองในเขตพื้นที่เจ็ดเนตรโลหิต การส่งข้ามของเจ้าจะไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นทุกปีเจ้าจะมีสิทธิ์มีรายชื่ออาศัยในเมืองย่อยหนึ่งร้อยเมือง ต้องรู้ว่าสิทธิ์อาศัยในเมืองย่อย ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดข้างนอกหรือเมืองเล็กๆ นั้นล้ำค่ามาก หากไม่ได้รับการแนะนำจากลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ไม่อาจครอบครองได้
“สิทธิ์ประการสุดท้ายคือการคุ้มครองของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณข้างนอกไม่กล้าเข้ามาฆ่าเจ้าที่นี่ แน่นอนว่าหากเจ้าจ่ายหินวิญญาณที่เพียงพอ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดก็ไม่กล้ามา กระทั่งว่าหากเจ้ามีหินวิญญาณที่มากมายก็สามารถตั้งรางวัลล่าค่าหัวได้ ในสำนักจะต้องมีคนยินดีช่วยเจ้าฆ่าอย่างแน่นอน
“เจ้าต้องจำไว้ ล่างเขาเป็นฝูงลูกหมาป่า บนเขา…คือหมาป่าเดียวดายที่ต่างเป็นอิสระ มีแผนการ!
“ในเวลาเดียวกันเจ้าไม่ต้องกังวลว่าระดับแก่นลมปราณของสำนักจะลงมือกับเจ้า อยู่ข้างนอกนั่นคือดวงซวยเอง แต่ในสำนักไม่ว่าจะลงมือด้วยสาเหตุอะไร สังหารผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานหนึ่งคนต้องจ่ายค่าปรับหนึ่งล้านหินวิญญาณ ระหว่างผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานกันเองก็เช่นกัน คนต่อไปราคาทบเท่าตัวเช่นเคย อีกทั้งไม่ล้างเป็นศูนย์เช่นกัน
“ดังนั้นวนกลับมาเรื่องเดิม คุ้มค่าหรือไม่!”
ผู้บำเพ็ญหน้ากลมระหว่างพูดใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้มตลอด แต่คำพูดล้วนฉายความเหี้ยมโหดของตำแหน่งของระดับสร้างฐานและบนเขาออกมา
“ภารกิจเล่า” สวี่ชิงถาม
“ภารกิจหรือ” ผู้บำเพ็ญหน้ากลมหัวเราะ
“ทุกคนล้วนดิ้นรนฟันฝ่าจากล่างเขามาด้วยความพยายามของตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีภารกิจอะไรกับสำนัก ยินดีอยู่ต่อก็รับเงิน อยากจะไปก็ไม่รั้งไว้ แต่ว่าภารกิจที่สำนักประกาศไม่เคยหวง ดังนั้นทุกคนล้วนแต่แย่งกันทำให้สำเร็จ
“และเพื่อให้ตัวเองได้รับหินวิญญาณในระยะยาว มีผลประโยชน์ที่นับว่าไม่เลวส่วนนี้ ในยามที่เจอกับการรุกรานของศัตรูภายนอกทำลายผลประโยชน์ระยะยาวของพวกเรา ย่อมต้องลงมืออย่างสาสม อย่างไรเสีย ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานหากระมัดระวังตัวสักหน่อย ก็มีชีวิตอยู่ได้นาน ได้รับเงินทุกเดือนดีจะตาย
“แน่นอน หากศัตรูภายนอกล่อด้วยทรัพย์สินมูลค่าที่มากกว่าก็ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ เพียงแต่เจ้าลองคิดดู ศัตรูที่มารุกรานโง่หรือ ซื้อตัวลูกศิษย์คนสองคนมีประโยชน์อะไร หากซื้อตัวเยอะ พวกเขาเอาผลประโยชน์มหาศาลมาโจมตีสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่มีต้นทุน คุ้มหรือไม่
“ส่วนหากโลกภายนอกเกิดสงคราม ความจริงหากขยายการแข่งขันครั้งใหญ่ที่เจ้ามีประสบการณ์ครั้งที่แล้ว เมื่อมีผลประโยชน์ย่อมแห่รุมบุกไปอยู่แล้ว
“เหล่าผู้อาวุโสบนเขาต่างรู้ว่าพวกเราเหล่านี้ต่างเป็นลูกหมาป่ากันทั้งนั้น ดังนั้นแทบจะไม่มีการจัดการดูแลอะไรกับพวกเราเลย ล้วนแต่ใช้ผลประโยชน์เข้าล่อทั้งนั้น
“ส่วนคนที่ทำให้ผู้นำระดับสูงวางใจได้อย่างแท้จริงคือลูกศิษย์หลักที่เมื่อเข้าสำนักมาก็ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากสำนักเลยเหล่านั้น การอบรมฝึกฝนพวกเขาล้วนใช้ความสามัคคีและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเป็นหลัก”
ตอนนี้ สวี่ชิงก็มีความเข้าใจเรื่อวบนเขาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ลึกซึ้งขึ้นจากการแนะนำของจางอวิ๋นซื่อ ขณะครุ่นคิด พวกเขามาถึงยังช่วงกลางเขา
“เจ้ามาไม่ถูกจังหวะเอาเสียเลย เดิมผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ขึ้นทะเบียนคนใหม่จะมีสิทธิ์ได้เข้าพบเจ้ายอดเขาครั้งหนึ่ง แต่วันนี้เจ้ายอดเขาที่เจ็ดออกทะเลไปแล้ว คงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น”
“ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองก็ไม่อยู่ เหลือเพียงผู้อาวุโสสามที่รักษาการณ์อยู่ในเขา หลังจากที่เจ้าไปเข้าพบ ข้าจะพาเจ้าไปถ้ำกับโถงตำรา”
ขณะพูด สวี่ชิงก็เห็นตำหนักใหญ่ที่ผู้อาวุุโสสามที่เคยมาเมื่อครั้งที่แล้วไกลๆ นอกตำหนักเขาเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยอีกร่างหนึ่ง คือผู้ดูแลหลี่ที่อยู่ข้างกายผู้อาวุโสสามนั่นเอง
เขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าตำหนัก ตอนนี้ลืมตามองมายังสวี่ชิงและจางอวิ๋นซื่อที่มาเยือน แย้มยิ้มเล็กน้อย
“เมื่อครู่ที่เสียงระฆังดัง ข้าก็เดาแล้วว่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานคนใหม่จะเป็นเจ้าหรือไม่”
สวี่ชิงประสานหมัดเบาๆ มองผู้ดูแลหลี่คนนี้แวบหนึ่ง อีกฝ่ายแม้จะซ่อนระลอกคลื่นพลัง แต่สวี่ชิงย้อนนึกร่วมกับความรู้สึกเมื่อครั้งนั้น ตอนนี้ก็รู้สึกรางๆ ว่า ผู้ดูแลหลี่คนนี้ท่าทางอยู่ในบรรดาผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานก็นับว่าแข็งแกร่งมากเหมือนกัน 艾琳小說
“น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ก่อไฟชีวิตได้แล้ว” สวี่ชิงพึมพำ ไม่แสดงสีหน้าออกมา
“เข้าไปเถอะ ผู้อาวุโสรอเจ้าอยู่” สายตาผู้ดูแลหลี่ผละจากร่างสวี่ชิง จับจ้องไปที่ร่างของจางอวิ๋นซื่อ อีกฝ่ายยักไหล่ ถอยไปสามสี่ก้าวรออยู่อยู่ข้างนอก
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เดินไปข้างหน้า เดินเข้าไปในตำหนักที่เคยมาในตอนนั้น
เสี้ยวพริบตาที่เหยียบย่างเข้ามา ความรู้สึกแบบในตอนนั้นก็มาเยือนอีกครั้ง พลังกดดันที่มาจากผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างบนแผ่ไปทั่วทุกสารทิศปานถล่มภูเขาล่มมหาสมุทร
แต่ครั้งนี้สวี่ชิงเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน
นั่นเป็นชายชราที่ใบหน้ามีกระผู้สูงอายุ เขาสวมชุดนักพรตสีม่วงขลิบดิ้นทอง กำลังมองสวี่ชิงมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เสี้ยวพริบตาที่สายตาของทั้งสองประสานกัน จิตใจของสวี่ชิงก็ส่งเสียงดังครืนครัน สายตาของอีกฝ่ายประดุจสายฟ้าฟาด เหมือนทะลุผ่านร่างของเขาในทันที มองอวัยวะในร่างของเขาอย่างชัดเจน
แต่ตะเกียงดับวิญญาณที่สวี่ชิงใช้เงาปกปิดเอาไว้ไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายจะสัมผัสได้
“คารวะผู้อาวุโสสาม” สวี่ชิงก้มศีรษะ คารวะอย่างเคารพนอบน้อม
“อายุน้อยๆ ก็เปิดช่องเวทได้สองช่องแล้ว ไม่เลว” ผู้อาวุโสสามที่อยู่ข้างบนหลังจากที่เอ่ยเสียงราบเรียบ ก็พูดประโยคที่ทำให้สวี่ชิงจิตใจตื่นตะลึงออกมา
“ตะเกียงดับวิญญาณเผ่าเงือกเจ้าเอาไปใช่หรือไม่”