น้ำเสียงของนางเหมือนจะแฝงเอาไว้ด้วยความเย้ยหยันหนักหน่วง แต่ก็ยังคงน่าฟังที่สุดอยู่ดี
ท่าทางที่ดูเมินเฉยนั้นเหมือนจะแผ่ออกมาจากในกระดูก
ประกายแสงในดวงตาแทบจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มุมปากมีรอยยิ้มที่แฝงด้วยความเย็นชา แต่ว่าท่าทางเหล่านั้นเมื่อปรากฏในสายตาของตู๋กูซิงหลัน กลับทำให้นางรู้สึกปวดใจอย่างไม่รู้สาเหตุ
บางที คนที่งดงามล้วนสามารถทำให้ผู้อื่นปวดใจได้ง่ายๆกระมัง
ท่านเจ้าสำนักเป็นชายชาติบุรุษแท้ แต่ไหนแต่ไรมาก็คร้านที่จะโต้ฝีปาก ที่เขาถนัดคือการใช้กำลังต่างหาก
พอเห็นอยู่กับตาว่าเขาทำท่าราวกับพ่อไก่ชนที่พร้อมจะเปิดศึก
ตู๋กูซิงหลันก็รีบคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้ หันไปเอ่ยกับต๋าจี่ว่า “หรือเป็นเพราะว่าโจ้วอ๋อง[1]ทรยศท่าน?”
พอได้ยินชื่อของโจ้วอ๋องสองคำนั้น หางทั้งหลายของต๋าจี่ก็ชี้ขึ้นมาในทันที
ตอนแรกนางยังนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างเกียจคร้าน เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นก็หายวูบมาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตู๋กูซิงหลันในทันที
สองมือของนางขย้ำลงมาบนลำคอของตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว
กรงเล็บสีแดงเข้มราวกับย้อมมาจากโลหิต แม้แต่แววตาก็ยังกระหายเลือดขึ้นมา
เดิมทีตู๋กูซิงหลันสามารถหลบได้พ้น แต่ว่านางกลับไม่คิดจะขยับ
อีกทั้งยามที่ต๋าจี่บุกเข้ามา นางยังใช้มือผลักท่านเจ้าสำนักออกไป เรื่องระหว่างสตรีด้วยกัน บุรุษอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวจะดีกว่า
ส่วนฟ่านอิงที่อยู่ด้านข้าง แค่ได้เห็นสายตาของนางเพียงแวบเดียว ฟ่านอิงก็เข้าใจหมดแล้ว
ย่อมไม่สอดมือให้ยุ่งยาก
“ที่จริงแล้วเจ้าคือผู้ใดกันแน่?” ต๋าจี่ใช้มือข้างหนึ่งบีบลำคอของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มือข้างนั้นบีบแน่นเสียจนข้อนิ้วของนางซีดขาว
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันทันได้ตอบคำ นางก็ถามอีกว่า “หรือว่าฝ่ายนั้นส่งเจ้ามา?”
“ฝ่ายนั้น?” ตู๋กูซิงหลันคว้าประเด็นสำคัญเอาไว้ทันที ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะมิได้ตรงกับประวัติศาสตร์ในโลกปัจจุบันของนางสักเท่าไหร่
“เขาไม่คิดจะปล่อยข้าไป จึงได้ส่งเจ้ามาใช่ไหม?” ต๋าจี่พูดเองตอบเอง แม้แต่เรี่ยวแรงในมือก็ยังเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน
“ตั้งแต่วันที่เจ้าช่วยเหลือเสี่ยวเยาเอาไว้ นั่นก็เป็นแผนการของเขาด้วย ใช่ไหม?!”
ลำคอของตู๋กูซิงหลันเดิมทีก็บอบบางอยู่แล้ว หากว่านางยังคงเพิ่มเรี่ยวแรงขึ้นมาอีก ศีรษะของตู๋กูซิงหลันคงต้องหลุดลงมาแน่แล้ว
ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ แต่ว่าแววตาในดวงตาดอกท้อคู่นั้นกลับไม่มีวี่แววความหวาดกลัวใดๆ
ตู๋กูซิงหลันยังคงจับจ้องมองดูนางอยู่นิ่งๆเช่นนั้น แล้วจึงค่อยเอ่ยตอบว่า “เขาคือใครกัน? ตี้ซินโจ้วอ๋อง หรือว่าเป็นผู้อื่น?”
พอได้เห็นสีหน้าที่แสดงออกมาของต๋าจี่ ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธแค้น แววตาที่เคยกระจ่างใสนั้นจางหายไปจนหมด
น้ำเสียงที่แสนจะน่าฟังนั้นแฝงเอาไว้ด้วยความแค้นและความสิ้นหวัง
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้วต้องรู้สึกปวดใจกว่าเดิม
ตี้ซิน คำนี้เหมือนดาบแหลมๆที่แทงเข้าไปในหัวใจของต๋าจี่อย่างแรง
นางแทบจะควบคุมตนเองเอาไว้ไม่อยู่ อยากจะลงมือฆ่าฮ่องเต้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไปเสีย
ท่านเจ้าสำนักเองก็เกือบจะปะทะกับต๋าจี่ขึ้นมาแล้ว แต่เขาพลันได้ยินเสียงที่ศิษย์น้อยส่งออกมาทางกระแสจิต “อย่าได้เข้ามา”
“คนเป็นอาจารย์ ต้องรู้จักเชื่อฟัง”
ท่านเจ้าสำนัก “…….”
เท้าของเขาเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่อาจขยับเขยื้อน
ศิษย์น้อยช่างรู้จักควบคุมเขาเกินไปแล้ว นางรู้ดีว่า ขอเพียงนางเอ่ยออกมา เขาย่อมทำตามทุกอย่าง
เรื่องที่นางบอกว่าอย่าได้ทำ ต่อให้เขาอยากจะป่นกระดูกของอีกฝ่าย ก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้
……………….
สายตาของตู๋กูซิงหลันหยุดอยู่บนใบหน้าของต๋าจี่ ลำคอของนางถูกบีบจนอึดอัดอยู่บ้าง น้ำเสียงก็บี้แบนจนแหบลงไป
“ถ้าท่านเป็นพี่สาวของจิ้งจอกน้อย ย่อมต้องรู้ว่า ข้ามาจากโลกปัจจุบัน”
“นี่เป็นสิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ข้าที่เป็นคนในยุคปัจจุบันย่อมต้องได้รู้เรื่องราวของท่านกับโจ้วอ๋อง”
คำอธิบายนี้ไม่แข็งไม่อ่อน แต่เพียงพอจะให้คนเชื่อถือ
ต๋าจี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางได้ยินชื่อของโจ้วอ๋อง ในสมองก็เกิดภาพความทรงจำนับไม่ถ้วน จึงได้ละเลยไปว่าตู๋กูซิงหลันเป็นคนที่มาจากโลกปัจจุบัน
ตอนนี้พอได้ยินตู๋กูซิงหลันอธิบายออกมา นางถึงค่อยนึกขึ้นมาได้ ตอนที่เสี่ยวเยาก็ถูกนางช่วยเหลือก็อยู่ในโลกปัจจุบันเช่นกัน
มือที่กุมลำคอของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนาจึงค่อยคลายออก จากนั้นก็ตกลงไปอย่างช้าๆ
ตู๋กูซิงหลันถอนหายใจออกมา พักหนึ่งจึงสามารถสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
ว่าตามจริงแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับโฉมงามเช่นพี่ต๋าจี่ผู้นี้ นางก็โกรธอะไรไม่ลงจริงๆ
พึ่งจะหายใจโล่งได้ครั้งหนึ่ง นางก็ถามออกไปอย่าไม่กลัวตายอีกว่า “ขอถามอย่างล่วงเกินสักคำ ตกลง ‘เขา’ คนนั้นคือใคร?”
ลองคิดดูสิ อีกฝ่ายคือคนที่สามารถทำให้พี่สาวที่ทั้งแข็งแกร่งและงดงามผู้นี้ทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้นได้เลย
ที่จริงแล้ว ในใจของนางอยู่ๆก็คาดเดาบางอย่างขึ้นมาได้
แต่ก็รู้สึกว่าที่คาดเดาเอาไว้นั้นมิสู้ดีสักเท่าไร
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ครึ่งคนครึ่งมังกรอย่างเจ้าสมควรจะได้รู้”
พี่ต๋าจี่ไม่คิดจะไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย ต่อให้นางเป็นนางในดวงใจของเสี่ยวเยาก็ไม่มีทางคลี่ยิ้มต้อนรับ
นางยกมือขึ้นมา ชี้ไปที่ ‘กระจก’ ในตำหนักที่ยังมิได้เลือนหายไปไหน “หากยังไม่ไป ข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย”
ยามที่เอ่ยคำนี้ออกมา ริมฝีปากของนางก็เผยให้เห็นเขี้ยวจิ้งจอกที่แหลมคม
ตู๋กูซิงหลัน “พี่สาว ฟันของท่านขาวมากๆเลย”
ฟันที่สวยขนาดนี้ไม่ได้ใช้กัดฝักข้าวโพด ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ต๋าจี่ “…..”
ว่าแล้วว่า คนละเผ่าพันธุ์ ย่อมพูดกันไม่เข้าใจ
ปลายนิ้วของนางขยับน้อยๆ กลางฝ่ามือพลันปรากฏไอปีศาจที่รุนแรงขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันยังคิดจะเผชิญกับนางตรงๆ แต่ว่าในตอนนั้นเอง ไอปีศาจสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาพร้อมเสียงลมวูบ ขวางทางพลังของต๋าจี่เอาไว้อย่างพอดิบพอดี
จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตึ้ง’ ดังสะนั่น ทั่วทั้งตำหนักกลางสั่นสะเทือนขึ้นมาครั้งหนึ่ง
ต๋าจี่ขมวดคิ้ว มองดูไอปีศาจสีแดงที่ขวางนางเอาไว้ ท่ามกลางผู้คนทั้งหมด ไอปีศาจนั้นก็กลายเป็นร่างของซูเยา
พอซูเยามองเห็นตู๋กูซิงหลัน ในแววตาก็ส่องประกายสว่างไสวขึ้นมาทันที
เพียงแต่ไม่มีเวลาจะพูดอะไรกับนางแม้แต่คำเดียว เขาก็รีบพลิ้วร่างไปที่ข้างกายต๋าจี่เสียก่อน
เขายื่นมือไปลูบขนฟูฟูบนหลังมือของต๋าจี่ พลางเขย่าไปมา “อาเจ้ อย่าได้รังแกอาหลันเลย ได้หรือไม่?”
ต๋าจี่ “เจ้าเอาตาข้างไหนมองว่าข้ารังแกนาง?”
ซูเยา “เห็นอยู่ชัดเจนเต็มๆสองตาเลย”
พูดแล้ว เขาก็ต้องรับฝ่ามือของต๋าจี่ซัดเข้าให้หนึ่งฝ่ามือเต็มๆ
ฝ่ามือนี้ตบลงไปบนบ่า อย่างไม่เบา หัวไหล่ของซูเยาถึงกับส่งเสียงกรอบออกมาดังลั่น กระดูกเกือบจะหักอยู่รอมร่อ
แต่เขาก็ชินชาเสียแล้ว จึงยังคงลูบมือของนางต่อไป “อาเจ้ อาหลันไม่เหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ นางเป็นคนดี นางจิตใจดีมีเมตตามากเลย”
ว่าตามจริงแล้ว พอตู๋กูซิงหลันได้ยินซูเยาชมว่านางจิตใจดีมีเมตตา นางก็รู้สึกละอายจนหน้าชาอยู่บ้าง
เจ้าจิ้งจอกน้อยคงจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ใจดีมีเมตตา’ ผิดไปแล้วกระมั้ง
แม้ว่าในใจของนางจะคิดเช่นนั้น แต่ว่าก็ยังคงผงกศีรษะเอ่ยตอบรับว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่สาว ข้าเป็นคนใจดีมากๆเลย เรื่องทำความดีอย่างพยุงคนแก่ข้ามถนน หรือช่วยสุนัขทำคลอด ข้าล้วนทำอยู่เสมอๆ!”
ต้าจี่ถึงกับไร้คำพูด นางสะบัดมือออก หันไปพูดกับซูเยาว่า “ เขาดึงขนข้าจนเจ็บแล้ว”
ซูเยาถึงได้ยอมวางมือ
“อาเจ้ ท่านก็ปล่อยอาหลันไปเถอะ ดีไหม ข้าขอรับรอง รอให้พี่ชายของนางสลายพิษจนหมด ข้าก็จะส่งพวกเขาออกไปในทันที รับรองว่าจะไม่รบกวนท่านจนเกินไปอย่างเด็ดขาด!”
………………….
[1] 纣王: โจ้วหวาง (ชื่อเชิงเหยียดหยาม หมายถึงสายรั้งก้นม้า) หรือ ตี้ซิน (帝辛) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ชาง (1075-1046 ปีก่อนคริสตกาล