“พวกเขาล้วนลืมไปหมดแล้ว ลืมจนหมดสิ้น ลบทิ้งจนไม่หลงเหลือสิ่งใด!”
“พวกมนุษย์พากันยอมอ่อนน้อมอย่างที่สุด ไม่มีความกล้าหาญจะต่อต้านแม้แต่น้อย ช่างน่าอนาถจนน่าสงสารและน่าชิงชัง”
“ตนเองอ่อนแอไร้ความสามารถ จึงได้แต่โยนความผิดและเภทภัยทั้งหลายให้ผู้อื่น เพื่อจะได้อ้อนวอนร้องของชีวิต ไอ้พวกเผ่ามนุษย์เหล่านั้น และเผ่าเทพที่ไร้น้ำใจ เฮอะ เฮอะ…..”
ถึงแม้ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ร่างกายของเสือดำก็ต้องสั่นสะท้าน
ตู๋กูซิงหลันเห็นกรงเล็บของมันจิกลึกลงไปบนพื้น บนหินก้อนใหญ่ที่เย็นเฉียบก้อนนั้นมีรอยเล็บขูดลึงไปจนลึก
ในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน เรื่องที่เกี่ยวของกับราชวงค์ซางมิได้ถูกบันทึกไว้อย่างครบถ้วน จะมีก็แต่เพียงบันทึกในหนังสือ 《เฟิงเฉินหยั่นอี้》[1]ที่มีเนื้อหามากสักหน่อย แต่มิว่าจะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หรือนวนิยายที่กล่าวถึง ต๋าจี่ก็ถูกเรียกว่าเป็นนางปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมืองทั้งสิ้น
พอได้ฟังพี่เสือดำเล่าออกมาตั้งมากมายเช่นนี้ นางก็อดจะสะท้อนใจไม่ได้
ประวัติศาสตร์ แต่ไหนแต่ไรก็คือบันทึกของผู้ชนะเสมอ
ผู้แพ้นั้น ถูกเรียกขานเป็นตัวชั่วร้าย เป็นภูติผีปีศาจอยู่ตลอด จนมิใช่เรื่องแปลกอะไร
นางและอาจารย์ซื่อมั่ว ก็เคยร่วมกันปกป้องประชาชนนับพันนับหมื่น
และตอนนี้ พวกนางก็กลายเป็นศัตรูกับแดนสวรรค์ไปแล้ว
ยังดี ที่นางไม่ใช่ต๋าจี่ ทั้งยังไม่เคยพบเจอคนอย่างตี้ซินแม้แต่ครั้งเดียว
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ตี้ซินนั้นไร้น้ำใจและเห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้นจริงๆน่ะหรือ?
เวลาผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นางย่อมไม่มีทางไปสืบหาหลักฐานใดๆได้แล้ว อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านมาของต๋าจี่และตี้ซินอีกด้วย
นางเพียงรู้สึกสงสารและเห็นใจพี่สาวต๋าจี่เท่านั้น…..
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่ล้ำค่าและสูงส่งเกินใดเปรียบ หลงรักฮ่องเต้ชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง กลับถูกเหยียดหยามจนไม่เหลือชิ้นดี
ทั้งที่เป็นเช่นนี้ แต่นางก็มิได้สับคนเหล่านั้นเป็นชิ้นๆ ที่จริงต้องถือว่านางมีเมตตามากแล้ว
“หลังจากนั้น……ด้วยความโกรธแค้น นายหญิงที่ถูกควักหัวใจออกไปครึ่งหนึ่งบนหอสอยดาว จึงทำลายเมืองเจาเกอไปกว่าครึ่ง”
เสือดำเล่าต่อไป “หลังจากนั้น นางก็กลับมาที่หุบเขาหมื่นปีศาจ”
“แต่ว่าเหล่าทวยเทพบนแดนสวรรค์ย่อมไม่คิดจะปล่อยนางไป”
“พวกมันไล่ติดตามนางตั้งแต่โลกโน้นมาจนถึงแดนจิ่วโจว ทั้งยังยิงเพลิงสวรรค์ลงมา ทำลายหุบเขาหมื่นปีศาจโดยไม่แยกแยะ ชีวิตมากมายนับพันนับหมื่นในหุบเขาปีศาจ ล้วนต้องสิ้นสูญและแตกดับไปในเพลิงสวรรค์อย่างสิ้นไร้หนทาง”
“ใช่แล้ว พวกมันล้วนเป็นเทพสวรรค์อันสูงส่ง ไหนเลยจะยอมให้ใต้หล้ามีผู้ต่อต้านได้กัน”
“ดังนั้นราชาจิ้งจอกและองค์ราชินีจึงได้ทรงอุทิศพลังบำเพ็ญเพียรและชีวิตของทั้งสองพระองค์ เพื่อดับเพลิงสวรรค์ในครั้งนั้น เพื่อปกป้องเผ่าจิ้งจอกสายตระกูลซูและเหล่าปีศาจน้อยที่หลงเหลืออยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมองค์ชายน้อยถึงได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่โลกปัจจุบันของเจ้า ก็เพราะว่าก่อนที่พวกเราจะถูกพวกเทพเข่นฆ่า ได้ร่วมกันฝืนใช้พลังเฮือกสุดท้าย ส่งเขาไปยังโลกปัจจุบันในอีกหลายปีให้หลัง ก็เท่านั้นเอง….”
ตู๋กูซิงหลันคิดย้อนกลับไป มิน่าเล่า ตอนที่นางเก็บเจ้าจิ้งจอกน้อยได้ หางของมันถึงได้มีรอยไหม้อยู่หลายแห่งจนเกรียมไปหมด
ตอนที่อยู่ในโลกใบโน้น เขาก็ไม่เคยกลายร่างเลยสักครั้ง นางจึงไม่เคยรู้เลยว่ายังมีเรื่องราวเบื้องหลังเช่นนี้อยู่ด้วย
ตอนนี้พอได้รับรู้ จึงทำให้รู้สึกโศกเศร้าอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ตอกย้ำในสิ่งที่นางเคยได้รู้มาแล้วอย่างชัดเจน
มีรักสักครั้งสาแก่ใจ แต่ทั้งครอบครัวพลอยประสพเภทภัย
พี่สาวต๋าจี่ก็คือตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่ตรงหน้า
ในสุสานมิได้มีแต่เพียงคนทั้งครอบครัว หากแต่เกือบจะทำให้คนทั้งเผ่าต้องจบสิ้นไปด้วย
“ดังนั้นตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? ว่าทำไมพวกเจ้าจึงไม่ควรรั้งอยุ่ในหุบเขาหมื่นปีศาจ”
ที่เสือดำเล่ามาตั้งมากมาย ประเด็นสำคัญก็เพราะเห็นแก่ว่านางคือผู้มีพระคุณขององค์ชายน้อย
มิเช่นนั้นมันย่อมคร้านจะพูดไปให้มากความ จัดการสับพวกนางให้เป็นชิ้นยังรวบรัดกว่ามากนัก
แต่เพราะเผ่าปีศาจอย่างพวกมันไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ที่ลืมบุญคุณโดยง่าย
แม้แต่น้ำใจหยดหนึ่งพึงตอบแทนด้วยสายธาร
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในยามนี้ช่างไม่เอื้ออำนวย เรื่องตอบแทนย่อมไม่อาจจะตอบแทนได้เสียแล้ว
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีทางจะใจดำเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ ที่ถึงขั้นทุ่มหินลงบ่อซ้ำเติมยามยากลำบาก พวกมันแบ่งแยกบุญคุณและความแค้นอย่างชัดเจน ไม่มีทางทำร้ายผู้บริสุทธิ์อย่างไร้เหตุผล
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน ย่างเดินเข้าไปหาเสือดำ พลางยื่นมือออกไป
เจ้าเสือดำนิ่งขึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้ถอยหนี
มือข้างนั้นของตู๋กูซิงหลันยื่นลงมาเหนือศีรษะของมัน ลูบไล้อย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง
“พี่เสือดำ เจ้าวางใจเถอะ ทันทีที่ฟ้าสางข้าก็จะจากไป จะต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เจ้าจะได้เห็นเผ่าสวรรค์พ่ายแพ้ พวกเทพจะต้องลงไปอยู่ในนรก”
พวกเทพจะต้องลงไปอยู่ในนรก
นี่เป็นครั้งแรกที่เสือดำได้ยินใครพูดเช่นนี้ออกมา
เหล่าเทพเบื้องบนที่สูงส่ง ควบคุมการเกิดดับของชีวิตทั้งหลาย ยามนี้แม้แต่ขุมนรกก็ยังอยู่ใต้อาณัติของพวกเขา
พวกเขา จะลงนรกจริงหรือ?
มันรู้สึกว่านางคงกำลังล้อเล่นแล้ว
เพราะคำพูดนั้นของนาง เสือดำจึงถึงกับเหม่อลอยไป ขณะที่มือข้างนั้นลูบไล้อยู่บนศีรษะของมัน
กระทั่งเส้นขนบางส่วนของมันหล่นออกมา มันถึงได้ชักสีหน้าดำๆขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้ามายุ่งย่ามอะไรกับหัวของข้ากัน?” เสือดำถาม
ตู๋กูซิงหลัน “….. น่ารักดี อยากลูบหน่อย”
เสือดำ “…..”
เผ่าเสือดำของพวกมันขึ้นชื่อเรื่องดุร้าย แต่ว่านางกลับเห็นเป็นความน่ารักที่ตรงไหน?
เสือดำอดจะแยกเขี้ยวออกมาไม่ได้
ตู๋กูซิงหลัน “เขี้ยวที่ทั้งใหญ่และขาวสะอาด เหมือนกับเจ้านายของเจ้าไม่มีผิด ไม่ใช้มันไปขบเคี้ยวฝักข้าวโพด ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
เสือดำ “……”
ที่จริง มันอยากจะเห็นว่านางเป็นที่ลับเขี้ยวอยู่เหมือนกัน
“ข้ารู้สึกว่าเจ้ามิได้เห็นคำพูดของข้าเมื่อครู่อยู่ในสายตา คงเพราะเห็นว่าเรื่องของผู้อื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน จึงไม่มีคุณค่าให้กล่าวถึงกระมัง?”
ตู๋กูซิงหลันมองดูสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังของมัน มือข้างหนึ่งของนางก็แปะลงไปบนศีรษะของมัน
จากนั้นนางก็ส่ายศีรษะติดๆกัน “ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในโลก ต่างย่อมมีเรื่องผิดหวังและทุกข์ใจอยู่มากมาย ไยจึงมิอาจแสวงหาความสุขท่ามกลางความทุกข์ได้กัน?”
“ในเมื่อต้องอยู่ในห้วงความทุกข์ หากยังไม่รู้จักดื่มกินสิ่งหวานหอม ชีวิตก็คงจะมีแต่ความตรอมตรมแล้ว”
ถึงแม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะมีอายุยังน้อย แต่ว่าประสบการณ์ของนางกลับไม่น้อย
นางเองก็เคยประสบกับความสิ้นหวัง ปวดร้าวจนหัวใจแหลกสลาย มีแต่ความเคียดแค้นชิงชังท่วมท้น
แต่ว่าคนเราในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมต้องก้าวต่อไปข้างหน้าจึงจะมีความหวัง
เสือดำนิ่งอึ้งไป สมองของมันกลับคิดไปอีกด้านหนึ่ง “เจ้าไม่เคยต้องประสพกับเหตุการณ์ทุกข์ทนสิ้นหวังเช่นนั้นมาก่อน แน่นอนว่าย่อมไม่เข้าใจ”
ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ โดยมิได้อธิบายใดๆ
เพียงแต่ลูบไล้ศีรษะของมันอย่างเบาๆด้วยความอ่อนโยนกว่าเดิม “คนรักของข้า มีสัตว์เลี้ยงชื่อเมียเมีย มันชื่นชอบเพื่อนตัวน้อยที่มีขนฟูๆ หากว่ามันยังอยู่ จะต้องชอบเจ้ามากอย่างแน่นอน”
เสือดำถูกคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างกระทันหันของนางทำเอางุนงง มันไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายของนางมากสักเท่าไหร่
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้เล่ารายละเอียด เพียงแต่ตบลงไปบนศีรษะของมันเบาๆ “เจ้าไปเถอะ พรุ่งนี้เมื่อฟ้าสางแล้ว เจ้าก็จะไม่ได้เจอข้าอีกแล้ว หุบเขาหมื่นปีศาจนี้ ก็จะดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขต่อไป”
หากว่านางคือต๋าจี่ บางทีนางอาจจะเข่นฆ่าสังหารศัตรูโดยไม่สนใจสิ่งใดไปแล้ว
ใต้หล้านี้มีผู้คนนับพันนับหมื่น ไม่จำเป็นที่ใครๆจะต้องทำอะไรเหมือนๆกัน
นางไม่มีคุณสมบัติและไม่มีอำนาจใดจะไปวิพากย์วิจารณ์การกระทำของต๋าจี่ ในทำนองเดียวกันผู้อื่นก็ไม่มีอำนาจและไม่มีสิทธิ์ใดจะมาหักหน้าการแก้แค้นแดนสวรรค์ของนาง
แสงดาวส่องสว่างเข้ามาทางหน้าต่าง กระทบกับร่างของนาง กลายเป็นสีแดงระยิบระยับงามจับตา
เจ้าเสือดำจับตามองดูนางอยู่เช่นนั้น ไม่รู้เพราะเหตุใด มันถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเฝ้ามองดูนายหญิงอยู่
เพราะว่า นางก็มีสง่าราศรีเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน
………………
[1] 《封神演义》: เฟิงเฉินหยั่นอี้ หรือ ห้องสิน (ภาษาฮกเกี้ยน) แปลว่า สถาปนาเทวดา เป็นนวนิยายจีนที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (1368-1644) เล่าเรื่องความเป็นมาของเทวดาและภูติผีปีศาจ มีทั้งหมดหนึ่งร้อยตอน แต่งโดย สวี่ จ้งหลิน(許仲琳)