“มีอาจารย์กับเสี่ยวเฉวียนอยู่ด้วย เส้นทางนี้ย่อมไม่ลำบาก” ตู๋กูซิงหลันคว้ามือของเขาเอาไว้แน่น น้ำตาที่ไหลออกมายังไม่เหือดแห้งไป มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม
ในชีวิตนี้มีช่วงเวลาที่นางรู้สึกว่าตนโชคดีและมีความสุขอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แต่ว่าในตอนนี้คือช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุด
คนที่นางรัก คนที่นางห่วงใยต่างก็กลับมาแล้ว ช่างดีเหลือเกิน
ในช่วงเวลานั้น กระทั่งความรู้สึกเกลียดชังที่นางมีต่อแดนสวรรค์ก็มิได้เข้มข้นเช่นเดิมแล้ว
ในดวงตาของซื่อมั่วแฝงความขมขื่นที่นางดูอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจ มืออีกข้างหนึ่งของเขาลูบลงมาบนเส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา
ขออวยพรให้เส้นทางที่นางก้าวเดินต่อไปในกาลข้างหน้า ปลอดภัยและได้พบกับความสงบสุข
คำพูดเหล่านี้เขาย่อมมิได้เอ่ยกับนาง ขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือข้างหน้าก็ซัดลงมาบนร่างนาง ผลักดึงนางไกลออกไป
ร่างกายของตู๋กูซิงหลันสูญเสียการควบคุม ลอยออกไปยิ่งทียิ่งห่างไกลปลายทางเมื่อครู่
นางได้แต่เบิกตามองดูคนทั้งสองที่นางคิดถึงอย่างที่สุดห่างออกไปทุกทีๆ
จนกระทั่งเมื่อคนทั้งสองมองไม่เห็นนางอีกแล้ว จีเฉวียนและซื่อมั่วจึงได้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าและข้าจะมีร่างเป็นหนึ่งเดียว” ซื่อมั่วมองดูเขา
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น ก็ปรากฏสายใยมากมายขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
บนเส้นใยสีดำลายทองห่อหุ้มเส้นใยสีม่วงเข้มเอาไว้ภายใน
เส้นใยเหล่านั้นคล้ายจะงอกเงยขึ้นมาจากปลายเท้าของคนทั้งสอง เส้นใยเหล่านั้นค่อยๆรวบแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังรัดรึงพวกเขาทั้งสองเข้าด้วยกัน
“ให้รูปลักษณ์ของเจ้าคงอยู่ต่อไปในใต้หล้า ให้พลังของเจ้าและข้า ปกป้องนางให้ปลอดภัยจนชั่วชีวิต”
ซื่อมั่วเอ่ยออกมา ร่างกายที่เดิมแตกร้าวอยู่แล้ว เมื่อถูกเส้นใยเหล่านั้นรัดรึงแน่นเข้าจึงยิ่งถูกบีบแตกอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นลำแสงระยิบระยับสีม่วงผนึกรวมเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียนอย่างรวดเร็ว
“เจ้าก็คือข้า ข้าก็คือเจ้า”
ทันทีที่ซื่อมั่วเอ่ยประโยคนี้ออกมา ร่างกายของเขาก็สลายไปจนหมดสิ้น
พลังทั้งหมดทั้งสิ้น ความทรงจำทั้งหมดทั้งมวลของเขา ทุกสิ่งที่เขามีล้วนหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียน
นี่จะต้องเป็นความรักอันลึกซึ้งถึงเพียงไหน ถึงได้ทำให้ผู้ที่เป็นถึงร่างหลักเช่นเขา นับจากนี้เป็นต้นไปจะขอยอมหลอมรวมทุกสิ่งไปอยู่ในร่างแบ่งภาคนี้
จากนี้ไปในใต้หล้าจะไม่มีซื่อมั่วอีกแล้วตลอดกาล
ก็เพราะว่าศิษย์น้อยที่ฟูมฟักเลี้ยงดูมาจนเติบโตนั้น ชอบจีเฉวียน
แสงสว่างทั้งหมดหลอมรวมเข้าไปในร่างกายของจีเฉวียน
รูปลักษณ์ของเขามิได้เปลี่ยนไป เพียงแต่เส้นผมยาวสลวยที่เคยดำดุจหมึกนั้นกลายเป็นสีม่วงทึบขึ้นมา
นั่นเป็นสีที่ซื่อมั่วชื่นชอบมากที่สุด
บาดแผลบนร่างของเขาสมานเข้าหากันอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ดวงตาหงส์ที่ลืมอยู่เพียงครึ่งเดียวในตอนแรก เปิดขึ้นจนหมดสิ้น ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายแสงสว่างเรืองรอง แม้แต่เส้นทางเล็กๆที่คดเคี้ยวไปมานั้นก็ยังสว่างจ้าขึ้นมาเช่นกัน
ประกายตาที่วาววามอยู่ในดวงตาคู่นั้น ก็มิได้เป็นของโอรสสวรรค์ต้าโจวที่มีแต่ความมืดครึ้มเช่นกาลก่อนอีกต่อไป
แต่มีความเยือกเย็นและสงบนิ่งของทั้งจีเฉวียนและซื่อมั่ว
ในขณะเดียวกัน ร่างที่มีเลือดเนื้อท่านเจ้าสำนักที่ยังอยู่ในสวนบุปผาวิญญาณ ก็สูญสลายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่เพียงโครงกระดูกสีขาวอยู่ใต้แสงดาว
เมื่อสายลมพัดมาอีกครั้ง โครงกระดูกสีขาวนั้นก็ลายกลายเป็นผงธุลี ร่วงลงสู่พื้นดินในสวนดอกไม้
ตั้นแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เขาก็เป็นเพียงตัวแทนที่จีเฉวียนและซื่อมั่วสร้างขึ้นมาเท่านั้น เป็นเพียงร่างแบ่งของพวกเขาทั้งสองที่คอยปกป้องอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน
ยามนี้เมื่อร่างหลักกลับคืนมา ทั้งพลังและความทรงจำทั้งหมดของร่างแทนนี้ย่อมกลับคืนสู่ร่างของพวกเขา
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงเปลือก สายลมพัดผ่านก็เหลือเพียงกระดูก จากกระดูกกลายเป็นละอองธุลี
ในใต้หล้าย่อมไม่มีท่านเจ้าสำนักจีต้าฉุยอีกต่อไป
ซื่อมั่วไม่เคยพูดปดกับศิษย์ของตนเองมาก่อน เขาเคยบอกไว้ รอจนศิลาโลหิตผลิบาน เขาก็จะกลับมา
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ศิลาโลหิตไม่อาจผลิบาน ก็เพราะไม่มีพลังวิญญาณมาเพียงพอ
ดวงจิตของเขามิได้สูญสลาย จะช้าหรือเร็วย่อมต้องกลับมา ศิลาโลหิตชิ้นนั้น ก็คือต้นกำเนิดร่างเนื้อของเขาที่ทิ้งเอาไว้ในใต้หล้านั่นเอง
เมื่อได้ดูดซับพลังวิญญาณอย่างพอเพียง ศิลาโลหิตก็จะสามารถสร้างร่างเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ รอจนเมื่อร่างเนื้อนั้นเติบโตอย่างสมบูรณ์ ดวงจิตของเขาก็จะกลับมารวมกับร่างเนื้อ
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ เขาได้มอบโอกาสในการ ‘กลับมาเกิดใหม่’ นั้น ให้กับจีเฉวียน
‘ร่างเนื้อ’ ที่กลับคืนมาก็เป็นรูปลักษณ์ของจีเฉวียนทั้งสิ้น
ส่วนตัวเขา ก็จะหลับไหลอยู่ในร่างเนื้อนี้ตลอดไป สิ่งที่จีเฉวียนคนใหม่จะได้รับถ่ายทอดไป ก็คือความทรงจำทั้งหมดสิ้นของเขา คือพลังทั้งหมดที่เขามี
เขาจะหลับลึกไปตลอดกาล หากไม่มีเรื่องยิ่งใหญ่ที่รุนแรงจนถึงขึ้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เขาก็จะไม่มีทางออกมาจาก ‘ร่างเนื้อ’ นั้นอีก
หรืออาจจะอธิบายได้ว่า พวกเขาทั้งสองกลายเป็นคนเพียงคนเดียว เพียงแต่มีรูปลักษณ์เป็นจีเฉวียนเท่านั้นเอง
ส่วนซื่อมั่วนั้น หากมิได้มีเรื่องหนักหนาใดๆ เขาก็จะหลับลึกอยู่ในร่างกาย ไม่ออกมาแก่งแย่งชิงการควบคุมร่างกายกับจีเฉวียน
ถึงจะบอกว่าคนหนึ่งคือร่างหลัก อีกคนคือร่างแบ่งภาค
แต่ว่าร่างแบ่งภาคเช่นจีเฉวียนนี้ช่างพิเศษเกินไปแล้ว เขามีความคิดและบุคลิกของตนเอง ทั้งสองต่างมีจุดที่แตกต่าง เหมือนดั่งว่ามีคนสองคนในร่างเดียวกัน
ดังนั้นซื่อมั่วจึงเป็นฝ่ายเลือกที่จะผนึก ‘ตัวตน’ ของตนเองเอาไว้
และมอบพลังกับความทรงจำทั้งหมดของตนเองให้กับร่างใหม่ที่กำลังถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งของพวกเขา
…………………
ในความฝัน ตู๋กูซิงหลันถูกฝ่ามือข้างนั้นของซื่อมั่วผลักใสไปจนไกล
เส้นทางสายเล็กๆที่เคยมืดมิด ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้สว่างจ้าขึ้นมา
นางยังไม่ทันได้มองเห็นเงาร่างของคนที่อยู่ในแสงสว่างได้ชัด ปลายเท้าก็ลอยคว้างอยู่ในอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ว่าร่วงหล่นลงไปเนิ่นนานเท่าไร นางถึงได้หอบหายใจจนร่างผวาขึ้นมานั่งบนเตียง ทั่วศีรษะมีแต่เหงื่อจนชุ่มโชก
เหงื่อมากมายทำเอาคอเสื้อของนางเปียกชื้นไปหมด
กระทั่งเมื่อได้เห็นดวงหน้าของจิ้งจอกที่งดงามเกินใดเทียบ นางถึงได้ดึงสติกลับมา รับรู้ว่าทั้งหมดเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง
แต่ว่าสัมผัสที่ได้จากความรู้สึกยามจับมือกับพวกเขาเมื่อครู่…..ช่างเหมือนจริง
ในความฝัน นางยังหยิกตนเองไปครั้งหนึ่ง เจ็บมากด้วย
ยามนี้ ซูจี่นั่งอยู่ที่ข้างเตียงของนาง ดวงตาจิ้งจอกจับจ้องมาที่นาง
“ตื่นแล้ว?”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง แต่ว่าพอตื่นขึ้นมาก็ได้พบกับคนงามอย่างพี่สาวต๋าจี่ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าจิตใจพอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“อืม” นางผงกศีรษะ กำลังคิดว่าจะขอให้นางเซ็นชื่อลงบนเสื้อผ้าของตนเองดีหรือไม่
แต่ว่า ทำไมอยู่ๆถึงได้รู้สึกเหมือนน่าอับอายขึ้นมาได้กัน
“ไม่รู้หรือว่าเกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว?” แววตาของซูจี่ไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย ฮ่องเต้หญิงผู้นี้ออกจะเกินความคาดหมายของนางไปเสียแล้ว
นับตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงตอนนี้ นางดูดซับพลังวิญญาณของบุปผาวิญญาณอยู่ตลอดทั้งคืน
ดอกไม้ทั่วทั้งสวนถูกดูดซับพลังไปจนห่อเ**่ยวไปหมดแล้ว ไม่หลงเหลืออยูอีกเลยแม้แต่ดอกเดียว ช่างไร้น้ำใจนัก
ว่าตามจริงแล้ว แม้แต่ซูจี่เองก็ยังไม่กล้ารับรองว่า หากนางดูดซับพลังวิญญาณไปมากมายถึงเพียงนี้ นางจะร่างระเบิดตายหรือไม่
แต่ว่าฮ่องเต้หญิงผู้นี้ นอกจากจะมีเหงื่อออกมาท่วมศีรษะแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติไป
แม้แต่พลังวิญญาณที่ดูดซับไป ก็ยังเหมือนก้อนหินที่จมลงสู่ก้นทะเล ไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เห็นอีก
ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วพลังวิญญาณเหล่านั้นจะไหลลงในถุงเฉียนคุนของตู๋กูซิงหลัน
แต่ว่าแสงจากพลังวิญญาณเหล่านั้นรุนแรงจนเกินไป แม้แต่ซูจี่เองก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้โดยง่าย จากมุมมองที่นางได้เห็น จึงดูเหมือนกับว่าลำแสงเหล่านั้นถูกดูดซับลงไปในร่างกายของตู๋กูซิงหลัน
คนที่พอหลับไปครั้งหนึ่งก็สามารถดูดซับพลังวิญญาณไปได้มากมายถึงเพียงนี้ แถมพอตื่นมาก็ยังไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้น ทำเอานางต้องทำความรู้จักใหม่เสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเองก็งุนงงอยู่เหมือนกัน นางก็แค่หลับฝันไปคืนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือ….ไม่ได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
…………………..