บทที่ 165 ไปด้วยกัน
บทที่ 165 ไปด้วยกัน
หลังจากทราบข่าวว่าเฮ่อหลานและคนอื่น ๆ กำลังจะไปก่างเฉิง จิงเจ้อหรงจึงคิดเร่งรัดงานทั้งหมด เพราะในวันที่ยี่สิบสองของเดือน เขาต้องหาเวลาไปโฮวซานให้ทันเวลา
เฮ่อหลานจึงรู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงมาหา
“คุณจิง ทำไมถึงมาที่นี่ได้คะ?” เธอได้ยินว่าช่วงนี้จิงเจ้อหรงยุ่งมากจึงไม่คิดว่าเขาจะมา ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว เขาควรจะกลับเมืองหลวงไปแล้วสิ
จิงเจ้อหรงมองเฮ่อหลานที่ดูงดงามขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพูดอย่างสิ้นหวัง “อาหลาน ผมได้ยินว่าคุณกำลังจะไปก่างเฉิง ผมเลยมาที่นี่เพราะอยากพบคุณ แต่… ถ้าผมไม่มา คุณไม่คิดจะบอกผมหน่อยหรือ? ผมนึกว่าคุณคิดจะบอกผมบ้างเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน…”
เมื่อเห็นความโศกเศร้าในแววตาของจิงเจ้อหรง เฮ่อหลานก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
ความจริงแล้วเธอลังเลมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมาว่าควรบอกจิงเจ้อหรงดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้บอกอะไร เพราะรู้สึกเขินอายและไม่กล้า แต่เมื่อเห็นท่าทีของจิงเจ้อหรงแล้ว เธอจึงรู้สึกผิดมาก “ความจริงแล้ว… ความจริงแล้ว ฉันก็อยากจะบอกคุณเหมือนกัน แต่ว่า… แต่…”
จิงเจ้อหรงที่กำลังเศร้าในคราวแรก ก็รู้สึกว่าตัวเองใจร้อนเกินไปหน่อย เมื่อเห็นว่าเฮ่อหลานอึก ๆ อัก ๆ เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็สนใจในตัวเองบ้างเหมือนกัน จึงรีบกล่าว “ถ้าคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องทำในอนาคต คุณต้องบอกผมนะครับ ตกลงไหม?”
หลังจากเห็นความคาดหวังและท่าทีกระตือรือร้นของชายหนุ่ม เฮ่อหลานจึงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ค่ะ”
หลังได้ยินหญิงสาวตอบกลับ อารมณ์ของจิงเจ้อหรงก็ดีขึ้นมาในทันที เขาให้เบอร์โทรศัพท์และที่อยู่กับเฮ่อหลานอีกครั้ง “ผมหวังว่าครั้งต่อไปคุณจะบอกผมนะครับ”
เฮ่อหลานกำข้อความเล็ก ๆ ในมือไว้พร้อมพยักหน้า “ได้ค่ะ”
หลังจากเห็นว่าเฮ่อหลานพยักหน้ารับ จิงเจ้อหรงอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องที่ค้างคาในใจ “อาหลาน… คุณ… คุณลองเรียกผมว่าอาเจ้อได้ไหม…?”
“เอ่อ คือฉัน…”
ด้วยสรรพนามที่สนิทสนมอย่างนี้ทำใบหน้าของเฮ่อหลานเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แต่เพราะครั้งนี้เธอไม่ได้บอกจิงเจ้อหรงว่ากำลังจะไปก่างเฉิง เธอจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย ในเวลานี้เธอพยายามอย่างหนักเพื่อจะอ้าปากและพูดมันออกไป “อะ… อาเจ้อ…” หลังพูดจบแล้ว เธอก้มศีรษะลงต่ำอย่างเขินอาย ไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
“อาหลาน…”
เมื่อได้ฟังเฮ่อหลานเรียกเขาอย่างนั้นแล้ว หัวใจของจิงเจ้อหรงอ่อนยวบในทันที เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวขาไปด้านหน้าจับมือเธอแล้วถามอีกครั้ง “อาหลาน ผมอยากคบกับคุณ ผมอยากแต่งงานกับคุณ คุณ… ต้องการที่จะ…?”
บางทีมันอาจเป็นเวลาที่เหมาะสม แต่เพราะดวงตาของจิงเจ้อหรงร้อนแรงเกินไป จนเฮ่อหลานตกตะลึง จิตใจของหญิงสาวสับสนก่อนจะพยักหน้าอย่างมึนงง ทันใดนั้นจิงเจ้อหรงกอดเธอเอาไว้แน่นจนตัวลอยแล้วพูดด้วยความตื่นเต้น “อาหลาน ผมสัญญา ผมจะดูแลคุณไปตลอดชีวิต”
“อะ… อาเจ้อ…”
เมื่อเห็นจิงเจ้อหรงอุ้มเธอขึ้นอย่างนี้ เฮ่อหลานก็ตัวสั่นเล็กน้อย เธอเข้าใจว่าเขากำลังตื่นเต้นและมีความสุขมาก เวลานี้จิตใจที่เคยสับสนของหญิงสาวก็พลันชัดเจน และคำพูดของเธอก็ไม่ติดขัดอีกต่อไป
“อาเจ้อ ฉันก็จะปฏิบัติต่อคุณอย่างดีเช่นกันค่ะ”
เฮ่อหลานไม่เคยคิดว่าเธอจะยอมรับใครได้อีก บางทีอาจเป็นโชคชะตาของทั้งสองคน บางทีจิงเจ้อหรงอาจจะดีเกินไป เธอจึงรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสถึงความรู้สึกนี้
ทั้งสองกอดกันอย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเฮ่อหลานก็ผลักจิงเจ้อหรงออกเบา ๆ
“รีบเข้าไปด้านในเถอะค่ะ เดี๋ยวซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ยจะตามหา พวกเธอกำลังจะกินข้าวกันอยู่”
จิงเจ้อหรงปล่อยเฮ่อหลานอย่างไม่เต็มใจพร้อมตอบว่า “ครับ”
หลังจากทั้งสองเข้าไปด้านใน คนอื่น ๆ ก็สัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองที่เปลี่ยนไป
ถังซวงอดไม่ได้ที่จะมองจิงเจ้อหรง เธอนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดอะไรกับแม่ของตน ทำไมตอนนี้แม่ของเธอถึงหน้าแดงก่ำ อีกทั้งยังดูอ่อนหวานและมีความสุขเปี่ยมล้นเสียเหลือเกิน หรือว่าทั้งสองตกลงคบกันแล้ว?
ก่อนที่ถังซวงจะพูดอะไร จิงเจ้อหรงจับมือของเฮ่อหลานพร้อมประกาศอธิปไตยของตนทันที “สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อจิงเจ้อหลง และผมจะเป็นสามีของเฮ่อหลานในอนาคต ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“คุณ…”
เมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงเปิดเผยสถานะระหว่างทั้งสองคน เฮ่อหลานที่ทั้งรู้สึกยินดีและเขินอาย คิดในใจว่าลูกสาวของเธอก็โตมากแล้ว แต่เวลานี้เธอกลับทำตัวเป็นเด็กสาวแรกรัก
หลังได้ยินแล้ว หลี่จงอี้พูดขึ้นเป็นคนแรก “ดี ๆ ยอดเยี่ยมมาก ฉันดีใจด้วยนะที่เห็นว่าพวกเธอสองคนลงเอยกันได้สักที”
ไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังของครอบครัวจิงเจ้อหรง แค่มองรูปลักษณ์ของเขาก็ดีมากแล้ว อีกอย่างนี่นับว่าเป็นโชคดีของเฮ่อหลานที่เธอได้พบเจอกับคนที่ดี เวลานี้เขารู้สึกเห็นด้วยมาก ๆ ที่ทั้งสองคนจะร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน
หลังจากถังซวงรู้สึกประหลาดใจในคราวแรก เธอไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มออกมา “แม่คะ ลุงจิง ยินดีด้วยนะคะ”
ส่วนถังเซวี่ยยิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมามากกว่าถังซวงมาก เธอวิ่งไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “แม่คะ แล้วในอนาคตลุงจิงจะเป็นครอบครัวเดียวกับเราใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้วจ้ะ”
จิงเจ้อหรงยิ้มและตอบทันที เขามองถังเซวี่ยแล้วพูดว่า “จากนี้ไป ฉันจะเป็น… พ่อของเสี่ยวเซวียเอง” เขารู้ดีว่าถังเซวี่ยโหยหาความรักจากพ่อมากแค่ไหน และเขาก็ชอบถังซวงและถังเซวียมากเช่นกัน นี่มันช้าเกินไปด้วยซ้ำ เขาอยากมีความสุขกับลูกสาวทั้งสองคนให้เร็วที่สุด
หลังจากได้ยินคำพูดของจิงเจ้อหรงแล้ว แววตาถังเซวี่ยก็เป็นประกาย เธอถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “จริงหรือคะ?”
“จริงสิ”
“อย่างนั้นเรียกคุณลุงจิงว่าพ่อได้ไหมคะ?”
จิงเจ้อหรงตอบอย่างมีความสุข “แน่นอน แต่ฉันคงหัวเราะจนตายแน่”
ยังไงเสีย ก่อนที่ถังเซวี่ยจะเรียกขานใครใหม่ ถังซวงอดไม่ได้ที่จะไอจากด้านข้าง “เสี่ยวเซวีย…”
ตอนนี้เฮ่อหลานและจิงเจ้อหรงยังไม่ได้แต่งงานกัน มันเร็วเกินไปถ้าจะเรียกอีกฝ่ายว่าพ่อ
เมื่อได้ยินเสียงของพี่สาว ถังเซวียสงบใจพร้อมกับปิดปากของตนทันที เพราะพี่สาวบอกว่าไม่เหมาะสม เธอค่อยเรียกเขาว่าพ่อในภายหลังก็ได้
ด้านจิงเจ้อหรงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองถังซวง ความจริงแล้วเวลานี้ก็เหมาะสมที่จะเรียกเขาว่าพ่อ เขากับอาหลานน่าจะได้สานสัมพันธ์กันเร็วกว่านี้ เขาจะเร่งกระบวนการจดทะเบียนสมรสและแต่งงานให้เร็วที่สุด
แต่ตอนนี้เฮ่อจื่อกุยไม่สามารถกล่าวคำใด แต่เมื่อเห็นสีหน้าเสียใจของจิงเจ้อหรงจึงหันไปมองอย่างสนใจ
“อาหลาน ความจริงแล้วเธอยังสามารถคิดเรื่องนี้ให้ดีได้ ผู้ชายที่ดีมีอีกมาก ไม่เห็นต้องรีบลงหลักปักฐาน อีกอย่างเดี๋ยวเราก็จะไปก่างเฉิงกัน เธออาจจะได้พบใครใหม่ที่นั่นก็ได้”
“พี่ใหญ่ ในที่สุดผมก็ได้คบกับอาหลานแล้ว โปรดเมตตาผมด้วยเถอะครับ”
เฮ่อจื่อกุยชำเลืองมองจิงเจ้อหรง แต่เมื่อได้ยินว่าจิงเจ้อหรงเรียกตนว่าพี่ใหญ่ เขาอ้าปากค้างทันที “ใครเป็นพี่ใหญ่ของนาย? อย่ามาพูดซี้ซั้ว!”
ส่วนเฮ่อเจียรุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อครับ ในเมื่อป้าหลานชอบลุงจิง พ่อก็อย่าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้อีกเลยครับ”
เฮ่อจื่อกุยรู้เรื่องนี้ดี เช่นนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
ส่วนโม่เจ๋อหยวนเองก็มองจิงเจ้อหรงด้วยความอิจฉา เขาไม่คิดว่าคราวนี้ลุงจิงจะประสบความสำเร็จมาก่อน
วันที่สามของจิงเจ้อหรงในการมายังโฮวซาน ทั้งสามแม่ลูกก็ได้ติดตามเฮ่อจื่อกุยและลูกชายของเขาไปก่างเฉิง…