บทที่ 178 ไม่ค่อยเหมาะสม
บทที่ 178 ไม่ค่อยเหมาะสม
เมื่อได้ยินคำพูดของถังเซวี่ย หญิงสาวตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้น เธอคือจูรุ่ย…
“คุณ… คุณคือลูกสาวคนเล็กของคุณเฮ่อนี่นา… สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจูรุ่ย”
หลังได้ยินอย่างนั้น ถังเซวี่ยยกยิ้มสดใสก่อนจะตอบว่า “สวัสดีค่ะ ฉันถังเซวี่ย”
หลังเห็นรอยยิ้มสดใสและมีชีวิตชีวาของถังเซวี่ยแล้ว จูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณถัง คุณสวยมากเลยค่ะ”
ถังเซวี่ยรู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้ยินคนอื่นเรียกเธอว่าคุณ… ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงตรงหน้าที่อายุไม่ได้ต่างไปจากเธอ “เอ่อ คุณจูเรียกฉันว่าเสี่ยวเซวี่ยก็ได้นะคะ ทุกคนก็เรียกแบบนั้น”
โดยปกติแล้วคงไม่มีใครอยากคุยกับจูรุ่ย แต่เมื่อเห็นความใจดีของถังเซวี่ยแล้ว เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มแล้วตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเรียกคุณว่าเสี่ยวเซวี่ยนะคะ อ้อ แต่หลังจากนี้อย่าเรียกฉันว่าคุณจูเลยค่ะ เรียกฉันว่าเสี่ยวรุ่ยแทนนะคะ”
“ตกลงค่ะ ได้เลยเสี่ยวรุ่ย…”
ถังเซวี่ยมีความสุขมากที่ได้เพื่อนใหม่ในงานเลี้ยง หลังจากนั้นเธอคุยกับจูรุ่ยอย่างถูกคอ และเมื่อเธอพบว่าจูรุ่ยอายุยี่สิบปียิ่งประหลาดใจ “ฉันคิดว่าเธอจะอายุไล่เลี่ยกับฉันซะอีก หลังจากนี้ฉันต้องเรียกว่า พี่เสี่ยวรุ่ยสินะคะ”
จูรุ่ยโบกมือพร้อมตอบกลับ “ไม่ต้องหรอก เรียกว่าเสี่ยวรุ่ยเฉย ๆ ก็ได้ เราอายุห่างกันแค่ไม่กี่ปีเอง”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ยินยอมของจูรุ่ย ถังเซวี่ยตอบกลับอย่างว่าง่าย “ตกลงค่ะ งั้นฉันจะเรียกว่าเสี่ยวรุ่ยเหมือนเดิม”
ทั้งสองยิ้มให้กันก่อนจะเดินออกไปหาอะไรกิน
“เสี่ยวรุ่ย มีสถานที่ไหนน่าสนใจในก่างเฉิงบ้างหรือ? ฉันกับพี่สาวออกไปซื้อของไม่กี่วันผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้ไปเที่ยวสถานที่สำคัญ ๆ เลย”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว จูรุ่ยรีบแนะนำทันที แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร จูเหลียนเดินตรงเข้ามาพร้อมกับพวกพ้องสองคน “โอ้… น้องสาวที่แสนดีของฉัน อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย นี่เธอยังไม่อิ่มอีกหรือ? มาเพื่อกินและกินจริง ๆ ทำตัวแบบนี้ตระกูลจูจะอับอายรู้ไหม?”
แม้จะเป็นงานเลี้ยง แต่ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ พวกเขาไม่ได้กินมากเกินไปนัก แต่ในจานของจูรุ่ยเต็มไปด้วยของว่างและอาหารต่าง ๆ เห็นชัดว่าเธอมาที่นี่เพื่อกิน
หนึ่งในคนที่ยืนอยู่ข้างจูเหลียนคือหลิวหลิงหลิง เธอมองจูรุ่ยแล้วพูดว่า “เธอกล้าพูดได้ยังไงว่าตัวเองคือลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลจู ดูท่าทางของเธอซะก่อนสิ จะเอามาเปรียบเทียบกับเสี่ยวเหลียนได้ยังไง?” แม้จูเหลียนจะแก่กว่า แต่จูรุ่ยคือลูกสาวของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นเธอจึงเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลจูโดยสมบูรณ์ แต่จูเหลียนที่แก่กว่าต้องกลายเป็นลูกคนที่สองแทน สิ่งนี้ทำให้หลิวหลิงหลิงไม่ค่อยพอใจนักในฐานะเพื่อน
“ฉัน… ฉัน…”
จูรุ่ยกำลังจะร้องไห้ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าต้องมาร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฮ่อ แต่เธอก็ไม่รู้เวลาที่แน่นอนนัก ปกติแล้วเธอจะคุ้นเคยกับการเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ จัดการตัวเองด้วยการตื่นแต่เช้า และเมื่อเธอกำลังจะกินข้าว จูเหลียนก็ลากเธอออกไปแต่เช้าจนทำให้เธอไม่มีเวลากินข้าว
ถังเซวี่ยมองฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจก่อนจะพูดว่า “ก็ในเมื่ออาหารถูกเตรียมไว้ มันก็เอาไว้สำหรับกิน ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นกับเสี่ยวรุ่ย ฉันก็รับประทานอาหารที่นี่ด้วยเหมือนกัน งั้นฉันทำให้ตระกูลเฮ่อขายหน้าด้วยสิ?”
เมื่อจูเหลียนและคนอื่น ๆ ได้ยิน ทั้งหมดก็หันมองถังเซวี่ย
แน่นอนว่าตอนนี้ถังเซวี่ยคือคนของตระกูลเฮ่อ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สมควรพูดจารุนแรง แต่ความขุ่นเคืองต่อถังเซวี่ยที่พวกเขามีไม่เทียบเท่ากับถังซวง ดังนั้นจูเหลียนและหลิวหลิงหลิงจึงไม่ได้สนใจเธอมากนัก
“คุณถัง พวกเราไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะคะ”
“แล้วหมายความว่ายังไง? ไม่เห็นหรือว่าพวกเรากินข้าวกันอยู่ แล้วของพวกนี้มีไว้สำหรับกิน เราจึงกินมัน แต่พวกคุณกลับบอกว่าเรามาที่นี่เพื่อกินและกิน ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกคุณคิดอะไรอยู่”
ถังเซวี่ยรู้สึกไม่ดีกับจูเหลียนและหลิวหลิงหลิงตั้งแต่การแข่งม้าคราวก่อนแล้ว และวันนี้เธอได้เห็นทั้งสองกลั่นแกล้งจูรุ่ยด้วยตาของตนเอง จึงยิ่งไม่ชอบพวกเธอมากขึ้นไปอีก
“เธอ… ถึงของพวกนี้จะมีไว้สำหรับกิน แต่ใครจะมากินมากในงานเลี้ยงที่มีการเต้นรำอย่างนี้ ฉันแค่กลัวว่าพวกเธอจะกินมากเกินไปจนไม่สามารถเต้นรำได้ต่างหาก” เมื่อเห็นว่าถังเซวี่ยพูดไม่ไว้หน้าพวกเธอ หลิวหลิงหลิงอารมณ์เสียทันที
“เธอ…”
ถังเซวี่ยรู้อยู่แล้วว่าจะมีงานเต้นรำในภายหลัง แต่เธอไม่รู้วิธีเต้นและไม่ได้วางแผนว่าจะเข้าร่วมด้วย แต่ถ้าเธอพูดมันออกไป มันจะกลายเป็นว่าเธอจะถูกหัวเราะเยาะแน่
และเวลานี้ถังซวงเดินตรงเข้ามา เหลือบมองจูเหลียนและคนอื่น ๆ แล้วถามถังเซวี่ยว่า “เสี่ยวเซวี่ยเกิดอะไรขึ้น? ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลย”
ถังเซวี่ยพูดเรื่องทั้งหมดออกไปก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ “ฉันหิวแต่กลับมีคนมาขวาง แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ได้วางแผนจะไปเต้นรำด้วยซ้ำ”
ถังซวงลูบศีรษะของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าถ้าเธออยากกิน ก็กินได้เต็มที่เลย” เธอหันไปมองจูรุ่ยที่อยู่ด้านข้าง
ถังเซวี่ยรีบแนะนำ “พี่คะ นี่จูรุ่ย เพื่อนใหม่ของฉันเอง เธอก็หิวเหมือนกัน เราเลยกินข้าวด้วยกัน”
“อื้ม งั้นพวกเธอกินข้าวกันต่อเถอะ”
“ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าพี่สาวมาแล้ว ถังเซวี่ยรู้สึกใจมั่นใจขึ้นมาและอยากกินต่อ เวลานี้จึงดึงแขนจูรุ่ยมานั่งด้านข้างด้วย
จูรุ่ยกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของถังเซวี่ยแล้ว เธอมองถังซวงด้วยความสงสัย คราวแรกเธอคิดว่าจูเหลียนจะต่อว่า แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไรเลย และเมื่อถังซวงเข้ามา เธอก็พาเพื่อนออกไปทันที
หลังจูรุ่ยเห็นอย่างนี้แล้ว เธอก็มองถังซวงด้วยความประหลาดใจ และคิดว่าถังซวงคนนี้น่าประทับใจมาก
ด้านถังเซวี่ยที่มีความสุขกับอาหารก็หันกลับมาคุยกับจูรุ่ยอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่พี่สาวของตนเอาชนะจูเหลียนได้ในครั้งล่าสุด
“โอ้โห… พี่สาวของเธอเก่งมากจริง ๆ”
จูรุ่ยมองถังซวงด้วยความชื่นชมมากกว่าเดิม
“อืม พี่สาวของฉันเก่งมากเลย”
หลังจากนั้นภายในงานเลี้ยง จูเหลียนไม่ปรากฏตัวอีกเลย และถังซวงกับถังเซวี่ยก็ไม่เข้าร่วมงานเต้นรำเช่นกัน เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง ทั้งสองติดตามเฮ่อหลานและพานลี่ฮวาออกไปส่งแขก แล้วค่อยกลับไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น ถังซวงตื่นแต่เช้าเพื่อออกกำลังกาย และเมื่อกลับถึงบ้านก็ได้รับโทรศัพท์จากเฉินกวงหยาง ซึ่งทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย
[สวัสดีค่ะพี่เฉิน มีอะไรรึเปล่าคะ?]
เฉินกวงหยางยิ้มแล้วตอบว่า [ไม่มีอะไร แต่พอดีผู้เฒ่าฉีรู้ว่าเธอไปก่างเฉิง เขาเลยให้ฉันโทรหาเธอน่ะ]
[หืม… เกิดอะไรขึ้นกับผู้เฒ่าฉีรึเปล่าคะ?]
[ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผู้เฒ่าฉีแค่อยากขอรบกวนให้เธอไปที่ไหนสักแห่ง]
[ที่ไหนคะ?]
ถังซวงรู้สึกสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าผู้เฒ่าฉีเคยมาที่ก่างเฉิง?
เฉินกวงหยางกล่าวต่อ [สถานที่นั้นเป็นทรัพย์สินของผู้เฒ่าฉี เป็นบริษัทขนส่ง แต่ในปีที่ผ่านมาเขาจะเดินทางไปที่นั่นเพื่อรวบรวมหนังสือบัญชีย้อนหลัง แต่ว่าตอนนี้เธออยู่ที่นั่นพอดี ฉันอยากรบกวนให้เธอนำหนังสือบัญชีพวกนั้นกลับมาน่ะ]
[เรื่องนี้… ไม่ค่อยเหมาะสมมั้งคะ]
สิ่งของอย่างบัญชีแยกประเภทพวกนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว และคงไม่ดีนักหากข้อมูลภายในรั่วไหลออกมา