แม้จะบอกว่าเป็นการซึมซับ แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่า ไอทิพย์จากดวงดาวเหล่านั้น ถูกวังและตำหนักของแดนสวรรค์สูบพลังออกมา
นางปิดประตูลง เปิดหน้าต่างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ในห้องมีเพียงเตียงหลังหนึ่งและของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
โดยพื้นฐานแล้วพวกเทพบนสวรรค์ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่จำเป็นจะต้องกินอาหาร และไม่ต้องการการพักผ่อน
สิ่งที่พวกเขาต้องการ ก็คือไอทิพย์หรือพลังวิญญาณนั่นเอง
ดูดซับไอทิพย์เหล่านั้นเข้าไปในร่างกายอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณของตนเอง ยิ่งต้องการไอทิพย์จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างความเสถียรให้กับการคงอยู่ของแดนสวรรค์
และเพราะมีพลังเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถรักษาสถานะของผู้ปกครองทั้งหกภพภูมิไปได้ตลอดกาล
ส่วนดวงดาวที่ถูกพันธนการเอาไว้เหล่านั้น ผิวนอกของมันล้วนแตกราวออกมา ราวกับร่างที่ถูกโซ่ตรวนรัดและบีบเค้นเอาไว้อยู่ตลอด จนต้องจำต้องยอมส่งมอบไอทิพย์ออกมา
ในบรรดาดวงดาวเหล่านั้น มีอยู่ดวงหนึ่งที่มีสีน้ำเงินดูคล้ายกับดาวโลกอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันมองดูโซ่พลังวิญญาณที่ร้อยรัดดาวเหล่านั้น สำหรับพวกมันแล้ว ก็มิได้ต่างอะไรกับโซ่เหล็กเลยแม้แต่น้อย
อยู่ๆในสมองของตู๋กูซิงหลันก็คิดไปถึงคำพูดของเสือดำขึ้นมา
ในยุคของพี่สาวต๋าจี่ เผ่ามนุษย์ก็ต้องถวายบรรณาการแด่เผ่าเทพอยู่เสมอ
ภาพที่เห็นในตอนนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกว่า ดวงดาวเหล่านั้นก็กำลังถูกบังคับให้ส่งมอบสิ่งที่มีออกมาเช่นกัน
พลังพิภพและฟ้าดินของดวงดาว ก็คือของขวัญและสิ่งล้ำค่าที่สุดของทุกชีวิต ไม่มีแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไม่แบ่งแยกชนชั้นต่ำสูง
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิต
หากว่าพิภพที่ใด หรือดาวดาวใดพลังชีวิตสูญสิ้น ผลลัพธ์ที่ต้องเผชิญก็คือความล่มสลาย
วิธีการของแดนสวรรค์ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้เลยว่ากำลังผลักดาวเหล่านี้ไปสู่ความล่มสลาย
เมื่อดาวดวงหนึ่งแตกดับ สิ่งมีชีวิตมากมายก็ต้องสูญสิ้นไปด้วย
เทพที่สูงส่งอยู่เบื้องบน กลับเอาแต่มองดูผู้อื่นเป็นมดปลวกเบื้องล่างอย่างปราศจากน้ำใจใดๆทั้งสิ้นอยู่เสมอ
แล้วยังจะคงเรียกขานว่าเป็นเทพอีกได้อย่างไร
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านี้ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันและน่าอนาถใจไปพร้อมๆกัน
แต่ว่านางในตอนนี้ ก็ไม่มีกำลังจะไปทัดทานเช่นกัน
ในเมื่อนอนไม่หลับตลอดคืน
นางก็ได้แต่นั่งสมาธิอยู่บนเตียง
พอถึงวันใหม่ฟ้าสว่าง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องของนาง
เป็นนักรบสวรรค์ที่คอยรับตัวนางที่หน้าบันไดคู่นั้น
คนหนึ่งสูงผอมเรียกว่า หยูเซิน อีกคนที่ดูแข็งแกร่งกว่าหน่อยเรียกว่า สือจี่
เมื่อทั้งสองได้เจอนาง สีหน้าก็มิได้มีความยินดี
หยูเซินพอยกมือขึ้นมาก็โยนกุญแจดอกหนึ่งให้นาง “วันนี้เป็นเวรของเจ้าไปป้อนอาหารให้เจ้านกยักษ์”
กุญแจดอกนั้นมีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือของผู้หนึ่ง หนักพอสมควรเลยทีเดียว
เจ้านกยักษ์……
ตู๋กูซิงหลันทบทวนความทรงจำอยู่ชั่วขณะ ก็นึกได้ว่ามันคือเจ้าตัวที่ใช้กรงเล็บแทงละทุอกของท่านอาจารย์ไปนั่นเอง
“ข้าพึ่งจะกลับขึ้นมา แถมยังสูญเสียมือไปข้างหนึ่ง นกยักษ์ตัวนั้นดุร้ายโหดเ**้ยม ข้าจะป้อนอาหารมันได้อย่างไร?”
นางถือกุญแจเอาไว้ ด้วยท่าทางที่เหมือนคนจนปัญญาผู้หนึ่ง
หยูเซินยิ้มออกมาในทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านักรบสวรรค์มีฐานะสูงส่งเพียงไร นักรบสวรรค์ตั้งมากตั้งมายเดินทางลงไปพร้อมๆกับเจ้า แต่ว่าลูกหลานของพวกกบฏต่ำทรามอย่างเจ้ากลับยังรอดกลับมาเพียงผู้เดียว ให้เจ้าไปป้อนอาหารนกยักษ์ยังจะถือว่าลำบากเจ้าอีกหรือ?”
“ใช่แล้ว เหล่าพี่น้องของพวกเรากลับต้องสละชีพไป!” สือจี่ยิ้มเย็นชาออกมา
“อย่าได้คิดว่ามีนายท่านคุ้มครอง เจ้าก็จะสามารถอยู่ในแดนสวรรค์ได้อย่างสุขสบาย ดูให้ดี บนแดนสวรรค์แห่งนี้ มีผู้ใดมิใช่ผู้ยอดเยี่ยมกัน เป็นแค่สวะจากโลกเบื้องล่างแท้ๆ จะมาเสแสร้งทำสูงส่งอันใด!”
สือจี่พูดพลาง ก็ผลักใส่ตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันมิได้หลบหลีก นางเพียงแต่รับเอาไว้ถ่ายเดียว
ฝ่ามือนี้มีพละกำลังมิใช่น้อย กระแทรกใส่ทรวงอกจนอึดอัดไปหมด
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับนักรบสวรรค์ ในระยะประชิด พอทนรับฝ่ามือนี้ไปก็สามารถประเมินพลังของนักรบสวรรค์ได้
แม้มิได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ แต่ว่าพลังนี้ก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ
ในเมื่อได้รับไอทิพย์จากดวงดาวต่างๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะอ่อนแอได้อย่างไร?
‘ร่างกาย’ ของนางโอนเอนไปมาอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยกลับมายืนได้อย่างมั่นคง
แววตาเผยความ ‘ไม่ยอมสยบ’ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ดูท่าแล้ว วันเวลาในแดนสวรรค์ของ เจ้าพ่อพันธุ์ม้าคงมิได้สุขสบายสักเท่าไร คำพูดเมื่อครู่ทำให้นางจับประเด็นสำคัญได้ขึ้นมา
‘ลูกหลานของพวกกบฏต่ำทราม’
ข่าวสารนี้วิเคาระห์ได้ถึงสามส่วน
ประการแรก: ซือเป่ยมิได้ปิดบังฐานะของเยี่ยเฉิน
ประการที่สอง: ซือเป่ยมีอำนาจมากพอที่จะคุ้มครอง ‘ลูกหลานกบฏ’ เช่นเขา แสดงว่าฐานะของซือเป่ยในแดนสวรรค์จะต้องแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
ประการที่สาม: กบฏพวกนั้น คือบิดาคนงาม หรือว่าหวาชางสุ่ย?
ก่อนหน้านี้บิดาคนงามก็เคยเล่าเรื่องของหวาชางสุยเอาไว้บ้าง ตระกูลของหวงชางสุยคือเผ่าเทพของแดนสวรรค์ ต่อมากระทำความผิด ทั้งตระกูลจึงถูกล้มล้าง นางที่เป็นลูกหลานของนักโทษจึงถูกส่งมาแต่งงานกับบิดาคนงาม
ส่วนบิดาคนงามนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับความชื่นชมจากพวกเผ่าเทพบนสรวงสรววค์อยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะถูกบีบบังคับอย่างหนักหน่วงให้ต้องกักบริเวณอยู่แต่ในก้นทะเลลึกหรอกหรือ?
“ที่นี่คือแดนสวรรค์ ทำอะไรก็รู้จักเจียมตนสักหน่อย จะได้ใช้ชีวิตดีๆกับเขาได้บ้าง ไอ้ลูกผสม สั่งให้เจ้าทำงานอะไร เจ้าก็ต้องรู้จักวิ่งให้คล่องหน่อย” หยูเซินสองมือกอดอกไว้ แววตามีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม
ตู๋กูซิงหลันกำกุญแจดอกนั้นเอาไว้แน่น กัดฟันกรอด ด้วนท่าทางเสมือนว่า ‘ข้ายังทนได้ ต่อให้ข้าต้องถูกเหยียดหยามสักเท่าไหร่ก็ยังคงทนได้’
สองคนนั้นคร้านที่จะพูดกับนางให้มากความ
“อ้อ มันต้องกินปลามังกรที่สดใหม่ เจ้าต้องไปจับที่สายธารดวงดาว อย่าให้น้อยกว่าร้อยตัวเล่า”
“นกยักษ์ต้องได้กินอาหารตรงเวลาทุกๆวัน หากว่าไปสาย เจ้าก็จงเป็นอาหารของมันเสียเถอะ!”
ทั้งสองยกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มไม่แยแสออกมา
จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาพลางเดินจากไป ทอดทิ้งตู๋กูซิงหลันเอาไว้ที่เดิม
นางกำลังหาข้ออ้างในการออกไปสำรวจให้ทั่วไม่ได้อยู่พอดี มิใช่หรือ?
หากนางวิ่งไปทั่วแดนสวรรค์แล้วถูกจับได้ขึ้นมามีหวังแก้ตัวไม่ออก เมื่อมีภาระหน้าที่ ‘ป้อนอาหารเจ้านกยักษ์ ’ ย่อมสะดวกต่อการเคลื่อนไหวแล้ว
สายธารดวงดาว
ในความทรงจำของเยี่ยเฉิน สายธารดวงดาว อยู่ที่ฝากตะวันตก
แดนสวรรค์มีแม่น้ำสวรรค์เพียงสายเดียว ไหลจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางย่อมสามารถท่องไปทั่วแดนสวรรค์รอบหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันกำกุญแจในเมื่อเอาไว้แน่น สวมหมวกเกราะของนักรบสวรรค์ลงไป หยิบหอกที่วางอยู่ในห้องของเยี่ยเฉินออกมาเล่มหนึ่งก็ทะยานออกไปในทันที
ยามที่ผ่านไปทางตำหนักของซือมิ่งนางยังหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อคืนนี้ นางใช้ยันต์โลหิตไปชิ้นหนึ่ง เป็นยันต์ติดตาม
บนนั้นยังมีเส้นผมของต้าซือมิ่งเส้นหนึ่งอยู่ด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ทิ้งมันไป แต่เก็บ
สิ่งนั้นเอาไว้ในถุงเฉียนคุน
บนแดนสวรรค์ แม้แต่การจะใช้ยันต์นางก็ยังระมัดระวัง ดังนั้นพอลงมือก็เลือกใช้ยันต์โลหิตแต่แรก
หากว่าดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งอยู่ในตำหนักของตนเอง ยันต์ติดตามย่อมกลับมาแจ้งแล้ว
หลังหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์ล้วนมีเอกลักษณ์ ขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ระหว่างตำหนักต่างๆมีระยะห่างระหว่างกันประมาณหลายพันเมตร
แต่เพราะทุกคนต่างใช้วิธีเหาะเหินอยู่ตลอดเวลา ระยะห่างหลายพันเมตรนี้จึงไม่นับว่าไกล
ตำหนักของซือมิ่งค่อนไปทางตะวันตก เป็นตำหนักเล็กสามแห่งเชื่อมเข้าหากัน แยกได้เป็น ตำหนักเฉี่ยนหยุนกง ตำหนักผีซากง และตำหนักซานชิงกง
ชื่อของตำหนักเล่านี้ฟังดูแล้วช่างคุ้นเคยอยู่บ้าง ตู๋กูซิงหลันลองทบทวนดูอยู่ครู่หนึ่ง
ดูเมื่อว่าในตำนานเทพยาดาของโลกปัจจุบันมีบันทึกอยู่
นอกจากสามตำหนักเล็กแล้ว ก็ยังมีตำหนักกลางหลังใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
ตำหนักโตวซ่วยกง
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
ตำหนักโตวซ่วยกงที่มีชื่อในการหลอมยาตันนะหรือ?
นางเหลือบมองดูด้วยความประหลาดใจอีกหลายครั้ง
ขณะที่กวาดตามองไป พอดีได้เห็นเทพธิดาในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังเดินออกมา
เส้นผมทั้งหมดถูกหวีสางจนเรียบกริบ ไม่มีหลุดลุ่ย เหนือศีรษะมีรัศมีสีขาวกระจายออกมา ชุดของนางพริ้วไปในสายลม ดูแล้วน่ามองอย่างยิ่ง
……………………