บทที่ 258 ส่งการ์ดเชิญ
EnjoyBook
บทที่ 258 ส่งการ์ดเชิญ
จิงเจ้อหรงเย็นชามากเมื่อเห็นหยางซู่
“ฉันมีเรื่องต้องทำที่นี่น่ะ”
เมื่อเห็นจิงเจ้อหรงเย็นชาอย่างนี้ หยางซู่ก็อดหัวเราะไม่ได้ ที่อีกฝ่ายเป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะเขาเองที่พาเหม่ยหยิงตงมาเจอจิงเจ้อหรงโดยไม่ได้บอกกล่าว และเฮ่อหลานบังเอิญมาพบเข้า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิงเจ้อหรงจึงห่างเหินกันไป แต่พอเห็นว่าเฮ่อหลานมาด้วย จึงรีบกล่าวทักทาย
“พี่สะใภ้ของผมก็มาด้วยนี่เอง พวกคุณมาเมืองหลวงด้วยกันหรือครับ?”
เฮ่อหลานยกยิ้มให้หยางซู่ ทว่าเธอไม่ได้พูดอะไรมากนักเพียงตอบสั้น ๆ ว่า “ค่ะ เรามาด้วยกัน”
“พี่สะใภ้ อย่างนั้นให้เจ้อหรงพาคุณเที่ยวเล่นรอบเมืองหลวงเถอะครับ”
น้ำเสียงของเขามีความปรารถนาดีอยู่ในนั้น
เขาได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นกับเหม่ยหยิงตง และเขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างประหลาด เพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่เหม่ยหยิงตงไปพบจิงเจ้อหรง เวลานี้เขาจึงต้องคิดไตร่ตรองให้มากและไม่ต้องกล่าวถึงเหม่ยหยิงตงอีก เพราะอีกฝ่ายคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกต่อไป และหลังจากนี้เฮ่อหลานจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้ยืนเคียงข้างกับจิงเจ้อหรง
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางซู่แล้ว จิงเจ้อหรงพูดออกไปตามตรงว่า “อืม ฉันต้องพาอาหลานไปเดินเล่นก่อน วันนี้ฉันไม่ค่อยว่าง ขอตัวก่อนแล้วกัน”
เมื่อมองแผ่นหลังของจิงเจ้อหรงและเฮ่อหลานที่กำลังจากไป สีหน้าของหยางซู่กลายเป็นมืดมน สุดท้ายแล้วตระกูลหยางก็เทียบตระกูลจิงมากเกินไป
แม้เขาจะคิดยังไงก็ต้องอดกลั้นและเก็บกลืนไว้ในใจ เวลานี้หยางซู่ไม่มีอารมณ์จะเดินซื้อของอีกต่อไป ชายหนุ่มกลับบ้านไปในทันที
เมื่อเห็นหยางซู่กลับมาแล้ว คุณชายหยางขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ฉันไม่ได้บอกให้แกไปซื้อไวน์หรือ ทำไมกลับมามือเปล่า?”
หลังได้ยินอย่างนั้น หยางซู่จึงจดจำได้ว่าตนเองไปที่ห้างเพื่อซื้อไวน์ แต่หลังจากได้พบกับจิงเจ้อหรงเขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “พ่อครับ เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้ใหม่”
“เป็นอะไรไป สติไม่อยู่กับร่องกับรอยเลยหรือไง”
เมื่อคุณชายหยางเห็นหยางซู่เป็นอย่างนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่า
หยางซู่ตอบกลับอย่างรำคาญ “พ่อครับ ตอนนี้ผมเบื่อมาก อย่าเพิ่งเซ้าซี้อะไรเลย” เขากลับมาพักผ่อนที่บ้านในวันหยุด แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอจิงเจ้อหรงด้วย
คุณชายหยางรู้ดีว่าลูกชายของตนกำลังเป็นทุกข์กับเรื่องอะไร เขาจึงทำได้เพียงพูดออกไปอย่างไม่พอใจ “แล้วใครขอให้แกตัดสินใจแบบนั้น? แกกับจิงเจ้อหรงรู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก สนิทกันขนาดนั้นแท้ ๆ แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะแกทำตัวเอง”
“แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าจิงเจ้อหรงจะคิดจริงจังกับหญิงม่ายคนนั้น? ถึงจะสวยแค่ไหน แต่เธอไม่คู่ควรกับจิงเจ้อหรงสักนิด เพราะงั้นผมเลยคิดว่าเหม่ยหยิงตงจากตระกูลเหม่ยเหมาะสมกับเขามากกว่า ทว่าใครจะไปรู้ว่าจิงเจ้อหรงจะโกรธมากอย่างนี้”
เขารู้จักกับจิงเจ้อหรงตั้งแต่ยังเด็ก และรู้ถึงนิสัยใจคอของจิงเจ้อหรงดี ความจริงแล้วเขาอิจฉาจิงเจ้อหรงเสมอมา และไม่คิดมาก่อนว่าเฮ่อหลานจะสำคัญกับจิงเจ้อหรงมากขนาดนั้น
เวลานี้คุณนายหยางเดินเข้ามา เมื่อเห็นพ่อและลูกชายกำลังโต้เถียงกัน เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพราะเห็นว่าทั้งสองพูดคุยกันเรื่องของจิงเจ้อหรงอยู่ “อ้อ ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันได้รับการ์ดเชิญจากตระกูลจิง มันเขียนว่าจิงเจ้อหรงกำลังจะแต่งงานสิ้นปีนี้”
“อะไรนะ…”
หยางซู่อุทานออกมาก่อนจะรีบถาม “จิงเจ้อหรงกำลังจะแต่งงานสิ้นปีนี้หรือครับ? แต่งกับใครครับ?”
“ผู้หญิงชื่อเฮ่อหลาน ได้ยินว่าจิงเจ้อหรงเลือกด้วยตนเองเลยนะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หยางซู่รู้สึกประหลาดใจมากและก็ได้เข้าใจบางอย่าง
“เฮ้อ… เป็นเฮ่อหลานจริง ๆ หรือเนี่ย ไม่คิดเลยว่าตระกูลจิงก็จะเห็นดีเห็นงามด้วย ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าตระกูลจิงยอมให้จิงเจ้อหรงแต่งงานกับเฮ่อหลานได้ยังไง”
เมื่อคุณนายหยางได้ยินอย่างนั้น เธออดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ทำไมหรือ? เฮ่อหลานคนนั้นเป็นยังไง?”
ขณะที่หยางซู่กำลังจะพูด เขาก็นึกถึงท่าทีเย็นชาของจิงเจ้อหรงในเวลานั้น พลันขนลุกราวกับมีน้ำเย็นสาดศีรษะ เขารีบส่ายหน้าพร้อมกับตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมได้ยินว่าเฮ่อหลานอายุมากกว่าจิงเจ้อหรงก็เท่านั้น”
“มันยังไงกันแน่?”
คุณนายหยางเอ่ยถามอย่างรวดเร็วเพราะไม่เชื่อ
ในเวลานี้ ตระกูลอื่น ๆ ในเมืองหลวงล้วนแต่ได้รับคำเชิญจากตระกูลจิงเช่นเดียวกัน
และเกือบทั้งเมืองหลวงทราบแล้วว่าจิงเจ้อหรงกำลังจะแต่งงาน แน่นอนว่ามีคนที่ได้รับทราบข่าวลือ ทำให้พวกเขายิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเฮ่อหลานมากขึ้น
ส่วนเฮ่อหลานที่ไม่รู้เลยว่าคุณนายจิงส่งการ์ดเชิญไปอย่างล้นหลาม และเธอไม่รู้ด้วยว่าผู้คนในเมืองหลวงต้องการเห็นใบหน้าของตนมากแค่ไหน
เวลานี้เธอดึงแขนของจิงเจ้อหรงแล้วพูดว่า “อาเจ้อ ฉันไม่อยากซื้อของแล้วค่ะ มันเยอะแล้ว พอเถอะค่ะ” ทั้งสองเดินซื้อของมาตลอดทั้งวัน และพวกเขาได้กินอาหารกลางวันในร้านที่อยู่ใกล้เคียง
“งั้นเราไปดูตรงนั้นกันดีกว่า”
เมื่อเห็นถุงมากมายในมือของจิงเจ้อหรง เฮ่อหลานก็รู้ได้ว่าจิงเจ้อหรงชอบใช้เงินมากแค่ไหน ตอนนี้เธอเดินรอบห้างสรรพสินค้าทั้งหมดแล้ว และไม่คิดจะซื้ออะไรอีก
“อาเจ้อ ฉันซื้อเสื้อผ้าเยอะเกินไปแล้วค่ะ ไม่อยากจะซื้ออีกแล้ว และ…”
ในตอนท้าย เฮ่อหลานเดินเข้ามาใกล้จิงเจ้อหรงแล้วกล่าวกระซิบว่า “เสื้อผ้าที่นี่ไม่เหมาะกับพวกเราเลยค่ะ หลังจากฉันกลับไปแล้ว ฉันจะทำเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ให้มันเป็นแบบเดียวกันทั้งสองชุด มีไว้สำหรับเราสองคนเท่านั้น คนอื่นจะได้รู้ไงคะว่าเราเป็นสามีภรรยากัน” นี่คือความคิดของลูกสาวคนโตที่เคยบอกกับเธอไว้ และตอนนี้เธอสามารถทำแบบนั้นกับจิงเจ้อหรงได้แล้ว
เมื่อได้ยินอย่างนั้น แววตาของจิงเจ้อหรงวูบไหว
“ครับ งั้นเราไปซื้อผ้ากันดีกว่า”
เฮ่อหลานทำอะไรไม่ถูก เธอทำได้เพียงเดินตามจิงเจ้อหรงเพื่อไปซื้อผ้าอีกหลายผืน ในที่สุดก็กลับบ้านพร้อมกับข้าวของเต็มมือ
หลังเฮ่อหลานและจิงเจ้อหรงกลับมา ถังซวงและถังเซวี่ยก็กลับมาถึงบ้านเช่นกัน เวลานี้ทั้งสองกำลังยุ่งอยู่ในครัว เมื่อเห็นว่าแม่กับจิงเจ้อหรงกลับมาแล้ว จึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “แม่คะ ลุงจิง กลับมาแล้วหรือคะ ทันมื้อเย็นพอดีเลยค่ะ”
“ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ขอบคุณนะ”
จิงเจ้อหรงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เพราะเขากับเฮ่อหลานมัวแต่ไปซื้อของจนปล่อยให้ถังซวงและเสี่ยวเซวี่ยทำอาหารเอง
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ”
ในห้องครัวเต็มไปด้วยของที่ถังซวงนำออกมาจากพื้นที่มิติ ซึ่งเฮ่อหลานและถังเซวี่ยไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก เวลานี้วัตถุดิบต่าง ๆ นับว่ามากพอทีเดียว
เธอและถังเซวี่ยทำอาหารได้หลายอย่าง และหลังจากที่ทั้งสี่นั่งลงบนโต๊ะ ทุกคนก็เริ่มกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังมื้อเย็นผ่านพ้นไป เฮ่อหลานยังคงพูดคุยกับจิงเจ้อหรง
“อาเจ้อ ฉันมาที่เมืองหลวงคราวนี้เพื่อเยี่ยมพ่อแม่ของคุณ และตอนนี้เราก็พบพวกเขาแล้ว ฉันเลยคิดว่าจะกลับในอีกสองวันนี้น่ะค่ะ” เธอยังคงกังวลถึงงานที่โรงงานเย็บปักเถาฮวาเล็กน้อย และเธอก็รู้ดีว่าจิงเจ้อหรงไม่สามารถหยุดงานนาน ๆ ได้เช่นกัน
จิงเจ้อหรงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “ผมก็กำลังจะคุยเรื่องนี้กับคุณพอดีเลย วันหยุดของผมเหลืออีกสองวัน นี่คงถึงเวลาที่เราต้องกลับแล้ว”
ในตอนท้าย เขารีบบอกกล่าวสิ่งที่แม่ของตนเน้นย้ำ “อ้อ อาหลานครับ แม่ขอให้ผมมาเชิญคุณไปกินมื้อเย็นที่บ้านเพื่อเป็นการเลี้ยงส่งน่ะ”
“ได้เลยค่ะ”
เฮ่อหลานแย้มยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะตอบตกลง