“หากพูดถึงการเล่นหมากรุก ฝีมือของเทียนตี้ย่อมล้ำเลิศกว่านัก”
ผู้ที่พูดออกมา ก็คือจื่อเวยซิงจุนที่สวมใส่ชุดสีม่วงตลอดทั้งร่าง
ยามนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย หรี่ดวงตาลง มองดูกระดานหมากตรงหน้า “เทียนตี้ทรงเสด็จมายังตำหนักจื่อเวยกง คงมิใช่เพียงเพื่อจะเล่นหมากกระดานกับข้าเท่านั้นสินะ?”
บุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา สวมใส่ชุดสีทองตลอดร่าง
รอบกายของบุรุษผู้นี้แวดล้อมไปด้วยละอองสีทอง เรียวแขนและทรวงอกของเขาเปิดเผยออกมาจนเกือบทั้งหมด
ผิวพรรณดุจหยกเนื้อโบราณ ผิวทุกตารางนิ้วมีแสงสว่างเรืองรองออกมา
รอบท่อนแขนมีผ้าคาดสีทองเส้นหนึ่งล้อมรอบอยู่ และแม้ว่าจะไม่มีสายลมเกื้อหนุน แต่ผ้าคาดเส้นนั้นก็ยังคงลอยพลิ้วอยู่ได้ เช่นเดียวกับเส้นผมสีทองยาวสลวยที่พลิ้วขึ้นไปในอากาศอยู่ตลอดเวลา
แต่เพราะรอบกายของเขามีรัศมีสีทองสุกสว่างอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นว่ามีรูปโฉมเช่นใดกันแน่
เห็นแต่เพียงเค้าโครงภายนอกเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่าจะต้องงดงามอย่างยิ่ง
คนผู้นี้ ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในแดนสวรรค์—ตี้เสีย
พอได้ฟังคำพูดของจื่อเวยซิงจุน พระหัตถ์ที่คีบเม็ดหมากเอาไว้ จึงค่อยวางลงไปบนกระดาน
ปลายนิ้วเรียวยาวขยับเบาๆ ก็ได้ยินเสียง ‘เพี้ยะ’ครั้งหนึ่ง ทั่วทั้งกระดานก็แตกสลาย
จากนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นผง
ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตนั้นโบกเบาๆ “จื่อเวย ดาวจักรพรรดิมืดครึ้มมาหลายวัน ในฐานะที่เป็นผู้นำของเทพเจ้าประจำดวงดาวต่างๆ เจ้ากลับไม่มีเรื่องใดจะรายงานกระนั้นหรือ?”
น้ำเสียงที่ตรัสถาม เย็นชาสุดหยั่ง
จื่อเวยซิงจุนนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย มองดูกระดานหมากที่แหลกละเอียดเป็นผุยผง แม้แต่ตัวหมากบนกระดานก็กลายเป็นฝุ่นละอองไปด้วย ขนตาของเขากระพริบน้อยๆ
“เทียนตี้….” นานพักใหญ่ จื่อเวยซิงจุนจึงได้เอ่ยปากขึ้นมา ริมฝีปากของเขาแทบจะผนึกติดกันไปแล้ว พอเอ่ยออกมาคำหนึ่งแต่ก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี
กลับเป็นตี้เสียที่ทรงโบกพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง ก็ทำให้จุดที่เดิมวางกระดานหมากบนโต๊ะ กลายเป็นแผนที่ดวงดาว
บนแผนที่ดวงดาวมีตำแหน่งของดวงดาวต่างๆกระจายอยู่นับไม่ถ้วน
ดวงดาวที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ดาวทั้งหลาย กลับมิใช่ดวงดาวที่สว่างที่สุด
เพราะมีดวงดาวมืดทึบที่อยู่ด้านข้าง คอยดูดกลืนแสงสว่างของมันเอาไว้
แต่ว่าดาวที่มืดมิดดวงนั้นก็มิได้สว่างไสวขึ้นมาเช่นกัน มันดูไปแล้วกลับเหมือนหลุมดำแห่งหนึ่งมากกว่า
มันไม่เพียงแต่ดูดซับแสงสว่างของดาวจักรพรรดิ์ แต่ยังดูดซับแสงสว่างจากดาวอื่นๆเข้าไปด้วย แค่ได้มองเห็นเพียงแวบเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
ปลายดัชนีของตี้เสียไล้ผ่านเหนือแผนที่ดวงดาว “เราต้องการคำอธิบายจากเจ้า”
จื่อเวยซิงจุนนั่งหลังตรง จ้องมองดูแผนที่ดวงดาว
ชั่วขณะนั้น ทุกอย่างรอบกายราวว่ามีแต่ความเงียบงัน จนทำให้เขาได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง
“เทียนตี้ สรรพชีวิตในโลกหล้าล้วนต้องมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้แต่ดวงดาวก็มียามที่สุกสกาวและอับแสง”
พอกราบทูลเช่นนี้ออกไป จื่อเวยซิงจุนก็รู้สึกได้ถึงประกายตาเฉียบคมที่มองวาบลงมาบนศีรษะ แทบจะผ่าเขาออกเป็นสองส่วน
“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพประจำดาวจื่อเวย ที่ชี้นำดาวดวงอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงลิขิตของดวงดาวได้”
ขณะที่พูดออกไป หน้าผากของจื่อเวยซิงจุนก็ปรากฏเหงื่อบางๆชั้นหนึ่ง
ตี้เสียทรงพระสรวลออกมาอย่างเย็นชา “หากเป็นดังที่เจ้าว่า แล้วเกิดมีคนในหกภพภูมิคิดก่อกบฏต่อแดนสวรรค์ เราก็ควรนั่งมองดูโดยไม่ต้องสนใจ แล้วก็ส่งมอบแดนสวรรค์นี้ออกไปให้กระนั้นหรือ!
ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ เพียงตรัสออกมาเบาๆไม่กี่ประโยคก็ทำให้ตำหนักจื่อเวยทั้งหลังสั่นสะท้านได้แล้ว
ในป่าเซียน ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเก็บผลไม้เสร็จ พอตำหนักจื่อเวยสั่นสะเทือน จึงทำให้ผลไม้ทิพย์ในมือของนางร่วงลงไปบนพื้น
ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกมา แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว
ด้วยสภาพร่างกายของเยี่ยเฉิน จึงเหมือนกับเผชิญแรงกดดันที่กระแทกเข้าสู่หัวใจจนสั่นสะท้าน
อวัยวะภายในทั้งหมดกระดอนขึ้นจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
พวกกวางน้อยในป่าก็พากันตกใจ ต่างวิ่งหนีอย่างกระเจิดกระเจิง ตัวที่ขี้กลัวสักหน่อยถึงกลับวิ่งจนหกล้มหัวปักลงไปในโคลนก้นที่โผล่อยู่ก็ยังสั่นสะท้านไม่หาย
เจ้าตัวที่ทำเขาติดอยู่ในป่าไผ่ ก็ทำเขาหักดังเปรี้ยะ
เขากวางคู่หนึ่งลอยขึ้นมาจากบนพื้น ข้างหนึ่งกระเด็นใส่หน้าตู๋กูซิงหลัน อีกข้างหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนหอสูง
ตู๋กูซิงหลันสายตาดีมือเท้าว่องไว จึงคว้าเขากวางที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของตนเองไว้ได้ทัน
พอนางตัดสินใจจะพุ่งไปคว้าอีกข้างก็รู้สึกว่า นางชักจะเก่งกาจเกินไปแล้วราวกับปีศาจยักษ์มือเดียวเสียจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!
จิตวิญญาณเยี่ยเฉินที่ถูกกำราบอยู่ในยันต์ “…..”
ถึงแม้ว่าจิตมังกรของเขาจะถูกผนึกเอาไว้ แต่ว่าก็ยังรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
อาจบอกได้ว่าเขาถูกผนึกเอาไว้เพียงครึ่งเดียว ตู๋กูซิงหลันจงใจทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้เหล่าเทพในแดนสวรรค์จับพิรุธได้
เขากวางข้างนั้นบินออกไปเร็วมาก ราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งขึ้นไปถึงบนหอสูงแล้ว
ทั้งยังพุ่งตรงเข้าหาหว่างคิ้วของตี้เสียอย่างไม่มีผิดพลาด
ทั้งที่ยังมองไม่เห็นเขากวางอย่างชัดเจน จื่อเวยซิงจุนก็ได้กลิ่นหอมเฉพาะพิเศษจากกวางโรของตนเองลอยมาก่อนแล้ว
หัวใจของเขาร้องตะโกนออกมา รู้สึกได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!
จริงเสียด้วย พอมองไป ซวยแล้ว……หน้าผากของเขาแทบจะมุดจมลงไปบนพื้น
ใครจะไปคิดว่า อยู่ดีๆกลางวันแสกๆ จะมีเขากวางของเขาบินออกมาถึงที่นี่?
บินออกมาก็แล้วไปเถอะ…..
แต่ว่ามันดันพุ่งเข้าใส่พระเศียรของตี้เสียนี่น่ะสิ
แม้จื่อเวยซิงจุนรักษาเนื้อรักษาตัวเอาตัวรอดมาได้ตลอดหลายปี แต่เกรงว่าวันนี้คงต้องถูกกลบฝังเพราะเขากวางข้างหนึ่งเสียแล้ว
ในใจของเขาเกิดภาพอย่างชัดเจน ช่วงเวลาเช่นนี้เขาสมควรพุ่งออกไปใช่ร่างกายตนเองสกัดเขากวางข้างนั้นเอาไว้ แต่ว่าร่างกายกับแข็งทื่อขึ้นมา กว่าที่สมองจะกระตุ้นเตือน ก็กลายเป็นสละโอกาสให้เขากวางข้างนั้นไปเสียแล้ว
หากเขาไม่ได้ชักช้าไปชั่ววูบ เขากวางข้างนั้นย่อมไม่มีทางลอยไปถึงหน้าผากของเทียนตี้อย่างแน่นอน
ตี้เสียยังคงประทับอยู่ที่เดิม แถบผ้าสีทองบนท่อนแขนโบกระบำอย่างรุนแรงขึ้นมา
พระองค์จับจ้องด้วยสายพระเนตรเกรี้ยวกราด ลำแสงสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันที จากนั้นก็พุ่งออกไปคว้าเขากวางข้างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว นำมาชูอยู่เบื้องหน้าตี้เสียด้วยความคล่องแคล่วราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา
พระองค์ยังคงนั่งวรองค์ตรงอย่างน่าเกรงขาม หลังจากที่เขากวางข้างนั้นถูกลำแสงสีทองยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นแล้ว พระหัตถ์ของตี้เสียถึงได้ยื่นออกไปรับมันลงมาที่ระดับสายตา
หลังจากพิจารณาดูอยู่ในพระหัตถ์ครู่หนึ่ง จึงค่อยส่งต่อให้กับจื่อเวยซิงจุน
“ที่แท้แล้วเขากวางในป่าเซียนแห่งนี้ก็สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารได้ด้วยนี่เอง เรานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
พอตรัสออกมาเช่นนี้ จื่อเวยซิงจุนก็ถึงกับขนลุกขึ้นมาทั้งร่าง
เขารีบลุกขึ้นมาจากข้างโต๊ะ เดินไปคุกเขาลงที่เบื้องหน้าตีเสีย
“เทียนตี้โปรดทรงวินิจฉัยด้วย เขากวางพวกนี้แต่ไหนแต่ไรก็ถูกส่งไปยังตำหนักโตวซ่วยกง เพื่อนำไปทำเป็นยาตันอยู่เสมอ วันนี้เกรงว่ากวางพวกนั้นคงซุกซนจนพิเรนทร์ เขากวางข้างนั้นถึงได้พุ่งออกมาถึงเบื้องพระพักตร์ของเทียนตี้อย่างมิได้ตั้งใจ เกือบจะทำให้พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บเข้าแล้ว”
แม่เอ้ย คำแก้ตัวผีสางเช่นนี้กระทั้งตัวเขาเองก็ยังไม่มีทางเชื่อเลย
เทียนตี้ย่อมมิใช่คนโง่ แน่นอนว่าจะต้องไม่เชื่อ
พระองค์ทอดพระเนตรมองดูเขากวางที่วางอยู่ตรงหน้าจื่อเวยซิงจุน ก็เงยพระพักตร์มองออกไปทางป่าเซียนของตำหนักจื่อเวยกง
ละอองสีม่วงปกคลุมไปทั่วป่าเซียน กวางน้อยฝูงหนึ่งกำลังตื่นตระหนกตกใจ
และท่ามกลางฝูงกวางน้อยเหล่านั้น ก็มีบุรุษหนุ่มเยาว์วัยในเครื่องแบบของนักรบเทพอยู่ผู้หนึ่ง
มือข้างหนึ่งของเขา ยังถือเขากวางชิ้นหนึ่งเอาไว้อีกด้วย
จื่อเวยซิงจุนก็มองออกไปเช่นกัน แม้ว่าป่าเซียนจะอยู่ห่างจากหอสูงเป็นระยะไม่น้อย แต่ว่าด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขา ย่อมสามารถมองเห็นสภาพในป่าไผ่ได้อย่างง่ายดายและชัดเจน
พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันเข้า จื่อเวยซิงจุนก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมา