ที่ด้านหลังของตำหนักจื่อเว่ยกง มีดวงดาวที่มีสีม่วงเข้มอยู่ดวงหนึ่ง เมื่อมีรัศมีสีม่วงเข้มปกคลุมโดยรอบ ตำหนักจื่อเวยกงจึงดูแล้วงดงามปราณีตกว่าคำเล่าลืออีกหลายส่วน
เทียนสี่ซิงจุนพานางตรงไปยังตำหนักหลังนั้น
ที่ด้านนอกของตำหนักยังมีศิษย์รับใช้เฝ้าอยู่สองคน
ศิษย์รับใช้ทั้งสองสวมใส่ชุดสีขาว แต่เพราะรอบนอกตำหนักจื่อเวยกงเต็มไปนด้วยรัศมีสีม่วง ชุดของพวกเขาจึงกลายเป็นสีม่วงจางๆ
“ข้ารู้สักอยากกินอะไรขึ้นมา จึงนึกถึงผลไม้ทิพย์ของตำหนักจื่อเวยกง อยากจะกินสักหลายๆลูก”
เทียนสี่ซิงจุนมิได้อ้อมค้อม มือข้างหนึ่งยังคงไพล่หลังเอาไว้ ยามพูดจากับศิษย์รับใช้ทั้งสองก็ไม่มีทีท่าขอร้องเลยสักนิดเดียว
กลับเป็นศิษย์ทั้งสองเมื่อได้เห็นเขา ก็พากันยกมือขึ้นคำนับค้อมเอวลงมาอย่างนอบน้อม
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายของเขาโดยมิได้กล่าวอะไร ระหว่างทางที่พวกนางเหาะมานี้ได้พบเจอเทพบุรุษเทพธิดาไม่น้อย ทั้งยังมีนักรบเทพอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเทพเหล่านั้นพอได้เห็นเทียนสี่ซิงจุนต่างก็ทำท่าเหมือนอยากจะถอยหลังกลับไปสักสามก้าว
ตอนแรกนางยังคิดว่าคงจะเป็นเพราะว่าพวกเขารู้จักฐานะของเยี่ยเฉินดี จึงไม่คิดจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย
แต่ว่าจากการแสดงออกของศิษย์รับใช้ทั้งสองในตอนนี้ ต่อให้ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงคนโง่ ก็ยังคงเดาได้ว่า แท้จริงแล้วท่านเทพผู้นี้จะต้องมีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่
หรือว่านางจะจับพลัดจับผลูมาเจอเข้ากับคนจำพวก ‘ไต้ซือกวาดพื้น’เข้าแล้วจริงๆ?
ถึงแม้ว่าในใจจะมีความสงสัยเต็มไปหมด แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกมา เพียงยืนอยู่ด้านข้างนิ่งๆ
ศิษย์รับใช้ทั้งสองคำนับเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยเอ่ยกับเทียนสี่ซิงจุนว่า “เรียนเทียนสี่ซิงจุน นายท่านของพวกข้าน้อยกำลัง….”
วาจายังมิทันได้กล่าวออกมา เทียนสี่ซิงจุนก็ชิงโบกมือ “ข้าไม่ได้มาหาเจ้านายของพวกเจ้า ข้าจะไปที่ป่าเซียนเด็ดผลไม้ทิพย์สักหลายลูกแล้วก็จากไป ไม่รบกวนแล้ว”
“นี่อ่อ….” ศิษย์รับใช้ทั้งสองลังเลอยู่บ้าง แต่พอเห็นท่าทางของเขา ก็ไม่กล้าขัด
ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าไปรบกวนนายท่านจริงๆ
ดังนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่เล็กน้อย พวกเขาก็เปิดทางให้ “เทียนสี่ซิงจุน ผู้น้อยจะนำท่านไปที่ป่าเซียน”
ศิษย์รับใช้ทั้งสองมีทีท่าเคารพนอบน้อม ทั้งยังไม่แม้แต่จะไต่ถามถึงฐานะของตู๋กูซิงหลัน
บนแดนสวรรค์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็เคยได้ยินชื่อของเยี่ยเฉินมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเคยพบเจอเยี่ยเฉิน
ศิษย์รับใช้ทั้งสองรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายบนร่างของนางแตกต่างจากผู้อื่น แต่เนื่องเพราะเกรงในตัวเทียนสี่ซิงจุน จึงไม่กล้าไต่ถามมากความ
“ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเจ้าให้ลำบาก ข้าไปของข้าเองได้”
เทียนสี่ซิงจุนเอ่ยจบก็ขยับร่างผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ของตำหนักจื่อเวยกง
ศิษย์รับใช้ทั้งสองแม้มีสีหน้าลังเลแต่ก็ไม่กล้าขัดขวาง
ตู๋กูซิงหลันก็ถือโอกาสติดตามเข้าไปเช่นกัน
ศิษย์รับใช้ทั้งสองคิดจะรั้งนางไว้ที่ภายนอก แต่พอพึ่งจะขยับมือ สายตาของเทียนสี่ซิงจุนก็กวาดมาในทันที
แววตานั้นคมกริบดุจใบมีดบนด้ามหอก ทิ่มแทงคนจนเจ็บปวด
ทำเอามือร้อนลวกขึ้นมา!
ศิษย์รับใช้ทั้งสองหัวใจกระตุกวูบ ได้แต่ถอยไปหลบด้านข้าง
ตู๋กูซิงหลันติดตามเทียนสี่ซิงจุนเหาะเข้าไปภายในเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง
นางจ้องมองดูเงาหลังของเขาอยู่ตลอด ในใจก็ครุ่นคิดไปว่าเทียนสี่ซิงจุนผู้นี้มีที่ถือดีในที่ใด?
รังสีสีม่วงในตำหนักจื่อเวยกง คือละอองไอทิพย์ชั้นเลิศ ยิ่งเข้าสู่ภายใน ละอองแสงสีม่วงนี้ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งสูดลมหายใจเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายก็เหมือนได้รับผลสะท้อนมากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยเฉินฝึกปรือมาเนิ่นนานก็ยังไม่อาจทะลวงคอขวดของตนเองไปได้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงจุดที่ติดขัดในเส้นชีพจรของเขาได้อย่างชัดเจน ไอทิพย์สีม่วงเหล่านี้พอสูดเข้าไปในร่างกายจุดที่อุดตันอยู่ก็สลายออกมาได้เองอย่างรวดเร็ว
นางหรี่ดวงตาลง ไม่รู้ว่าบนดวงดาวที่อยู่ด้านหลังจื่อเวยกงดวงนั้น มีจิตวิญญาณหรือชีวิตแบบใดอยู่
และเพราะกำลังติดตามเทียนสี่ซิงจุน ดังนั้นแม้แต่จุดต่างๆที่มีสถานที่งดงามในตำหนักจื่อเวยกงก็ไม่มีกระใจจะไปมองดู
เพียงครู่เดียว ทั้งสองก็พากันมาถึงป่าเซียนในตำหนักจื่อเว่ยกง
ถึงจะบอกว่าเป็นป่าเซียน แต่ว่ามองดูแล้วกลับเหมือนป่าไผ่สีม่วงมากกว่า แม้แต่ใบไผ่ก็ยังเป็นสีม่วงงดงาม
ละอองรัศมีสีม่วงครอบคลุมไปทั่วทั้งป่าไผ่
ในป่ายังมีกวางโรน้อยๆหลายตัวกำลังก้มหัวลงมาและเล็มหญ้าอ่อน
กวางโรเหล่านี้มีรูปร่างเล็ก แต่ว่าเขากวางบนหัวกลับเปล่งประกายระยิบระยับ ดูไปแล้วงดงามราวกับงานศิลปะ ท่ามกลางละอองสีม่วงที่เข้มข้นยังสามารถได้กลิ่นหอมอีกด้วย
ทั้งๆที่เห็นว่ามีคนเข้ามา แต่ว่ากวางเหล่านั้นก็มิได้ตื่นตระหนก แต่ละตัวเงยหน้าขึ้นมา มองดูพวกเขาอย่างเต็มตา
แม้แต่ในปากก็ยังคงเคี้ยวหญ้าอ่อนต่อไปด้วยซ้ำ
ตัวที่กล้าๆหน่อย ก็ก้าวเหยาะๆเข้ามาหาพร้อมกับเขาที่เป็นประกายระยิบระยับ
ยามที่พวกมันเคลื่อนไหว กลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งโชยชายออกมา ทำให้จิตใจคนผ่อนคลาย
“จื่อเวยซิงจุน เลี้ยงกวางเหล่านี้เอาไว้ นิสัยของพวกมันออกจะโง่และขี้สงสัยมาก ไม่ต้องไปสนใจ” เทียนสี่ซิงจุนเดินนำไปเบื้องหน้า
กวางน้อยเหล่านั้นก็พากันหันมามองดู บางตัวก็ยืดหัวมอง บางตัวก็นอนราบทั้งสี่ขากับพื้น บางตัวก็ทำเขาติดอยู่ในป่าไผ่
แต่ละตัวล้วนงดงามอย่างยิ่ง แต่ช่างน่าเสียดายที่ดูโง่งมกันไปหมด
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ท่านจะบอกว่าพวกมันซื่อบื้อใช่ไหม?
นางยื่นมือออกไปช่วยกวางโรตัวหนึ่งดึงมุมเขาที่ติดอยู่กับกิ่งไผ่ออกมา
กวางน้อยตัวนั้นพอได้รับอิสระ ก็กระโดดสูงขึ้นจากพื้นด้วยความยินดี ทั้งยังก้มลงมาเอาใบหน้าถูไถกับแขนของตู๋กูซิงหลันอีกด้วย
ตู๋กูซิงหลันปล่อยตามใจมัน
ครู่ต่อมา เทียนสี่ซิงจุนก็เด็ดผลไม้สีม่วงที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ลงมาผลหนึ่ง
เขาส่งให้นาง “นี่คือผลไม้ทิพย์ในตำหนักจื่อเวยกง เก็บลงมาสักสิบลูก ก็เพียงพอจะให้เจ้านกยักษ์นั่นกินแล้ว”
ผลไม้ทิพย์สีม่วงส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันได้กลิ่นแล้วก็ยังรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา คิดอยากจะลองชิมสักคำหนึ่ง
“ลำบากท่านเทพแล้ว” ตู๋กูซิงหลันหันไปก้มศีรษะขอบคุณเขา ว่าตามจริง ตอนนี้นางก็ยังดูไม่ออกว่า ที่เขาให้ความช่วยเหลือนางเพราะมีจุดประสงค์ใด
นางยังคงคิดว่าเรื่องนี้อาจมีแผนการใดอยู่หรือไม่?
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็เห็นว่าเขาหายเข้าไปนั่งอยู่ในเก๋งกลางป่าไผ่แล้ว
“เจ้าไปเด็ดเอาเอง เด็ดเสร็จแล้วก็รีบไปเสีย ตำหนักจื่อเวยกงไม่มีผู้ใดรั้งเจ้าเอาไว้”
ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบตาขึ้นไปมองดูท้องฟ้าเหนือตำหนักจื่อเวยกงแวบหนึ่ง นั่นเป็นดวงดาวสีม่วงขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง
จากนั้นก็มิได้สั่งอะไรไว้อีก เขากลายเป็นลำแสงสว่างหายไปจากเก๋งน้อยหลังนั้น
ใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมผลไม้ทิพย์สีม่วงเอาไว้
จนกระทั่งเมื่อกวางตัวน้อยนั่นใช้เขาของมันมาดุนกับขาของนาง นางจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา
“คนผู้นี้….” นางมองไปยังจุดที่เทียนสี่ซิงจุนหายตัวไป สมองก็ครุ่นคิดไปเรื่อยๆ ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน?
คิดอยู่เป็นเนิ่นนาน แต่ว่าสมองเหมือนจะตัน คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
บางครั้ง ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำให้คิดอะไรไม่ออก
เหมือนกับเวลาที่ทำของหาย หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่พอไม่ตามหามันก็ปรากฏขึ้นมา
นี่เป็นความรู้สึกของนางในยามนี้
คิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออก นางจึงมองออกไปรอบๆ พอสังเกตให้ดีถึงได้เห็นว่าสิ่งที่งอกงามอยู่บนต้นไผ่สีม่วงก็คือผลไม้ทิพย์นั่นเอง
ตู๋กูซิงหลันรีบเก็บลงมาสิบกว่าลูกเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ
ที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน
……..
ที่ด้านนอกป่าเซียน บนหอสูงแห่งหนึ่ง
พอเสียงพิณที่เพราะพริ้งหยุดลง ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลน่าฟังของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น “จื่อเว่ยซิงจุน ท่านแพ้แล้ว”