คนผู้นั้นก็หันมามองดูตู๋กูซิงหลันเช่นกัน
ทั้งสองต่างสบตากัน
เมื่อได้เห็นอย่างชัดเจน ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะขยี้ตาตนเอง นางพลันเกิดความสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่
สตรีผู้นั้น….จะว่าอย่างไรดี เหมือนกับซ่งชิงอีไม่มีผิดเพี้ยน
ตอนที่อยู่ในอวกาศ นางได้เห็นซากศพของคนตระกูลซ่งมาไม่น้อย
เดิมทียังคิดว่าไม่มีผู้ใดสามารถก้าวผ่านความว่างเปล่าเหล่านั้นมาได้เสียอีก
หากมิใช่ว่าได้เห็นสตรีผู้นี้กับตา ตู๋กูซิงหลันก็คงคิดว่าพวกเขาดับสิ้นกันไปหมดแล้ว
ตอนนี้ก็ได้พบแล้ว แต่ว่าเพียงแค่รูปลักษณ์ก็ยังไม่แน่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกัน
“จ้องมองข้าทำไม” สตรีผู้นั้นเหาะมาถึงข้างกายนาง “ผู้อาวุโสเช่นข้าเป็นถึงเทพโอสถ ซ่งเจียเหริน ใช่ผู้ที่เทพน้อยอย่างเจ้าจะมาจดจ้องได้หรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ซ่งเจียเหริน ว่าแล้วไง นางเป็นรุ่นบรรพชนของตระกูลซ่งจริงๆด้วย
นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ด้วยท่าทางสุภาพ ดวงตาและหัวคิ้วมีรอยยิ้ม เอ่ยว่า “นี่ย่อมต้องเป็นเพราะว่าท่านเทพธิดางดงามน่าประทับใจ จนผู้คนต้องเหลือบดูให้มากอีกหน่อย ขอเทพธิดาอย่าได้ถือสา”
“ด้วยรูปโฉมของเทพธิดา เทพบุตรองค์ใดในแดนสวรรค์ได้พบพาน ย่อมต้องอยากมองดูด้วยกันทั้งนั้น ผู้น้อยเพียงชื่นชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้คิดอกุศลใดๆทั้งสิ้น”
หากว่าพูดถึงรูปโฉมภายนอก รูปลักษณ์และหน้าตาของเยี่ยเฉินนับว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม
โครงหน้าส่วนนูนโหนกล้วนสมสัดส่วน ปากคอคิ้วคางคมสัน ทั้งยังมีเส้นผมสีน้ำเงินดำยาวที่งดงามอย่างยิ่ง
ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำดุจน้ำทะเล เหมาะสมกับการเป็นบุรุษเจ้าสำราญอย่างแท้จริง
ยิ่งเมื่อมีร่างกายที่สวยงามราวกับนายแบบระดับโลก รูปลักษณ์ของเยี่ยเฉินย่อมโดดเด่นจนเหนือล้ำกว่าเหล่านักรบสวรรค์ทั่วไป
ท่าทางที่สุภาพนุ่มนวล ชื่นชมอย่างจริงใจไม่หยาบคาย ย่อมสามารถทำให้ซ่งเจียเหรินพอใจอยู่บ้าง
“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นนักรบสวรรค์ที่พึ่งมาใหม่ ยังไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ข้าจะบอกให้ว่า ยอดพธูของแดนสวรรค์ ย่อมต้องเป็น เทียนโฮ่ว[1] ต่างหาก”
แม้ว่าจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของซ่งเจียเหรินก็ยังคงยินดี “เห็นแก่ที่เจ้าพึ่งมาไม่รู้เรื่องราว ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า ตำหนักโตวซ่วยกงมิใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะมา จงรีบไปเสีย”
“ขอบคุณในความปรารถนาดีของเทพธิดา” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า นางเองก็ไม่คิดจะสร้างความกระโตกกระตากใดที่นี่
พอหมุนตัวกลับ เหาะออกไปยังไม่ทันถึงสองก้าว ก็ถูกซ่งเจียเหรินเรียกเอาไว้อีก
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
ตู๋กูซิงหลันชะงักเท้าหยุดลง หันกลับมา นางคลี่ยิ้มสดใสราวลูกหมาย้อย “ผู้น้อย เยี่ยเฉิน เป็นนักรบสวรรค์ใต้บัญชาของเทพสงคราม”
“เยี่ยเฉิน…..” ซ่งเจียเหรินทวนชื่อนั้นเบาๆ นางถูกรอยยิ้มสดใสราวลูกหมาน้อยของเจ้าหนุ่มนั่นทำเอาใจเต้นโครมคราม “เหมือนว่าจะเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน…”
ในแดนสวรรค์ เพียงแบ่งลำดับชั้นอย่างเข็มงวด แต่การแบ่งแยกระหว่างชายหญิงกลับมิได้ชัดเจน
นี่อาจมิใช่เรื่องของความรัก แต่เพื่อการบำเพ็ญเพียร ในแดนสวรรค์จึงมีการจับคู่เพื่อฝึกฝนอยู่มากมาย
มีทั้งที่เต็มใจร่วมกันฝึกฝน และแบบทั้งที่บีบบังคับให้ฝึกฝนร่วมกัน
ซ่งเจียเหรินพึ่งบอกลากับคู่ฝึกคนก่อน จัดว่าอยู่ในช่วงพึ่งโสด[2] นางกำลังคิดจะหาหนุ่มเนื้ออ่อนมาร่วมกันฝึกฝนซวงซิว นี้มิใช่ว่าช่างบังเอิญพอดีหรอกหรือ
ขณะที่นางพึมพำอยู่กับตนเอง ตู๋กูซิงหลันก็เหาะออกไปไกลแล้ว
เหาะผ่านตำหนักโตวซ่วยกง ก็ได้เจอหมีหลัวกง กว่างหมิงกง เมี่ยวเหยียนกง ไท่หยางกง ฮว่าเล่อกง หยุนโหลกง อูฮ่าวกง ถงหวากง
ตำหนักเหล่านั้นล้วนครึกครื้น มีเทพธิดาและเทพบุตรเหาะไปมาอย่างคึกคัก
ตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์มิได้อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด
แต่ละตำหนักแยกออกจากกัน ล้วนตั้งอยู่บนหมู่เมฆ และระหว่างดวงดาวต่างๆ
หลังจากเหาะผ่านตำหนักนั้นตำหนักนี้ สายตาของนางก็มองไปเห็นตำหนักที่วิจิตรงดงามที่สุดในแดนสวรรค์
มังกรสีเขียวหยกเก้าตัวบินผงาดนำทางอยู่ด้านหน้า ตำหนักที่ใหญ่โตโอ่อ่าหลังหนึ่งตระหง่านอยู่เหนือหมู่เมฆ
มังกรทองขนดทั้งแปดสิบแปดตัวแทบจะทะลวงหมู่เมฆเบื้องบนออกไป
ท่ามกลางหมู่มังกรขนดเหล่านั้น คือบันไดที่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง
บันไดสร้างขึ้นจากหยกขาวมีทั้งหมดสิบแปดชั้น
ที่อยู่เบื้องหลังของบันไดคือวังที่วิจิตรงดงามตระการตาหลังหนึ่ง
วังขนาดใหญ่ที่สูงหลายร้อยเมตรหลังหนึ่ง ตำหนักหลักตั้งอยู่ตรงกลาง อักษรขนาดใหญ่ ‘หลิงเซียวเป่าเตี้ยน’ สี่ตัวลอยพลิ้วอยู่เบื้องบน
รอบข้างของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนยังมีตำหนักน้อยอีกหลายหลัง
รอบนอกของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนทั้งหลังมีเขตอาคมที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคุ้มครองอยู่
งดงามอลังการ สวยสง่าล้ำโลก
เหตุที่ยามตู๋กูซิงหลันอยู่บนตำหนักของเทพสงครามแต่กลับมองไม่เห็นตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้ ก็คงจะเป็นเพราะว่ามีเขตอาคมบังตาอยู่นั่นเอง
หากเอาเกณฑ์ของโลกปัจจุบันมาใช้ สิ่งก่อสร้างที่สูงประมาณร้อยเมตร สมควรมีทั้งหมดสามสิบชั้น
และตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้ อย่างน้อยๆต้องสูงกว่าหกร้อยเมตรแล้ว
กะกะดูแล้วก็ต้องมีขนาดเทียบเท่ากับตึกสองร้อยชั้นในโลกปัจจุบัน
ตู๋กูซิงหลัน “….”
หากว่ามิได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางคงต้องคิดว่านี่มันเกินจริงไปแล้ว
บนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน มีอัญมณีหลากสีสัน แต่ละอย่างต่างก็แข่งขันกันเปล่งประกายสุดชีวิต
ตอนแรกนางก็คิดว่าซือเป่ยหรูหรามากแล้ว
ตอนนี้ดูๆไปแล้ว ตำหนักเทพสงครามก็แค่ของเด็กเล่นเท่านั้น
หากหยิบเอามุกมณีบนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนสักเม็ดออกมา ก็สามารถเขวี้ยงใส่ตำหนักเทพสงครามจนเป็นรูโบ๋ได้แล้ว
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้มิได้อยู่นิ่ง!
ตอนแรกตู๋กูซิงหลันเข้าใจไปว่า มังกรทั้งเก้าที่อยู่ตรงหน้าตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนสร้างขึ้นจากหยกเขียว
แต่ความคิดนั้นต้องถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
นั่นคือมังกรจริงๆ!
บนลำคอของพวกมันยังมีโซ่ขนาดใหญ่หนาเท่าท่อนแขน มังกรทั้งเก้าถูกล่ามเอาไว้ด้วยกัน พอแส้จากท้องฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาครั้งหนึ่ง ก็จะได้ยินเสียงร้องคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านดินจากมังกรเขียวหยกเหล่านั้น
เสียงคำรามเหล่านั้นบีบรัดเข้าไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
นางรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังและเสียงวิงวอนดังสะท้อนไม่สิ้นสุดจากเสียงคำรามที่ได้ยิน
ในกายของนางมีสายเลือดของมังกรทมิฬไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกทั้งบิดาคนงามยังยกตำแหน่งประมุขเผ่ามังกรทมิฬให้กับนาง
ภาษาของมังกร นางในตอนนี้จะฟังไม่เข้าใจได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่าทั้งที่ได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ว่าจิตใจกลับได้รับความสะเทือนใจถึงเพียงนี้
พวกมังกรที่ถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่เช่นนี้ ช่างสงสารอย่างยิ่ง
แส้สวรรค์แต่ละเส้นที่ฟาดลงไป ฉีกเนื้อหนังของพวกมันออกมา
แต่แล้วบาดแผลบนร่างของพวกมันก็ประสานคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ฉีกขาดอีกครั้ง แล้วก็ประสานคืนอีก
โซ่แต่ละเส้นทะลวงเข้าไปในลำคอของพวกมัน ถูกพวกมันลากดึงวังที่วิจิตรงดงามแต่หนักยิ่งกว่าภูเขาลูกหนึ่งเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
และเหล่าเทพองค์อื่นๆที่เห็นอยู่ ต่างก็มีรอยยิ้มอยู่ในหน้า
“เจ้าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้กรีดร้องอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน ช่างหนวกหูจริงๆ”
“เทียนตี้และเทียนโฮว่ทรงมีพระเมตตา มิได้ตัดลิ้นของพวกมันทิ้งไป เผ่ามังกรกระทำความผิดมีโทษมหันต์ แต่แค่ถูกจับกลับมาลากตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนเท่านั้น ยังจะน่าอนาถในที่ใด?”
“ที่น่าสงสารก็คือหูของพวกเรา ที่ต้องทนทรมานฟังเสียงร้องคำรามของพวกมันอยู่ทุกวัน”
ในหูของตู๋กูซิงหลันมีแต่เสียงของเทพเหล่านั้นดังกลับไปกลับมา
ในตอนนี้ นางได้แต่กำหมดแน่น
แม้แต่เยี่ยเฉินที่มีกำเนิดจากเผ่ามังกรทมิฬก็ยังคำรามอยู่ภายในไปพร้อมๆกับนาง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงจิตมังกรที่ถูกผนึกเอาไว้ของเยี่ยเฉินกำลังร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ถึงแม้ว่าเยี่ยเฉินจะมิใช่ตัวดีงามอะไร แต่ก็มิใช่ผู้ที่จะยืนเฉยทนดูเผ่าเดียวกันถูกทรมาน
“ข้าขอสาบานในฐานะประมุขแห่งเผ่ามังกร สักวันหนึ่งจะต้องปลดปล่อยพวกเจ้าออกมา ให้ได้รับอิสระ”
เมื่อได้มองดูมังกรหยกเหล่านั้น ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่เอ่ยความคิดนี้อยู่ในใจ
ขณะที่มังกรหยกทั้งหลายลากวังเหาะผ่านนางไป พวกมันก็เหมือนรู้สึกได้ถึงบางสิ่งจึงพากันหันมามองดูนางแวบหนึ่ง
……………………………
[1] ชายาเอกของจักรพรรดิสวรรค์
[2] [kōngchuāngqī] (ช่องว่างระหว่างบานหน้าต่าง): = ช่วงที่ร่างกายได้รับเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ ภายหลังถูกนำมาใช้กับความรัก คือช่วงโสด พึ่งจบกับรักเก่า และกำลังรอคอยรักใหม่