เทียนตี้ไม่มีน้ำหนักอะไร……
นางจงใจแฝงพลังวิญญาณลงไปในน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา จนเสียงนี้ดังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในแดนสวรรค์
ชั่วขณะนั้น ไม่รู้ว่าผู้คนบนแดนสวรรค์มากมายเท่าไหร่ต่างก็คิดที่จะตัดลิ้นของนางออกมา
ผู้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่หวาดกลัวเทียนตี้อย่างที่สุด แต่ว่ายังให้ความเคารพเขาอย่างยิ่งอีกด้วย
เทียนตี้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของแดนสวรรค์ ไม่อาจถูกลบหลู่ได้อย่างเด็ดขาด
แต่ว่านางมารผู้นี้กลับปากพล่อย กล้าสบประมาทเทพสงครามและด่าทอเทียนตี้ว่าไร้ความสำคัญไปพร้อมๆกัน
นางคงจะรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ก็เลยคิดจะทุบหม้อข้าวทิ้งสู้ตายสินะ?
สีหน้าของซือเป่ยไม่น่ามอง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่หุบเขาปีศาจบนโลกปัจจุบันเขาละเว้นชีวิตนางไปครั้งหนึ่ง ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในช่วงหลายต่อหลายปีที่ผ่านมา
ขนนกบนหมวกเกราะของเขาถึงกับกระตุก ดวงตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวคู่นั้นจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ราวกับว่ากำลังจับตามองคนตายผู้หนึ่ง
เขารู้ดีอยู่แล้ว ว่านางปากคอเราะรายถึงเพียงไหน ทั้งยังกลับดำเป็นขาวได้อย่างเก่งกาจที่สุด หากจะโต้เถียงกับนางไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
ซือเป่ยโบกมือเบาๆ เอ่ยกับแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกคนว่า “สังหาร…..อย่าให้รอดไปได้”
นางช่างชาญฉลาดนัก พอเอ่ยปากก็สร้างความขัดแย้งระหว่างเขากับเทียนตี้ขึ้นมา
สตรีผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป ความคิดความอ่านก็ลึกล้ำ สามารถบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ด้วยกำลังของตนเอง หากว่าปล่อยทิ้งเอาไว้ จะต้องกลายเป็นรากเหง้าของหายนะ
คนเช่นซือเป่ย….ย่อมไม่เคยปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญกับหายนะ
ทันทีที่เอ่ยคำว่าสังหารออกไป ก็เห็นแม่ทัพสวรรค์ทั้งหกเหาะออกไปตามคำบัญชาของซือเป่ย
ในมือของพวกเขาต่างก็มีศาสตราวุธ ดวงตาขึงขัง
ที่ใต้ประตูสวรรค์ทิศใต้ ยังเต็มไปด้วยซากศพของนักรบสวรรค์มากมาย
ความน่ากลัวของใบมีดแสงบนประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ที่ มันไม่เพียงแต่ตัดร่างหั่นกระดูก แม้แต่ดวงวิญญาณก็ยังถูกทำลายจนหมดสิ้น
นั่นก็หมายความว่า แม่ทัพสวรรค์อี๋ปู้และนักรบสวรรค์กลุ่มนั้นตายอนาถอย่างไม่อาจจะฟื้นคืนมาได้อีก
ทั้งหมดพ่ายแพ้ให้แก่นางมารผู้นั้น
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่บนศีรษะของหงส์แดง รอบกายยังคงมีเขตอาคมปกป้องเอาไว้
ในมือของนางก็ยังคงมีไม้คฑาดังเดิม ดวงตาดอกท้อคู่นั้นกวาดมองไปที่แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกที่บุกเข้ามาด้วยความฮึกเหิมด้วยหางตาบางๆ
สุดท้านก็ไปหยุดอยู่ที่ซือเป่ย
“เจ้าเห็นว่าถูกข้าเปิดโปง จึงจะฆ่าคนปิดปากใช่หรือไม่?”
“ตอนอยู่ที่เจดีย์กำราบเทพมาร เทียนตี้ยังทรงเคยตรัสว่าอนุญาตให้ข้าไปได้ทั่วแดนสวรรค์ ที่แท้คำพูดของเขาก็ใช้การไม่ได้ ผู้ครอบครองแดนสวรรค์แห่งนี้ก็คือเจ้า เทพแห่งสงครามซือเป่ยสินะ”
นางยังคงพูดต่อไป และใช้พลังวิญญาณกระจายเสียงออกไปจนไกล แม้แต่เทพจื่อเวยซิงจุนที่อยู่ไกลออกไปก็ยังคงได้ยิน
เขายังคงป้อนผลไม้พวกกวางอยู่ในสวนเซียน พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ถึงขั้นนั่งไม่ติดอีกต่อไป
เขาได้ข่าวมาว่า นางมารผู้นั้นอาศัยการสิงอยู่ในร่างของเยี่ยเฉิน เพื่อขึ้นมาบนแดนสวรรค์
วันนี้นางถึงกับ ‘ฉี่ราด’ ต่อหน้าเทียนจุน แต่เทียนจุนก็มิได้ลงโทษนาง
ที่แท้ก้เป็นเพราะเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว?
เทพจื่อเวยซิงจุนมิได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดอันใด เพราะ สตรีผู้นี้มีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเทียนโฮว่
ส่วนเทพสงครามซือเป่ยนั้น….
เทพจื่อเว่ยซิงจุนโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ในป่าเซียนก็ปรากฏจานดาราขึ้นมา
บนจานดารา แสงสว่างของดาวจักรพรรดิยิ่งทียิ่งสลัวลงไป ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ดวงดาวที่อยู่รอบๆก็ยังหม่นแสงลงไปด้วยเช่นกัน
แต่ว่าดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น…….กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว
และใกล้กับดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น ยังมีดาวสงครามอยู่ดวงหนึ่ง
และดาวสงครามดวงนั้นทำท่าเหมือนจะระเบิดออก
ดาวสงครามดวงนี้คือดาวประจำตัวของเทพสงครามซือเป่ย….
เทพจื่อเวยซิงจุนทอดทอนหายใจออกมา เขาโบกแขนเสื้ออีกครั้ง จานดาราก็หายไปในอากาศ
เขาทางหนึ่งก็ป้อนอาหารให้กับกวางเหล่านั้น อีกทางหนึ่งก็ส่ายศีรษะพลางเอ่ยกับตนเองว่า “ฟ้าดินเปลี่ยนผัน สับเปลี่ยนหมุนวน เป็นธรรมชาติ…..เป็นลิขิตของสวรรค์….”
………………….
ประตูสวรรค์ทิศใต้
วาจากัดแทะหลายประโยคนั้นของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งยั่วยุให้หกแม่ทัพสวรรค์มีโทสะลุกโชนมากกว่าเดิม
พวกเขาถูกเขตอาคมของตู๋กูซิงหลันขวางกั้นเอาไว้ ทำให้ไม่อาจบุกเข้าไปถึงตัวนาง
จิตวิญญาณกึ่งโปร่งแสงถูกห้อมล้อมเอาไว้ในเขตอาคมที่เหมือนกับโลกของหมอกสีแดงใบหนึ่ง ริมฝีปากสีแดงของนางยกยิ้ม ราวกับว่ากำลังท้าทายเหล่าเทพทั้งหลาย
ในตอนนั้นเอง แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็ขับพลังวิญญาณของตนเองออกมา สองมือกุมศาสตราวุธของตนเองกลุ้มรุมกันเข้าไป
กระบี่วิเศษ ง้าว ดาบ จักร ขวาน กระสวย
อาวุธทั้งหมดพุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันแทบจะพร้อมๆกัน
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ประมาท นางขับเคลื่อนพลังวิญญาณทั่วร่าง เสริมพลังให้กับเขตอาคม เพื่อสกัดกั้นอาวุธทั้งหมดไว้แต่เพียงด้านนอก
ตอนนี้นางยังไม่ได้วางเม็ดหยกแดงกลับลงไปในปากของหงส์แดง เพราะยังต้องการถ่วงเวลาให้พวกเก้ามังกรและเยี่ยเฉินหลบหนีไป
นางจะต้องต้านทานแม่ทัพสวรรค์เหล่านี้เอาไว้ให้จงได้ เพื่อให้มังกรทั้งเก้ากลับสู่โลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัย
……………….
อาวุธทั้งหมดฟาดฟันลงมาบนเขตอาคมของนาง แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ยามที่อาวุธเหล่านี้ฟันลงมา กลับไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น
เขตอาคมของตู๋กูซิงหลันสะเทือนน้อยๆ ราวกับทะเลสาบที่เงียบสงบ ผุดวงน้ำขึ้นมาชั้นหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียงใดๆ แต่ว่าในวินาทีนั้นก็เกิดประกายแสงสว่างจ้าขึ้นมา แสงสว่างนั้นสาดส่องออกไปรอบประตูสวรรค์ทิศใต้จนเจิดจ้า
เหล่าแม่ทัพรู้สึกได้ว่าพลังที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาลของตนเองถูกดึงดูดออกไป แต่ละคนต้องเบิกตาโตมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างอดไม่อยู่
หลังแสงสว่างนั่นหายไป พวกเขาถึงได้สามารถมองเห็นว่าอาวุธเหล่านั้นถูกสะท้อนกลับออกมา
ไม่เพียงแค่นั้น บนร่างของพวกเขายังถูกอาบไปด้วยแสงสว่างสีแดงชั้นหนึ่ง
แม่ทัพที่พลาดท่าอย่างอนาถไปเมื่อครู่ ยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังของซือเป่ย พอเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนั้น เขาก็รีบร้องตะโกนออกไปว่า “ทุกคนจงระวัง นางมารผู้นั้นสามารถดูดกลืนพลังวิญญาณ ย้อนคืนใส่ผู้อื่น อันตรายอย่างที่สุด!”
แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกต่างก็เคยได้ยินเขาบอกเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ว่ายามที่บุกเข้าไปปะทะกับตู๋กูซิงหลัน ก็ยังคงไม่คิดจะเห็นนางอยู่ในสายตา
เหล่าเทพบนสรวงสวรรค์ยังคงเชื่อมั่นในความสูงส่งจนเลิศลอยของตนเอง ต่อให้มีพวกพ้องร้องเตือน พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่า ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงนางมารจากโลกเบื้องล่าง ที่มิได้เก่งกล้าสักเท่าไรอยู่ดี
เพียงแต่ว่าตอนนี้กระทั่งพวกเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า ทั้งหกบุกเข้าไปพร้อมๆกัน ก็ยังไม่สามารถทำลายเขตอาคมของนางลงได้
นางมารผู้นี้ มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ
มิน่าเล่าจึงสามารถบุกเดี่ยวขึ้นมาบนสรวงสวรรค์ได้!
อาวุธทั้งหมดสะท้อนกลับออกมา หกแม่ทัพสวรรค์ต่างก็รับเอาไว้ กระชับในมืออย่างเหนียวแน่น คราวนี้ไม่มีผู้ใดกล้าประมาทตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว
ในยุคเก่าก่อนนานมาแล้ว มีพวกผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนที่ไม่คิดจะฝึกฝนจนเก่งกล้าขึ้นไปเรื่อยๆทีละก้าวๆ ดังนั้นจึงได้เกิดความคิดอันแยบยล ฝึกฝนในทางลัดขึ้นมา
พวกนั้นอาศัยวิธีดูดกลืนพลังวิญญาณของผู้อื่นมาเป็นของตน จนกลายเป็นวิชามารที่ชั่วร้าย
นางมารผู้นี้ที่จริงมิได้มีฝีมืออันใด เพียงแต่อาศัยวิชาดูดซับพลังวิญญาณจึงพอจะมีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่สำหรับพวกเขาวิธีนี้ช่างน่าเหยียดหยามอย่างที่สุด
……………
ไกลออกไป ท่ามกลางดวงดาวและหมู่เมฆ มีแสงสีทองกลุ่มหนึ่งซุกซ่อนอยู่
ดวงเนตรสีทองที่ระยิบระยับคู่นั้นมองฝ่ากลุ่มเมฆหนาแน่นไปที่ร่างของตู๋กูซิงหลัน
ตลอดทางมายังที่นี่ ทุกความเคลื่อนไหวของนางล้วนอยู่ในสายพระเนตรของตี้เสียตลอดเวลา
แถมในยามนี้ พระองค์ก็ยิ่งมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่อยู่ในมือของนาง ก็คือ คฑาฮว๋าย
ใต้หล้านี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้
ก่อนหน้า……ตอนที่นางตายไป คฑาฮว๋ายด้ามนี้ก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย พระองค์ส่งคนไปออกตามหานานหลายปี แต่ก็ไม่เจออะไรแม้แต่เศษไม้
คิดไม่ถึงว่า มันจะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างสมบูรณ์ในมือของนาง
นางกลับมาแล้ว
พระองค์หรี่พระเนตรลง ในสมองปรากฏภาพเก่ามากมายย้อนกลับมา
พระองค์เคยร้องขออย่างจริงพระทัย เคยวิงวอนด้วยความทุกข์ทรมาน
แต่นางก็ไม่เคยใจอ่อน กระทั่งยามตายก็ไม่ยินยอมมอบความอบอุ่นให้กับพระองค์แม้แต่น้อย
ในที่สุดเจ้าก็กลับมา และครั้งนี้ ไม่มีซีเหออีกแล้ว
มิว่าในแดนสวรรค์ หรือในหกภพภูมิ ก็มีแต่ข้าตี้เสียเท่านั้น
……………………