ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันขึ้นมาทางประตูตะวันออก นางจำได้อย่างแม่นยำว่า เหนือป้ายของประตูตะวันออกเป็นมังกรครามขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
คิดๆดูแล้ว ดูท่าแดนสวรรค์แห่งนี้ช่างมีรายละเอียดที่ประณีตอยู่เหมือนกัน
เช่นนี้ประตูสวรรค์ทิศตะวันตกและทิศเหนือก็คงจะมีรูปปั้นของพยัคฆ์ขาวและเต่าดำอยู่ด้วยสินะ
ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี หงส์แดงขนาดใหญ่ตัวนั้นยังคงมองขึ้นไปยังหมู่ดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ
ฝีมือของผู้สร้างช่างยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง แม้แต่เส้นขนทุกเส้นก็ยังปั้นขึ้นมาอย่างละเอียดละออ ดูไปแล้วราวกับว่าเป็นของจริง
ขณะที่ท้องฟ้ามีแต่หมู่ดาวอันงดงาม มังกรยักษ์ทั้งเก้าต่างก็พาตู๋กูซิงหลันเหาะตรงไปอย่างไม่ครุ่นคิดใดๆอีกแล้วทั้งสิ้น
ขอเพียงสามารถผ่านประตูทิศใต้ออกไปได้ ก็นับว่าสำเร็จก้าวแรกของหลบหนีแล้ว
ก้าวแรกแห่งการเริ่มต้น ย่อมเป็นสิ่งที่ยากที่สุด
ขาดอีกเพียงนิดเดียว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
แม้ว่าทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่มังกรยักษ์ทั้งเก้าบอกเอาไว้ ประตูทิศใต้มีเวรยามไม่มาก แต่จะอย่างไรก็ไม่สมควรจะเงียบเชียบถึงเพียงนี้ ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงมิได้คลายความระมัดระวังแม้แต่น้อย
พอกวาดตามองไป ก็เห็นแต่เพียงซุ้มประตูขนาดใหญ่ และรูปปั้นของหงส์แดงที่ยืนตระหง่านอยู่เพียงลำพังเท่านั้น ไม่เห็นเวรยามใดๆเลยแม้แต่ครึ่งคน
ยามนี้ระยะห่างระหว่างพวกนางและประตูทิศใต้เหลือเพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
ในมือของตู๋กูซิงหลันปรากฏยันต์โลหิตขึ้นมาเก้าใบ เพียงพริบตาเดียวยันต์ทั้งเก้าใบก็กลายเป็นร่างแบ่งภาคทั้งเก้าของนาง
ร่างแบ่งภาคทั้งเก้าเหาะนำพวกนางไปก่อนก้าวหนึ่ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันมิได้ใช้พลังทั้งหมดแบ่งออกไปให้กับร่างแบ่งภาคทั้งเก้า
พอเห็นนางทำเช่นนั้น ทั้งเยี่ยเฉินและมังกรยักษ์ทั้งเก้าต่างก็ตื่นตัวขึ้นมา
พวกมันย่อมไม่มีทางคิดว่าตู๋กูซิงหลันระมัดระวังตัวจนตื่นตูมเกินไป ที่นี่จะอย่างไรก็คือแดนสวรรค์ ไหนเลยจะยอมให้พวกมันหลบหนีไปได้ง่ายๆ?
ร่างแบ่งภาคทั้งเก้าเหาะเรียงกันพุ่งไปทางประตูสวรรค์ทิศใต้ ที่ดูเหมือนจะผ่านไปได้อย่างราบลื่น หนึ่งคน สองคน เหาะไล่เรียงกันอย่างไม่มีปัญหาใดๆ
ต้าซือมิ่งที่เก็บตัวเงียบอยู่ในยันต์โลหิตพลันเอ่ยออกมาว่า “หรือจะเป็นเพราะเทียนตี้ทรงเห็นว่าเจ้ามีดวงตาแบบเดียวกับเทียนโฮว่ จึงจงใจเหลือทางรอดสายหนึ่งให้กับเจ้า….”
ครั้งแรกที่ได้พบกับตู๋กูซิงหลัน นางแต่งกายและแปลงโฉมเป็นบุรุษ ต่อมาพอได้พบกันอีกครั้ง ต้าซือมิ่งก็รู้สึกว่านางดูคุ้นตามาก
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่นางคล้ายคลึงจะเป็น……เทียนโฮว่
เพราะแม้จะอยู่ในแดนสวรรค์ ก็มีอยู่น้อยครั้งมากที่เทียนโฮว่จะทรงเผยโฉมต่อผู้คนทั้งหลาย เขาเองก็เคยมีวาสนาได้เห็นเทียนโฮว่จากที่ไกลๆในวันฉลองปีใหม่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
แต่ว่าวันนี้ เมื่อตู๋กูซิงหลันก่อเรื่องอึกทึกคึกโครมขนาดนี้ขึ้นมา เหล่าเทพทั้งหลายย่อมต้องส่งข่าวเรื่องรูปโฉมของนางต่อๆกันไป
ต่างก็บอกกันว่า นางมีดวงตาที่คล้ายคลึงกับเทียนโฮว่
ข่าวนี้ แม้แต่ตัวเขาที่อยู่ในตำหนักซือมิ่งกงก็ยังได้ยินมา
ตอนนี้พอเห็นว่าทั้งหมดสามารถหลบหนีมาถึงที่นี่ได้อย่างสะดวกราบลื่นถึงเพียงนี้ ต้าซือมิ่งก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า เทียนตี้คงจะมีพระทัยเมตตาจงใจปล่อยคนไป
เพราะพระองค์ทรงโปรดปรานเทียนโฮว่อย่างลึกล้ำ แล้วจะไม่มีพระทัยสงสารต่อตู๋กูซิงหลันที่ดูคล้ายคลึงกับเทียนโฮว่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น….บางทีเทียนตี้ก็อาจจะทรงมีพระประสงค์อื่นในพระทัย อย่างเช่น เกรงว่าเรื่องรูปโฉมของตู๋กูซิงหลันจะเกิดจากแผนการอื่นที่ซับซ้อน หากจับตัวกลับมาสอบสวนเอาความ ก็อาจจะเป็นการเปิดเผยเรื่องราวที่ไม่สมควรบางประการออกมา ทำให้เดือดร้อนไปถึงเทียนโฮว่ได้ ดังนั้นจึงได้ตัดสินพระทัยอย่างรวบรัด หลับหูหลับตาไปข้างหนึ่ง ปล่อยให้คนได้หลบหนีไป
ไม่ว่าจะคิดทางใด ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับเทียนโฮว่ทั้งสิ้น
พอเห็นอยู่กับตาว่า ร่างแบ่งภาคลำดับที่แปดของตู๋กูซิงหลันสามารถผ่านออกไปได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็พากันถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายเฮือกหนึ่ง
ในเมื่อร่างแบ่งเหล่านั้นสามารถเหาะผ่านไปได้สำเร็จ ก็เท่ากับว่าประตูทิศใต้แห่งนี้ไม่มีหลุมพราง สามารถผ่านได้อย่างปลอดภัย
คำพูดนี้ของต้าซือมิ่งมิใช่ว่าไร้เหตุผล เพราะเรื่องที่เทียนตี้ทรงโปรดปรานเทียนโฮว่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี
มีแต่มังกรทั้งเก้าที่มีความเห็นเรื่อง ‘ตู๋กูซิงหลันมีรูปโฉมคล้ายเทียนโฮว่’ แตกต่างออกไป
สำหรับพวกมัน นอกจากดวงตาคู่นั้นแล้ว อื่นๆล้วนไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว
ต่อให้บอกว่ามีส่วนคล้าย ก็ต้องบอกว่าเทียนโฮว่ดูคล้ายกับท่านเจ้าวังของพวกมันต่างหาก
มังกรยักษ์ทั้งเก้าถูกทรมานมานานปี พวกมันย่อมเกลียดชังฮว๋ายยู่เข้ากระดูกดำ แน่นอนว่าย่อมเห็นว่าตู๋กูซิงหลันทำอะไรก็ดีไปหมด และเห็นว่าฮว๋ายยู่นั้นไม่ดีในทุกทางอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าการจะมานั่งถกเถียงเรื่องนี้กันในตอนนี้ มันไม่มีประโยชน์
พวกมันเพียงต้องการเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น คิดจะเหาะผ่านประตูสวรรค์ทิศใต้ออกไปพร้อมๆกับร่างแบ่งภาคของตู๋กูซิงหลัน
เพราะตอนนี้เหลือระยะห่างเพียงนิดเดียว แค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น
แม้แต่ร่างแบ่งภาคที่เก้าของตู๋กูซิงหลันก็ยังผ่านเข้าไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แต่ทันใดนั้น สายตาของตู๋กูซิงหลันก็พลันเบิกโพลงขึ้นมา
“อย่าได้เข้าไป!” จู่ๆนางก็ร้องตะโกนออกมา ทั้งยังรั้งเยี่ยเฉินและมังกรทั้งเก้าเอาไว้ไม่ให้หลุดเข้าไป
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีมีดเล่มหนึ่งตวัดผ่านซุ้มประตูสวรรค์ทิศใต้ลงมา
ร่างแบ่งภาคที่มีรูปลักษณ์เช่นเดียวกับตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนถูกสิ่งที่คมประดุจใบมีดผ่าลงไปจากศีรษะจรดปลายเท้า จนแบะออกเป็นสองส่วนในทันที!
ภาพตรงหน้าสมจริงราวกับว่าพวกมันได้เห็นตู๋กูซิงหลันถูกสับอยู่ตรงหน้า ทำเอามังกรทั้งหมดตระหนกจนหัวใจกระตุก อย่างไม่อาจรับได้
พอร่างแบ่งภาคถูกสับ ก็ร่วงหล่นลงไปและกลายเป็นยันต์โลหิตครึ่งใบ บนยันต์โลหิต ยังมีประกายแสงสีทองและเสียงระเบิดออกมา จากนั้นก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นควันสีดำ
ชัดเจนเลยว่า หากพวกมันผ่านเข้าไปในประตูสวรรค์ทิศใต้ ก็คงจะต้องถูกประกายแสงนั้นสับเป็นสองท่อน ตายไม่เหลือซาก
แถมแสงสว่างนั่นยังแผดเผาร่างกายมอดไหม้จนหมดสิ้น……
หากว่าเทพสวรรค์เหล่านั้นยอมต่อสู้กับพวกมันอย่างองอาจและเปิดเผย ก็ไม่แน่ว่าพวกมันจะต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ต่อเทพสวรรค์ทั้งหลาย
แต่ว่าวิธีการเช่นนี้ช่างชั่วร้ายอย่างที่สุด
หากมิใช่เพราะว่าท่านเจ้าวังร้องเตือนได้ทัน พวกมันก็คงจะต้องจบสิ้นไปนานแล้ว
บนประตูสวรรค์ทิศใต้ แสงสว่างนั้นยังคงฟาดฟันลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด เท่ากับว่าปิดตายเส้นทางหลบหนีของพวกมันไปแล้ว
“ฉับ ฉับ ฉับ….”
และในทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏนักรบเทพในชุดเกราะสีทองออกมาจากหมู่เมฆรอบด้าน
ทั้งหมดมากันอย่างเนืองแน่น รายล้อมพวกของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา โดยมีประตูสวรรค์ทิศใต้อยู่ด้านหลังพวกนาง
“นางมารร้าย เจ้าไม่มีทางหลบหนีได้อีกแล้ว”
ผู้นำทัพสองคน คือสองในแปดแม่ทัพสวรรค์
ส่วนแม่ทัพอีกหกคน ล้วนแยกย้ายกันไปพิทักษ์ประตูสวรรค์ที่เหลืออีกสามบาน
ต่อให้นางมารผู้นี้จะรวดเร็วเพียงไร ก็ไม่อาจจะเหนือไปกว่ากองทัพนักรบเทพได้หรอก
สิ่งที่พวกเขาต้องทำ ก็แค่ต้องวางกำลังปิดล้อมประตูสวรรค์แต่ละแห่งเอาไว้ให้ดี ปล่อยให้นางมุ่งสู่ความตายด้วยตนเอง
ขอเพียงนางผ่านเข้าไปในประตูสวรรค์ ย่อมต้องถูกแสงเหมันต์ของประตูสวรรค์สับเป็นครึ่งท่อน!
พวกเขาต่างก็คิดว่า ด้วยความโอหังและนิสัยกระทำการอย่างบุ่มบ่ามของนางมารผู้นี้ นางจะต้องบุกฝ่าออกไปด้วยความลำพองเป็นแน่
คิดไม่ถึงว่านางจะระมัดระวังและตื่นตัวถึงเพียงนี้ ถึงกับรู้จักใช้วิธี ‘โยนหินถามทาง’
ทำให้ค่ายกลบนประตูถูกกระตุ้นออกมา
เดิมทีคิดว่าเพียงอาศัยใบมีดบนซุ้มประตูสวรรค์ก็สามารถจัดการนางได้แล้ว ตอนนี้กลับทำให้พวกเขาต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม
…………….
ภายในตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน ฮว๋ายยู่ที่กำลังจับตาดูสถานการณ์ผ่านบานกระจก ก็แย้มยิ้มออกมา
แปดแม่ทัพสวรรค์กระทำการรวดเร็วฉับไว สร้างความพอใจแก่นางอย่างยิ่ง
แม้ว่าการที่ใบมีดบนประตูสวรรค์ไม่อาจสังหารนางมารจากโลกเบื้องล่างได้นั้น ออกจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอยู่บ้าง
แต่ว่าตอนนี้นางก็ตกอยู่ในมือของแม่ทัพสวรรค์แล้ว ต่อให้มีปีกก็ไม่มีทางหนีพ้น
ริมฝีปากแดงของฮว๋ายยู่ยกยิ้มอย่างสวยงาม หัตถ์ของนางลูบไล้อยู่บนพระครรภ์ที่ยื่นออกมาเล็กน้อยอย่างแผ่วเบา “ลูกเอ๋ย มารดาจะไม่ปล่อยให้มีผู้ใดมาสั่นคลอนพวกเราได้อย่างเด็ดขาด”
ว่าแล้ว พระนางก็ตรัสถามออกไปที่ด้านนอกว่า “เชิญเสด็จเทียนตี้มาแล้วหรือยัง?”
เรื่องที่นางแอบอ้างพระบัญชานั้น ตอนนี้ไม่อาจให้ตี้เสียทรงทราบชั่วคราว
รอให้จัดการนางมารนั่นได้เรียบร้อยเสียก่อน นางค่อยไปสารภาพผิดกับเขาด้วยตนเอง
………..