ทันทีที่นางกำนัลเอ่ยออกไป ก็จุดประกายในดวงเนตรของฮว๋ายยู่ขึ้นมา
มิว่ายามอยู่ต่อหน้าผู้คน หรือว่าอยู่ต่อหน้าตี้เสีย ฮว๋ายยู่ก็ทรงแสดงออกอย่างอ่อนโยนและมีเมตตาปรานีอยู่เสมอ
ดวงเนตรดอกท้อของนางมันจะมีแววตาที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสงสารและอยากปกป้องอยู่ตลอดเวลา
เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เพียงคิดอยากจะปกป้องนาง
ราวกับเกรงว่าหากไม่ระมัดระวังนางก็อาจจะแตกสลายไป
แต่ลับหลังผู้คน มีแต่เทพธิดาที่เป็นนางกำนัลรับใช้ใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่า ในดวงเนตรหงส์คู่นั้น มีไอสังหารที่เยือกเย็นอย่างสุด
เทียนจุนทรงเป็นจักรพรรดิสวรรค์ คือเทพที่ได้รับความเคารพสูงสุดในแดนสวรรค์
มีเทพธิดาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ที่คิดเข้าหาพระองค์
ในวังหลังของเทียนตี้ นอกจากเทียนโฮว่แล้ว ย่อมต้องมีพระสนมอื่นๆอีกอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าพระสนมเหล่านั้น ไม่มีผู้ใดที่โดดเด่นจนถึงขั้นได้รับพระราชทานนามและยศ
พวกที่รู้จักเชื่อฟัง ก็เก็บเนื้อเก็บตัวนอบน้อมอยู่ใต้บัญชาของเทียนโฮว่
พวกที่ไม่เชื่อฟัง หากมิใช่ว่าถูกปลดจากความเป็นเทพส่งไปเกิดบนโลก ก็ต้องจิตวิญญาณแตกสลาย สาบสูญชั่วนิรันดร์
เพราะฉะนั้น แม้ว่าในใจจะมีเป้าหมายแต่ว่าเทพธิดาเหล่านั้นก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ชิดกับเทียนตี้
วังหลังที่กว้างใหญ่ กลับมีพระสนมอยู่เพียงสามนางเท่านั้น
เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็พากันเข้าใจว่าเทียนตี้ทรงรักใคร่โปรดปรานเทียนโฮว่ เรื่องของเหล่าสตรี อย่างไรก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยถ้อยคำสั้นๆอยู่แล้ว
ผู้มองจากภายนอกดูอ่อนแอน่าทะนุถนอม แต่แท้จริงแล้วก็อาจจะเป็นผู้ที่โหดเ**้ยมที่สุดก็เป็นได้
แค่ฮว๋ายยู่กวาดเนตรมองไปที่นาง เทพธิดาผู้นั้นก็คุกเข่าลงไปในทันที
“บ่าวพูดผิดไปแล้ว ไม่สมควรบังอาจไปวิจารณ์เทียนตี้ ขอเทียนโฮ่วทรงเมตตาละเว้นด้วยเพคะ”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ก้มศีรษะลงไปติดพื้น แววตามีแต่ความหวาดกลัว
“เทียนจุนจะทำสิ่งใด ย่อมต้องมีเหตุผลของพระองค์” ฮว๋ายยู่มิได้อนุญาตให้นางลุกขึ้น เพียงจดจ้องไปยังเงาที่อยู่ในกระจก
เงาในกระจกนั้น สะท้อนใบหน้าของตู๋กูซิงหลันออกมาให้นางได้ทอดพระเนตรอย่างแจ่มชัดจนไม่อาจชัดไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ยันต์โลหิตที่อยู่ในมือของตู๋กูซิงหลัน นางก็มองเห็นอย่างชัดเจน
“อาคมเรียกวิญญาณ…” ฮว๋ายยู่หรี่ดวงตาลง “นางก็ใช้มันเป็นด้วย”
เทพธิดาองค์นั้นคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยไม่กล้าถามว่า ‘นาง’ ผู้นั้น คือใครกัน
วันนี้พวกนางก็ได้เห็นประมุขคนใหม่ของวังมังกรทมิฬผู้นั้นอยู่เหมือนกัน ดวงตาและรูปคิ้วนั่น…ช่างเหมือนกับเทียนโฮว่อย่างยิ่ง
แถมยังดูเหมือนว่า เทียนโฮว่จะทรงชิงชังสตรีผู้นี้เป็นพิเศษอีกด้วย
“เจ้า จงไปถ่ายทอดพระราชโองการ ให้ปิดบันไดสวรรค์ที่ทอดลงไปยังโลกเบื้องล่าง” ฮว๋ายยู่ตรัสต่อไป
เทพธิดาองค์นั้นชะงักไปอย่างแรง “แต่เทียนโฮว่เพคะ พระราชโองการเช่นนี้มีแต่เทียนตี้เท่านั้นที่สามารถ….”
ฮว๋ายยู่ลุกขึ้นยืนขยับปลายนิ้ว ลำแสงหนึ่งก็สว่างออกมา เบื้องหน้าของพระนางปรากฏราชโองการฉบับหนึ่งขึ้นมา นางขยับร่างลุกขึ้น เสด็จไปยังโต๊ะเตี้ย ประทับตราลัญจกรลงไปบนนั้นอย่างรวดเร็ว
เทพธิดารับใช้ผู้นั้นถึงกับเป็นใบ้ไปแล้ว………
ตราลัญจกรจักรพรรดินั่น แต่ไหนแต่ไรมีแต่เทียนตี้เท่านั้นที่ทรงใช้ได้
“เทียนโฮว่เพคะ บันไดสวรรค์นั่นหากถูกปิดไปแล้ว ก็เท่ากับตัดขาดเส้นทางระหว่างสวรรค์และโลกเบื้องล่างอย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยๆจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนจึงจะเปิดใหม่ได้อีกครั้ง”
“รีบไปเดี๋ยวนี้!” ฮว๋ายยู่ตะคอกเสียงดังใส่นาง
มิว่าจะอย่างไร นางจะไม่มีวันยอมให้สตรีผู้นั้นหลบหนีไปได้อย่างเด็ดขาด
ต่อให้จะต้องถูกเทียนจุนตำหนิก็ตาม
ตอนนี้นางตั้งครรภ์องค์รัชทายาท อย่างมากเขาก็ได้แต่ดุว่านางสักคำสองคำเท่านั้น นางยังรับได้อยู่
จากนั้น พระนางก็หันไปทอดพระเนตรตราลัญจกรบนโต๊ะอีกครั้ง
หลังไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสอีกว่า “ก่อนหน้านี้ซือเป่ยเพียงได้รับข่าวสารจากข้า จึงไม่อาจจัดการนางอย่างออกนอกหน้าได้ เจ้าจงนำตราลัญจกรนี้ไป ถ่ายทอดคำสั่งให้แม่ทัพสวรรค์ทั้งแปดเคลื่อนไหว มิว่าอย่างไรจะต้องกำจัดนางมารผู้นั้นให้จงได้”
“เทียนโฮว่เพคะ นี่มัน….” หัวใจของเทพธิดาผู้นั้นแทบจะกระดอนออกมาอยู่แล้ว
หากว่าแค่ปิดบันไดสวรรค์ เมื่อเทียนตี้ทรงทราบ จะอย่างไรก็ต้องยอมประทานอภัยให้กับเทียนโฮว่อย่างแน่นอน
แต่ว่าพระบัญชานี้ ออกคำสั่งให้แม่ทัพสวรรค์ทั้งแปดเคลื่อนไหว ….เมื่อแม่ทัพทั้งแปดลงมือ แดนสวรรค์จะต้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
เพื่อจัดการกับสตรีจากโลกเบื้องล่างผู้หนึ่ง เทียนโฮว่ถึงกับกล้าเสี่ยงถึงเพียงนี้?
“จงทำตามคำบัญชาของข้า” ฮว๋ายยู่ประคองครรภ์ของนางเอาไว้ พลางทอดพระเนตรมองดูดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันในกระจก
ยามนี้ในสมองของพระนาง มีแต่เรื่องราวในครั้งนั้น
ทั้งๆที่ผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว นานจนกระทั่งสมควรจะลืมใบหน้าของคนผู้นั้นไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้ เพราะนาง ทุกอย่างในตอนนั้นคล้ายจะย้อนกลับคืนมาตรงหน้าของพระนางอย่างแจ่มชัดอีกครั้ง
บนโลกหล้านี้ สามารถมีฮว๋ายได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้าเนิ่นนานเป็นเช่นไร ตอนนี้และต่อไปก็ต้องเป็นเช่นนั้น
ตี้เสียทรงปล่อยไว้โดยไม่ทำสิ่งใด แสดงให้เห็นว่าในพระทัยยังคงไม่ลืมคนผู้นั้นอย่างแน่นอน ถึงได้เสียดายไม่กล้าลงมืออยู่ตลอด
หรือบางที พระองค์อาจจะกำลังทรงสืบเสาะอยู่ก็เป็นได้?
แต่ว่าฮว๋ายยู่ในตอนนี้ไม่มีแก่ใจจะครุ่นคิดเรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว
พระนางคิดแต่จะดับชีวิตตู๋กูซิงหลันให้ได้ และจะต้องอย่างรวดเร็วที่สุดด้วย!
ตลอดหลายปีมานี้ สตรีที่พระนางดับชีพไปมีน้อยเสียเมื่อไหร่กัน? ย่อมไม่ใช้แต่เพียงคนผู้นี้อยู่แล้ว
ดูเอาเถอะ แม้แต่ตราลัญจกรที่ทรงความสำคัญที่สุด ตี้เสียก็ยังทรงทิ้งเอาไว้ในห้องบรรทมที่ทั้งสองประทับอยู่ร่วมกันอยู่เสมอ นี่มีเท่ากับว่าพระองค์ทรงไว้พระทัยนางที่สุดหรอกหรือ?
………………….
ที่นอกตำหนักซือมิ่งกง ยันต์เรียกวิญญาณของตู๋กูซิงหลันนับว่าทำงานได้อย่างทันเวลา
สามารถเรียกเอาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งให้รอดจากกำมือของซือเป่ยได้ทันพอดี
ดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งถูกผนึกเอาไว้ในยันต์โลหิต ตอนนี้ก็ยังใจสั่นอยู่ไม่หาย
เมื่อครู่นี้ เขาเกือบจะวิญญาณแตกสลาย ดับสูญไปตลอดกาลแล้ว
แต่ว่าในตอนนั้น พลังดึงดูดวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดขุมหนึ่งมาถึงข้างกายเขา เขาจึงติดตามพลังนั้นมาโดยไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิดเลยสักนิด
แวบต่อมา เขาก็มาติดอยู่ในยันต์โลหิตของตู๋กูซิงหลันแล้ว
มิว่าจะพูดเช่นไร เขาในตอนนี้ก็เป็นดวงวิญญาณของเทพดวงหนึ่ง สมควรจะแข็งแกร่งกว่าดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ต่ำต้อยจากโลกเบื้องล่างอยู่มาก
ไม่น่าจะถูกเรียกมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
แต่ว่า ตู๋กูซิงหลันก็มีพลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นอยู่
ประกอบกับ เขาเองก็เต็มใจ จึงทำให้ยันต์โลหิตเรียกตัวมาได้สำเร็จ
เมื่อครู่นี้อันตรายอย่างยิ่ง ยันต์เรียกวิญญาณนี้เท่ากับว่าเป็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายแล้ว เขาย่อมต้องไขว่คว้าเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันโบกยันต์โลหิตแผ่นนั้นไปมา “เห็นไหม ข้าบอกแล้วไม่มีผิด ว่าซือเป่ยจะต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”
ต้าซือมิ่งตัวสั่นสะท้าน เมื่อครู่เขาเพียงตะเกียกตะกายหาทางรอด ถึงได้ตอบรับการเรียกหาของนางไป
แต่ว่าตอนนี้ เมื่ออยู่ในมือของตู๋กูซิงหลัน เขาก็มิได้รู้สึกว่าปลอดภัยเช่นกัน
ขณะที่เขาคิดจะแสดงการต่อต้านออกไป ก็ได้ยินเสียงตู๋กูซิงหลันกระแอมไอขึ้นมา “อ้ายย่าห์ เหล่าซือ ให้เจ้ามาเป็นสายลับบนแดนสวรรค์ แล้วทำไมเจ้าถึงได้ไม่รู้จักระมัดระวังตัวถึงขนาดนี้ แถมยังต้องให้ข้ามาช่วยเจ้าอีก เจ้านี่มันใช้การไม่ได้เสียจริงๆ”
“เพื่อช่วยเหลือเจ้า ข้าต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปมากมายเพียงไหนรู้ไหม”
“ดูสิ เจ้าเกือบจะตายใต้เงื้อมือของเทพสงครามไปแล้วรู้ไหม?”
ต้าซือมิ่ง “ ! ! !”
นี่เขากลายเป็นสายลับไปตั้งแต่เมื่อไหรกัน?
แต่ว่าคำพูดเหล่านั้น ย่อมเข้าหูพวกเทพไปแล้วอย่างแน่นอน
ต้าซือมิ่งกัดฟันกรอด “นี่เจ้าคิดจะลากข้าลงน้ำไปด้วยกันหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาเบาๆ พลางเก็บพลังวิญญาณกลับไป “ข้ากำลังช่วยชีวิตสุนัขของเจ้าอยู่”
ต้าซือมิ่ง “…..”
เสียงหัวเราะของนางฟังดูชั่วร้ายอย่างที่สุด
“นับจากนี้เป็นต้นไป แดนสวรรค์ไม่อาจยอมรับเจ้าได้อีกแล้ว ในสายตาของพวกเขา เจ้าก็คือคนทรยศตั้งแต่หัวจรดเท้า”
ดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งถึงกับสะท้าน หากมิใช่ว่าสตรีผู้นี้เอาแต่แหกปากตะโกนอยู่ตลอดเวลา ทำเอาจิตใจของเขาว้าวุ่นสับสนไปหมด เขาย่อมไม่มีทางไปกระทำเรื่องที่เหมือนไม่เคารพต่อซือเป่ย
ทั้งๆที่ซือเป่ยคือผู้ที่สามารถปกป้องเขาได้อย่างดีที่สุดแท้ๆ
แต่ว่าตอนนี้ เขากลับตกหลุมพลางของตู๋กูซิงหลันเสียแล้ว
“เจ้าคิดว่าพวกเทพทั้งหลายต่างก็เป็นไอ้โง่ ที่เจ้าพูดอะไรออกไปก็พากันเชื่องั้นหรือ?”
ต้าซือมิ่งพยายามจะบังคับตนเองให้สงบลงให้จงได้ สตรีผู้นี้ ไม่อาจเชื่อถือได้โดยง่าย
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงดัง ขยำยันต์โลหิตแผ่นนั้นจนกลายเป็นก้อนกลม แววตาของนางเปล่งประกายเย็นชา “พวกเขาอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางละเว้นเจ้าอย่างแน่นอน ชาวสวรรค์อย่างพวกเจ้า มิใช่ว่ายินดีฆ่าคนผิดสามพัน แต่ไม่ขอปล่อยไปแม้แต่คนเดียว หรอกหรือ?”
พอตู๋กูซิงหลันเรียกวิญญาณของต้าซือมิ่งมาได้ก็สั่งให้เยี่ยเฉินมุ่งไปยังบันไดสวรรค์ที่ทอดลงสู่โลกเบื้องล่างในทันที
โดยที่มังกรทั้งเก้าที่อยู่รอบกาย ยังไม่ทันได้รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ
ท่านเจ้าวังช่างเก่งกาจเหลือเกิน เดิมทีพวกมันคิดว่าคงต้องสู้รบกันอย่างโหดเ**้ยงสักตั้งจึงจะจับดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งมาได้ แต่นางกลับใช่เล่ห์กลเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขากระโดดออกมาเองแล้ว
……………………