เขาจดจ้องเข้าไปในดวงตาของตู๋กูซิงหลัน ดวงตาดอกท้อระยิบระยับดุจแสงดาว เปล่งประกายพร่างพราวราวดวงดาวที่อยู่เหนืองท้องทะเล
สำหรับซือเป่ยแล้ว ในใต้หล้าดวงตาที่งดงามเช่นนี้มีอยู่เพียงคู่เดียวก็พอแล้ว
เขารวบรวมพลังทั้งหมดในร่างเอาไว้บนปลายง้าว ง้าวเล่มนี้เคยถูกทำลายลงด้วยฝีมือของซือมั่ว หลังจากที่เขากลับมายังแดนสวรรค์ ก็เบิกเอาทองคำขาวออกมาจากสายธารดวงดาว ใช้จิตวิญญาณของเทพหล่อหลอมอยู่สี่สิบเก้าวัน ยามนี้แค่เขาโบกง้าวด้ามนี้ออกไป ภูเขาและสายน้ำต้องถูกเขย่า แผ่นดินสั่นสะเทือน
สำหรับเขาแล้ว ตู๋กูซิงหลันนับว่าแข็งแกร่ง แต่ยังไม่อาจประชันกับเขาได้
บางที หากนางไปฝึกอีกสักหมื่นปี นางก็อาจจะพอประมือกับเขาได้สักรอบ
ยามนี้ ยังนับว่าห่างไกลเกินไป
ตู๋กูซิงหลันถอยหลังออกไป นางถอยไปจนถึงด้านหลังของหงส์แดง
แต่ว่าง้าวของซือเป่ยติดตามมายังไม่ทันถึง นางรู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งและรุนแรงจนสั่นสะเทือนฟ้าดิน ที่พุ่งใส่ราวกับระเบิดนับพันลูกถล่มเข้ามาอย่างพร้อมเพียงกัน
จนทำให้แม้แต่จิตวิญญาณของนางก็ยังพลอยกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงไปด้วย
ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้ว่า ครั้งก่อนตอนที่พบกันในหุบเขาปีศาจ ซือเป่ยยังไม่ได้เอาจริงกับนาง
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกระชับไม้คฑาสีดำในมือ ถอยร่างไปจนถึงปลายหางของหงส์แดง ก็เห็นว่าซือเป่ยยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
พลังของง้าวสีทองด้ามนั้นเพิ่มพูนเป็นสองเท่าในทันควัน บนตัวง้าวปรากฏแสงสว่างกลุ่มใหญ่ออกมาจากปลายง้าว
ง้าวเล่มนั้นยังพุ่งมาไม่ทันถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน แต่แสงที่สว่างออกมาก็ทะลวงผ่านร่างของนางไปจนแทบจะกลายเป็นโปร่งใสอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะหลบพ้นแล้ว แต่ว่าแสงสว่างนั้นก็ยังบาดลึกลงไปบนท่อนแขนของนางจนกลายเป็นแผลกว้าง
เพราะนี้คือดวงวิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าจะบาดเจ็บแต่ก็ไม่มีเลือดไหลออกมา
“เจ้าไม่มีทางหนีอีกแล้ว” เขาใช้ใบหน้าที่เหมือนกับตู๋กูจุน จดจ้องและมองดูด้วยสายตาเย็นชาอย่างปราศจากน้ำใจไมตรีใดๆ
แสงสว่างจากปลายง้าวเล่มนั้นส่องออกไปไกลหลายสิบเมตร เขาบีบคั้นตู๋กูซิงหลันจนหมดสิ้นหนทางหลบหนี
เป็นดวงวิญญาณแล้วจะอย่างไร ใต้คมง้าวของเทพสงคราม ไม่มีผู้ใดสามารถมีชีวิตรอดไปได้ แม้แต่จิตวิญญาณก็ต้องสูญสลาย
เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็มองดู ด้วยแววตาสะใจ
เทพสงครามสมแล้วที่เป็นเทพสงคราม ไหนเลยจะปล่อยให้นางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นมากำแหงได้ ไม่สิ มีแต่จะต้องถูบกระหน่ำตีโดยไม่อาจตอบโต้เลยต่างหาก นางได้แต่หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนเท่านั้น แต่ว่านางยังจะหนีไปที่ไหนได้อีก?
จุดจบย่อมเป็นจิตวิญญาณแตกสลาย ก็แค่ขึ้นอยู่กับเวลา ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้มองดูท่อนแขนที่บาดเจ็บเลยด้วยซ้ำ นางกุมคฑาสีดำมะเมื่อมด้ามนั้นเอาไว้ เมื่อซือเป่ยฟาดง้าวลงมาอีกครั้ง ก็ใช้คฑาสีดำขวางเอาไว้
และครั้งนี้ ทั่วทั้งบริเวณรอบประตูสวรรค์ทิศใต้ถึงกับสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น หมอกสีแดงแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง และที่อยู่เบื้องหลังหมอกเหล่านั้น ก็คือดวงตาดอกท้อที่แน่วแน่คู่นั้นของนาง
นางยังไม่ได้พบกับจีเฉวียนหรืออาจารย์ที่กลับคืนมาอีกครั้งเลย แล้วไหนเลยจะยอมตายใต้ฝ่ามือของเขาได้กัน?
ที่จริงแล้ว นางยังคิดจะสังหารซือเป่ยกับมือมาโดยตลอด
หากว่าเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตนางก็ต้องลากเขาไปตายให้จงได้
แต่ว่าตอนนี้นางไม่อาจทำเช่นนั้น
นางจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อกลับไปเจอพวกเขา
ซือเป่ยแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดที่จะทำลายนางให้แหลกสลายได้
เหล่าเทพมากมายต่างก็พ่ายแพ้ลงใต้ฝีมือของนาง แม้ว่าในใจของพวกเขาจะมีแต่ความโกรธแค้น แต่ก็ไม่กล้าเยาะเย้ยตู๋กูซิงหลันอย่างโง่ๆอีก
ไม้คฑาสีดำในมือของนางช่างพิศดาร ทั้งๆที่มองดูแล้วแสนจะธรรมดาไม่มีสิ่งใดเตะตาทั้งสิ้น แต่ว่าก่อนหน้านี้แม้แต่ดาบคาตานะและค้อนทลายดาราก็ยังทำอะไรมันไม่ได้
กลุ่มระเบิดแสงที่สว่างจ้าจางหายไป พวกเขาถึงค่อยสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ว่าคฑาสีดำมะเมื่อมด้ามนั้นยังคงสามารถต้านทานง้าวของเทพสงครามเอาไว้ได้จริงๆ
ซือเป่ยเองก็มิได้ทำท่าจะประหลาดใจ เพียงแต่เหลือบมองดูคฑาสีดำนั่นอีกครั้ง
เขารู้สึกว่ามันช่างดูคุ้นเคย แต่ก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“อาศัยโชคลาภเก็บสมบัติล้ำค่ามาได้ชิ้นหนึ่ง ก็ทำให้เจ้ากล้ามากำแหงถึงเพียงนี้” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา
จริงอยู่ ว่าคฑาสีดำด้ามนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ ทั้งๆที่ถูกง้าวของเทพสงครามฟันใส่ ก็ยังคงไร้ปัญหา แม้แต่ริ้วรอยสักนิดก็ไม่มี
แม้ว่าท่อนแขนของตู๋กูซิงหลันจะชาไปแล้ว แต่มือที่กุมคฑาสีดำเอาไว้ก็ยังไม่ยอมคลายออกแม้แต่น้อย นางเพียงกวาดตาใส่ซือเป่ยอย่างเย็นชาเท่านั้น
“เจ้ามันพูดมากเกินไป”
ทันทีที่สิ้นเสียง ง้าวของซือเป่ยก็บุกเข้ามาอีกครั้ง
แรงกดดันครอบคลุมทั่วฟ้า บีบคั้นเสียจนหงส์แดงที่อยู่ใต้ร่างของนางเริ่มแตกร้าวออกมา
เหล่าทวยเทพต่างไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แถมตอนนี้ยังพากันถอยห่างออกไปอีกด้วย
เทพสงครามลงมือ ย่อมไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาคอยช่วยเหลือ
พวกที่เสนอหน้าออกไป มีแต่จะต้องกลายเป็นเถ้าถ่านเท่านั้น
ที่ด้านหลังของตู๋กูซิงหลันคือใบมีดแสงที่ฟันลงมาอย่างถี่ยิบของประตูสวรรค์ทิศใต้ เบื้องหน้าของนางคือซือเป่ยและนักรบเทพนับหมื่นคน นางไม่เหลือทางถอยอีกแล้ว
เมื่อครู่นางทดลองใช้พลังวิญญาณปลุกเร้าคฑาสีดำ คิดจะดูดซับพลังวิญญาณของซือเป่ย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสำเร็จ
ตบะของอีกฝ่ายสูงล้ำเหนือกว่านาง พลังวิญญาณย่อมแข็งแกร่งกว่ามาก
คฑาสีดำด้ามนี้นางยังไม่ได้ปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า พลังในการดูดซับมีอยู่ค่อนข้างจำกัด
พอเห็นว่าง้าวของเทพสงครามด้ามนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ปิดดวงตาลง หมอกสีแดงรอบกายเปลี่ยนเป็นหมอกสีดำไปในทันที
ทันใดนั้น กระแสความเย็นที่เหน็บหนาวก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของนาง
ชุดสีแดงโบกโบย เส้นผมสีดำอมเงินพลิ้วไหวไปในอากาศ หมอกสีดำหมุนวนรอบกายก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับพายุหมุนที่มุ่งหน้าเข้าหาซือเป่ย
หมอกสีดำที่หนาวเย็นอย่างยิ่งพัดออกไป ทั้งยังได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน ราวกับภูตผีคร่ำครวญ
“นาง นาง นาง นี่ก็คือ…..”
ชั่วขณะนั้น เหล่าทวยเทพต่างพากันตกตะลึงงัน
บนแดนสวรรค์ มีแต่แสงสว่างกระจ่างอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจดจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปีมาแล้วที่ไม่เคยมีพายุสีดำทมึนปรากฏขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นหมอกสีดำที่ออกมาจากร่างกายของนางมารผู้นี้ ยังเหน็บหนาวอย่างน่าหวาดกลัว จนรู้สึราวกับว่าผู้คนกำลังถูกลากลงสู่ขุมนรก
ในขณะเดียวกันง้าวเทพสงครามของซือเป่ยก็ยังไม่ได้ดึงกลับไป หากแต่ฟาดลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันแทบจะในเวลาเดียวกัน
แต่ในตอนนั้นเอง เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจกลางของหมอกสีดำ และสกัดพลังของง้าวด้ามนั้นเอาไว้
ซือเป่ยรู้สึกได้ว่าตนเองฟันลงไปโดนบางสิ่ง แต่เมื่อเขามองดูให้ละเอียด ก็ต้องพบว่าหมอกสีดำนั้นมีเงาบุรุษที่ไหนกัน
มีแต่ตู๋กูซิงหลันที่เย็นชาประดุจพญามารซิ่วหลัว[1]
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า แหวนบนนิ้วก้อยมือขวาของตู๋กูซิงหลัน ตอนนี้ได้สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
แหวนวงนั้น คือแหวนที่จีเฉวียนเคยมอบให้แก่นาง แล้วถูกนางเอาไปจำนำ ต่อมาภายหลัง เมื่อจีเฉวียน ‘ตาย’ ไปแล้ว นางก็เก็บมันได้จากในกองขี้เถ้าที่เคยเป็น ‘ร่างกาย’ ของเขา
นับแต่นั้นนางก็สวมมันไว้บนนิ้วมาโดยตลอด
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน นางมองดูเรือนแหวนที่สลายไปพร้อมๆกับหมอกสีดำ เมื่อครู่นี้….นางมองเห็นเงาร่างร่างหนึ่งอย่างชัดเจนอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจะมิได้หันร่างกลับมา แต่นางก็จดจำได้ว่านั่น คือจีเฉวียน
แม้แต่นางยังไม่เคยรู้เลยว่า ในแหวนวงนี้จะมีพลังส่วนหนึ่งของเขากักเก็บเอาไว้ และในยามที่อันตรายที่สุดนั้น พลังนี้ได้ปกป้องชีวิตของนางเอาไว้อีกครั้ง
แน่นอนว่า หากเมื่อครู่จีเฉวียนมิได้ช่วยสกัดพลังขุมนั้นเอาไว้ แม้แต่หมอกสีดำของนางก็คงไม่อาจช่วยปกป้องนางได้อย่างแน่นอน
พลังของซือเป่ยแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ความเคลื่อนไหวก็รวดเร็ว ต่อให้นางจะขับเคลื่อนพลังของหยกสรรพชีวิตออกมาในทันที ก็คงจะยังชักช้าไปก้าวหนึ่ง
นาง ติดค้างหนี้ชีวิตจีเฉวียนอีกครั้งแล้ว
………………..
ขณะเดียวกัน บนดวงดาวที่มืดมิดดวงนั้น บุรุษที่สถิตย์อยู่ในแก่นกลางของดวงดาวดวงนั้น ก็กระพริบตาขึ้นมาเบาๆ
แสงเจิดจ้าของสายฟ้าฟาดลงมาบนร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่งดงามดุจดวงตาหงส์คู่นั้น ในที่สุดก็ลืมขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ
………………….
[1] 修罗: พญามารระดับเทพในยุคบรรพกาล (ภาษาญี่ปุ่น ใช่คำว่า อาชูร่า) มักทดสอบจิตมนุษย์ด้วยการล่อลวงให้ตกในกิเลส