ไม่มีผู้ใดจะสามารถขัดขวางเส้นทางระหว่างเจ้าและข้าอีกแล้ว
สายลมโบกโบย พัดพาแถบผ้าสีทองบนท่อนพระกรพลิ้วขึ้นมา
ดวงเนตรสีทองคู่นั้น นอกจากนัยตาที่ร้อนแรงแล้ว ตอนนี้ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาที่จะยึดครองอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดพระองค์ก็ยกพระโอษฐ์แย้มสรวลขึ้นมา
แววเนตรที่จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน เสมือนได้เห็นสมบัติล้ำค่าที่สูญหายไปปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้พระองค์เคยตรัสเอาไว้แล้วว่า สักวันหนึ่งนางจะต้องสำนึกเสียใจ
เสียใจที่นางเลือกซีเหอ ไม่ยอมเลือกพระองค์
ตอนนี้ พระองค์ก็ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งสรวงสวรรค์ผู้สูงส่งแล้ว
หากนางต้องการขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ไยต้องครุ่นคิดวางแผนให้มากความ
ขอเพียงพูดกับพระองค์อย่างอ่อนหวานสักหลายประโยค มิว่าต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ผู้ที่พระองค์ทรงต้องการก็คือนาง!
ความปรารถนาที่ไม่บรรลุในครั้งก่อน ครั้งนี้จะต้องทำให้กลายเป็นจริงให้จงได้!
…………………
ไม่ไกลจากจุดที่ตี้เสียทรงประทับอยู่ คือเงาร่างที่เลือนลางสายหนึ่ง
ตี้ซินมิได้เผยโฉมออกไป แต่ว่าเขากลับมองเห็นสีพระพักตร์และจับอารมณ์ที่แสดงออกมาของตี้เสียได้อย่างชัดเจน
จากนั้น ก็หันความสนใจไปยังตู๋กูซิงหลันเช่นกัน
และสุดท้ายก็มองไปที่ถุงเฉียนคุนที่อยู่ในมือของนาง
มิน่าเล่า….มิน่าตอนอยู่ที่สายธารดวงดาวแวบแรกที่เขาได้เห็น ‘เขา’ ผู้นั้น ตนถึงได้เกิดความคิดอยากจะช่วยเหลือนางสักครั้ง
ที่แท้ก็เพราะว่าบนร่างของนาง มีกลิ่นอายของจิ้งจอกตัวนั้นแฝงอยู่
หากดูจากภายนอกถุงเฉียนคุนใบนั้น เหมือนจะสร้างขึ้นมาจากทองแดง แต่ที่จริงแล้วตอนนั้น เขาเป็นคนสั่งให้ยอดปรมาจารย์ช่างหลอมในเมืองเฉาเกอเฉิงสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง เพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับนาง
พอได้เห็นถุงเฉียนคุนใบนี้อีกครั้ง หัวใจของเขาก็ต้องสับสนวุ่นวายไปหมด
ที่ดีใจ ก็เพราะว่านางยังคงเก็บรักษาสิ่งของที่เขามอบให้นางเอาไว้
ที่เสียใจ ก็เพราะได้รู้ว่า นางมอบสิ่งของที่เขาให้ไว้ให้กับผู้อื่นโดยง่าย
แต่มิว่าเช่นไร ตี้ซินก็รู้แล้วว่า สาวน้อยผู้นี้จะต้องเป็นคนสำคัญของเจ้าจิ้งจอกของเขาอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นจิ้งจอกของเขา จะต้องไม่มีทางมอบถุงเฉียนคุนนี้ให้นางมาแน่
ในชีวิตของเขา เคยติดค้างคนเพียงผู้เดียว นั่นก็คือต๋าจี่
…………….
พระตำหนักยวนยางกง ฮว๋ายยู่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเบาะนุ่ม
วันนี้อารมณ์ของพระนางขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจสงบลงได้เลย
ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในกระจก ทำให้นางพลอยตื่นเต้นอยู่ตลอดไปด้วย
แปดแม่ทัพต่างก็ลงมือแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้พวกสัตว์ชั้นต่ำทั้งเก้าชีวิตนั้นหลุดรอดไปได้!
และตอนนี้ พวกเขาก็กำลังพิสูจน์ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกับนางมารผู้นั้นอยู่
ซือเป่ยเป็นผู้คุมทัพ แปดแม่ทัพรับบัญชา ยังมีนักรบสวรรค์อีกเกือบหมื่นคน แต่กลับจับนางมารเพียงคนเดียวไม่ได้?
พระนางกริ้วเสียจนปวดพระครรภ์จริงๆแล้ว
ตี้เสียก็ทรงถ่วงเวลาไม่ยอมเสด็จมาเสียที แล้วเช่นนี้พระทัยของพระนางจะสงบลงได้อย่างไร
พระหัตถ์ของพระนางกุมด้ามจับของกระจกบานนั้นเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ในที่สุดก็ทรงทนต่อไปไม่ไหว ฝ่าพระหัตถ์ขยับเล็กน้อย พลังวิญญาณสายหนึ่งก็ถูกส่งเข้าไป
……………….
บนหมู่เมฆเบื้องบน ซือเป่ยรู้สึกถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในทรวงอก
เขาโบกมือขึ้นมาครั้งหนึ่ง รอบกายก็มีแสงสีทองรายล้มเอาไว้
กระจกบานหนึ่งเลื่อนไหลออกมาจากในอกเสื้อ
กระจกบานนั้นลอยอยู่ในระดับสายตาของเขา ตอนแรกบนกระจกสะท้อนภาพหมอกที่ดูขมุกขมัว แต่ว่าหมอกพวกนั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นปรากฏดวงหน้าที่งดงามโดดเด่นขึ้นมา
ซือเป่ยยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงของฮว๋ายยู่ดังออกมาจากในกระจกว่า
“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ลงมือด้วยตนเองอีก? ปล่อยให้นางมารผู้นั้นได้ถ่วงเวลาออกไป เพราะคิดจะลากยาวจนให้เทียนจุนทรงเสด็จไปช่วยนางกระนั้นหรือ?”
ใช่แล้ว ฮว๋ายยู่อดที่จะกังวลไม่ได้ว่า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ตี้เสียอาจจะทรงเสด็จไปช่วยเหลือนางมารผู้นั้นด้วยตนเอง
เพราะก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน นางเหลือบไปเห็นจากในกระจกแล้วว่าเงาร่างสีทองของเขา ซุกซ่อนอยู่ในหมู่เมฆหมอกเบื้องบน
พวกนางเป็นสามีภรรยากันมานานปีขนาดนี้ พระนางย่อมต้องทรงคุ้นเคยกับพระองค์อย่างที่สุดแล้ว
แค่ได้เห็นสายพระเนตรของพระองค์เพียงแวบเดียว พระนางก็ทรงทราบว่าพระองค์กำลังทรงคิดสิ่งใดอยู่ อย่าว่าแต่ นางยังเห็นแสงสีทองกลุ่มนั้นซุกซ่อนอยู่ในหมู่เมฆอีกด้วย
ปากก็บอกว่าเข้าฌาน แต่ว่าที่จริงแล้วกลับแอบไปจับตาดูนางมารนั่นอย่างเงียบๆ
ทั้งๆที่ทรงทราบดีว่าพระนางแอบอ้างออกพระบัญชา แต่ก็มิได้ทรงเปิดโปง
พระองค์….คิดจะทำตนเป็นวีรบุรุษมาช่วยเหลือสาวงามที่ตกยากกระนั้นหรือ?
พอคิดถึงตรงนี้ ฮว๋ายยู่ก็ทรงประทับนั่งไม่ติดอีกต่อไป
ซือเป่ยเห็นท่าทางที่ร้อนรนของนาง แววตาที่เดิมทีคุกรุ่นและเย็นชาก็สลายลงไปหลายส่วน
“เทียนโฮว่ ท่านพระทัยร้อนเกินไป”
เขาทูลต่อไป “สาวน้อยจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน”
“อย่าได้มัวกล่าววาจาไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ข้าก็ต้องการให้นางจิตวิญญาณแตกสลาย จงรีบจัดการในทันที!”
ฮว๋ายยู่เค้นเสียงกดต่ำ “หากว่านางไม่ตาย เจ้าและข้าก็ยากที่จะต้องเผชิญกับภัยตรายใหญ่หลวง!”
ซือเป่ยเห็นดวงพักตร์ของนางซีดขาว ก็ปลอบประโลมไปอีกว่า “ท่านกำลังตั้งครรภ์ โปรดอย่าได้ร้อนรนจนเกินไป ข้าจะไปปลิดชีวิตของนางด้วยตนเอง”
ยามที่สนทนากับฮว๋ายยู่ น้ำเสียงของเขากลับอ่อนโยนลงไปอีกหลายส่วน ราวกับว่าเป็นคนละคนกับเทพสงครามที่ฆ่าล้างสังหารผู้คน
หากเป็นยามปกติแล้ว ในเมื่อมีเหล่าลูกน้องอยู่ เมื่อต้องการปลิดชีวิตของผู้ใด ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาถึงมือเขา
หากทำเช่นนั้นย่อมไม่เหมาะสม
เขาคือเทพสงครามแห่งสรวงสวรรค์ ย่อมมีศักดิ์ฐานะสูงส่งไร้ที่เปรียบ มิใช่ว่าเมื่อมีผู้ใดบุกเข้ามา ก็จะต้องให้เขามาลงมือด้วยตนเองอยู่เสมอ ทำเช่นนั้นถือว่าเสื่อมเกียรติจนเกินไป
แต่ว่าในเมื่อฮว๋ายยู่ตรัสออกมาแล้ว เช่นนั้นเกียรติยศและหน้าตาก็ช่างมันไปเถอะ
พอหยิบกระจกนั้นกลับมา เขาก็มองดูฮว๋ายยู่อย่างลึกล้ำอีกครั้งหนึ่ง
แต่ว่าฮว๋ายยู่กลับมิได้เสียเวลามองดูเขา นางขยับกระจกในมือ เปลี่ยนเป็นภาพสถานการณ์ที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ในทันที
ตู๋กูซิงหลันเป็นเหมือนกับหมุดตอก ที่ฝังอยู่บนยอดศีรษะของหงส์แดง
แม้ว่าหกแม่ทัพสวรรค์จะระดมกำลังกันเช่นไร ก็ยังไม่สามารถที่จะทำลายเขตอาคมของนางลงได้
พวกเขาต่างก็ร้อนใจกันใหญ่แล้ว นางมารผู้นี้ชั่วช้าเกินไปแล้ว แม้ว่าจะมิได้ลงมือทุบตีพวกเขา แต่ว่านางถึงกับไม่แม้แต่จะเหลือบตามองดูพวกเขาเลยด้วยซ้ำ นางเอาแต่ปิดตาอยู่ตลอด ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนถูกดูถูกอย่างแรง!
ส่วนพวกเขา หลังจากที่พ่ายแพ้จนกระเด็นกระดอนไปรอบหนึ่ง ก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่กลับไม่ทันได้รู้สึกเลยว่าโดนสูบพลังไป
พวกเขาเข้าใจว่า ต่อให้นางมารผู้นี้สามารถสูบพลังวิญญาณของผู้คนได้ แต่ก็คงไม่อาจใช้วิธีนี้ได้ตลอดเวลา
แต่ว่าหลังจากกลุ้มรุมเข้าไปอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็ยังยืนหยัดอย่างมั่นคงโดยมิมีความเคลื่อนไหวใดๆ
นางมิได้ลงมือปะทะ เพียงแต่รักษาระดับของพลังวิญญาณเอาไว้อย่างไม่มีขาดช่วง
หลังจากถ่วงไปอยู่พักหนึ่ง ก็คิดว่าพวกมังกรทั้งเก้าและเยี่ยเฉินคงจะกลับไปยังโลกเบื้องล่างอย่างปลอดภัยแล้ว
ในเมื่อมีป้ายหยกแผ่นนั้นเบิกทาง พวกเขาสมควรกลับไปได้อย่างรวดเร็วและราบลื่น
ในตอนนั้นเอง ตู๋กูซิงหลันถึงได้ลืมตาขึ้นมา
ทันทีที่ลืมตา ก็เห็นว่าซือเป่ยถือง้าวสีทองด้ามหนึ่งเหาะเข้ามา
แม่ทัพสวรรค์ทั้งหกรีบถอยหลบไปด้านข้าง ดูท่าพวกเขาคงจะใช้การไม่ได้อย่างยิ่ง จำเป็นจะต้องให้เทพสงครามออกรบด้วยตนเอง จึงจะสามารถจัดการกับนางมารผู้นี้ได้
ซือเป่ยไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระ เขาวาดง้าวออกไปในทันที
ง้าวสีทองแผ่รัศมีกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมา ทันทีที่กวาดออกมา ก็พุ่งเข้าไปหาหน้าผากของตู๋กูซิงหลันด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
จนทำให้เกิดกระแสลมพัดคลุ้งทั่วประตูสวรรค์ทิศใต้
เมฆสีแดงที่อาบเลือดถูกพัดพาจนกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง เมื่อง้าวด้ามนั้นมาถึงด้านบนของเขตอาคมของนาง และแม้ว่าจะมีเขตพิทักษ์นี้ขวางกั้นอยู่ ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่เสียดแทงกระดูก
ซือเป่ยแข็งแกร่งขึ้นแล้ว
ขณะที่พลังของนางเติบโตขึ้น ซือเป่ยก็มิได้นอนอยู่เฉยๆ
“ซี่ซี่ซี่…..” พริบตาเดียวก็ได้ยินเสียงเหมือนกระจกถูกกรีดดังขึ้น
พอเสียงนั้นดังออกมา ก็ได้ยินเสียงแตกร้าวดังไปทั่ว เขตอาคมที่นางสร้างขึ้นด้วยพลังวิญญาณถึงกับพังทลาย
ง้าวสีทองด้ามนั้นยังคงฟาดลงมาอย่างไม่มีลังเล จนแทบจะแทงเข้าไปในหน้าผากของนาง
ตู๋กูซิงหลันก้มตัวลง ถอยร่างออกไปด้านหลัง
ในขณะเดียวกัน ตี้เสียที่ทรงซ่อนพระองค์อยู่ในหมู่เมฆถึงกับประทับนั่งไม่ติดแล้ว
พระองค์ขยับพระดัชนี กลางฝ่าพระหัตถ์เปล่งประกายสีทอง แต่เพราะยังทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงมิได้ซัดออกไป
อีกด้านหนึ่ง ซือเป่ยยังคงโบกง้าวต่อไป โดยไม่คิดจะเหลือทางรอดให้กับตู๋กูซิงหลันแม้แต่น้อย
…………………….