อยู่ๆก็ชักจะรู้สึกว่ารัศมีรอบศีรษะมันชักจะไม่ค่อยวิบวับซักเท่าไหร่แล้ว
คำพูดนี้ของตี้เสีย ดูเหมือนว่าน่าจะพอเชื่อถือได้อยู่บ้าง
ตั้งแต่เล็กจนโตร่างกายของนางก็มีกลิ่นหอมของดอกฮว๋าย ภายหลังแม้แต่ไม้คฑาสีดำทะมึนด้ามนั้น ก็ยังได้มาจากต้นฮว๋ายที่เติบโตอยู่ในธารน้ำพุเหลือง
หากจะบอกว่านางเป็นจิตวิญญาณของต้นฮว๋าย ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร
ฮว๋าย ปีศาจในหมู่พฤกษา พรั่งพร้อมด้วยกลิ่นไอลึกลับและชั่วร้าย เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผีสาง
ดูเอาเถอะก็นางมีพรสวรรค์ในการดูดซับพลังวิญญาณเสียขนาดนี้….ปีศาจต้นฮว๋ายก็ปีศาจต้นฮว๋ายเถอะ อย่างมากก็แค่เท่น้อยลงไปหน่อยเท่านั้นเอง
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ในใจ คนหนึ่งเป็นจิตจากเปลวเพลิง คนหนึ่งเป็นจิตจากต้นฮว๋าย แล้วเจ้ายังจะมีหน้ามาบอกข้าว่าสุดท้ายทั้งสองลงเอยกัน?
เช่นนี้ก็ต้องเกิดปัญหาแล้ว สองคนอยู่ด้วยกันมันก็คือฟืนแห้งกับกองไฟชัดๆ….
ถุย! นางคิดคำไปถึงสุภาษิตผีสางที่ไหนแล้ว!
ทั้งสองอยู่ด้วยกันก็เท่ากับว่าจับคู่ที่ชงกันโดยธรรมชาติ นางที่เป็นดวงจิตของต้นฮว๋ายมาอยู่ข้างกายกองไฟทั้งวี่ทั้งวัน หากไม่ถูกเผาตายก็ต้องประหลาดแล้ว
ตี้เสียเห็นนางไม่มีคำถาม ก็ยื่นพระหัตถ์มาช่วยทัดปอยผมที่ใบหูของนาง ตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลงไปอีกหลายส่วนว่า
“ชื่อจู่ฮว๋ายนี้ เราเป็นผู้ตั้งให้กับเจ้าด้วยตนเอง นับตั้งแต่ตอนนั้น เรากับเจ้าก็เหมือนเป็นเงาของกันและกัน รักใคร่กลมเกลียวอย่างที่สุด”
หลังจากนั้น เราก็สร้างวังในแดนสวรรค์ขึ้นมาด้วยตนเอง กลายเป็นจักรพรรดิแห่งแดนสวรรค์ ตระเตรียมจะแต่งตั้งใจเป็นเทียนโฮว่ แต่ว่าน่าเสียดาย….”
อ้อ คำว่าน่าเสียดายดูถ้าจะมีเรื่องราวใหญ่โตอยู่เบื้องหลังสินะ
“น่าเสียดายที่เกิดความวุ่นวายขึ้นในยุคบรรพกาล ภูติผีปีศาจอาละวาด ตั้งตนเป็นอริกับแดนสวรรค์”
“ในตอนนั้นซีเหอ ผู้นำของเหล่าภูติ ทำร้ายเหล่าจิตวิญญาณในแดนสวรรค์ เราในฐานะที่เป็นผู้นำของแดนสวรรค์ ย่อมต้องปกป้องหกภพภูมิด้วยหน้าที่”
“เขากำเนิดจากพลังหยินภายในร่างของเทพบิดร จึงชั่วร้ายเย็นชาและโหดเหี้ยมอย่างที่สุด เหล่าดวงวิญญาณที่ตกตายใต้น้ำมือของเขามีอยู่มากมายนับไม่ถ้วย”
“เราต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดทั้งมวลไปกับสงครามในครั้งนั้น จึงจะสามารถทำให้พวกภูติผีสาปสูญไปจากโลกได้ แต่ก็น่าเสียดายเพราะสงครามในครั้งนั้นจึงทำให้เราต้องสูญเสียเจ้าที่เรารักที่สุดไป…..”
“มหาสงครามในครั้งนั้น ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายมืดฟ้ามัวดิน เจ้ารับกระบวนท่าปลิดชีพของซีเหอแทนเรา จึงได้ทำให้จิตวิญญาณแตกสลาย….”
จากนั้น ตี้เสียก็ทรงเงียบงันไปอีกครู่หนึ่ง เขายังคงมองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ในแววเนตรมีแต่ความปวดร้าว
“หากเป็นไปได้ เรายินดีให้เจ้ามิได้รักเราถึงเพียงนั้น ….. ยินยอมให้เจ้าเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ ยินยอมให้ผู้ที่ต้องจิตวิญญาณแตกสลายคือตัวเราเอง ฮว๋ายเอ๋อร์….”
พระองค์ตรัสเรียกนางด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้ง โศกเศร้าจนตราตรึง
นิยายเรื่องนี้เยี่ยมมาก
ทุกอารมณ์ทุกความเคลื่อนไหวไปจนถึงทุกการแสดงออกล้วนทำได้อย่างสมบทบาท
หากมิใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันรู้จักสันดานของพวกเทพเป็นอย่างดี ก็คงจะต้องเชื่อไปแล้ว
คำพูดของตี้เสีย จริงสามส่วนเท็จเจ็ดส่วน นางได้แต่ต้องอาศัยสมองของตนเองมาไตร่ตรอง
เทพบิดรแปลงร่างเป็นฟ้าดิน …..เรื่องพวกนี้ในเทพปกรณัมของโลกปัจจุบันก็มีบันทึกอยู่มากมาย มหาเทพผานกู่เบิกพิภพสร้างฟ้าดิน เรื่องนี้ก็พอจะเชื่อได้อยู่บ้าง
ตี้เสียเป็นดวงจิตที่เกิดจากเพลิงจริง ….ตราประทับดวงสุริยะบนหน้าผากของเขา และรัศมีจากร่างกายที่ร้อนจนแผดเผาคนให้ตายได้ เป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนที่สุด
ส่วนเรื่อง ‘จอมมารจอมปีศาจ’ ซีเหอ ผู้นั้น
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอตู๋กูซิงหลันได้ยินสองคำนี้ ในใจต้องรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกทิ่มแทง
ซีเหอ…. ก่อนหน้านี้นางไม่เคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้มาก่อนเลย
พวกภูติ ได้ยินมาว่าพวกนี้สาบสูญไปจากใต้หล้าตั้งนานมาแล้ว ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน
จากคำพูดที่ตี้เสียเล่าออกมา ก็ทำให้รู้ว่า ซีเหอคือผู้นำของเหล่าภูติผีปีศาจ
หลังต่อสู้กับตี้เสียในมหาสงครามครั้งนั้น ก็คงตายเรียบร้อย
ส่วนนางที่เป็น ‘จู่ฮว๋าย’ในชาติก่อนก็ตายใต้น้ำมือของซีเหอ
ส่วนความจริงที่ว่าคนอย่างซีเหอนั่นจะมีอยู่จริงหรือไม่ นางในชาติก่อนสรุปแล้วตายเพราะอะไร เกรงว่าคงต้องถกเถียงกันต่อไป
แต่จากคำบอกเล่าที่ออกจากปากของตี้เสีย นางที่เป็น ‘จู่ฮว๋าย’ นั้น ด้วยความรักต่อตี้เสียที่มีอยู่อย่างเหลือล้น จึงได้ยินยอมที่จะสละชีวิตเพื่อเขา จนจิตวิญญาณแตกสลายไปในที่สุด
สำหรับเรื่องนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ามีอะไรน่าสงสัยอยู่มาก
หากว่านางคือฮว๋ายยู่จริงๆ นางไม่มีทางจะโง่ถึงขนาดบุกเข้าไปแทรกกลาง ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังต่อยตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย นั่นมิเท่ากับว่าโง่งมจนถึงขนาดส่งมอบศีรษะให้กับผู้อื่นหรอกหรือ?
ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องที่เล่าจากมุมของตี้เสียแต่เพียงฝ่ายเดียว ฟังเอาไว้เฉยๆก็พอ
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้โง่เขลา ตี้เสียตรัสออกมามากมายถึงขนาดนี้แล้ว นางจะอย่างไรก็ต้องแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างออกมา
คราวนี้ดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็มีหมอกน้ำเคลือบขึ้นมาชั้นหนึ่งในทันที ท่าทางประหนึ่งว่าซาบซึ้งจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
นางยังต้องรักษาชีวิตกลับไป ไม่จำเป็นจะต้องทำให้ตี้เสียขุ่นเคือง ที่ควรทำในตอนนี้ก็แค่ถ่วงเวลาเอาไว้ รอคอยสัญญาณเรียกกลับ
เห็นท่าทางของนาง ในพระทัยของตี้เสียก็บังเกิดความยินดี
“ฮว๋ายเอ๋อร์ ทุกอย่างล้วนผ่านไปแล้ว ซีเหอตายไปนานแล้ว แถมตอนนี้เจ้าก็กลับมาแล้ว พวกเราสมควรเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง”
พระองค์จับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน แววพระเนตรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มขึ้นมาอีก
หากจะถามว่าในชีวิตนี้เขารู้สึกเสียดายอะไรบ้าง คำตอบนั้นก็คือไม่เคยได้ครอบครองนาง
นี่คือสิ่งที่ติดค้างอยู่ในพระทัยของพระองค์ตลอดมา
เดิมที่ความอาวรณ์นี้ถูกทุ่มเทลงไปที่ฮว๋ายยู่ แต่ว่าตอนนี้นางกลับมาแล้ว …..พระองค์แทบจะทนรอให้นางกลับเป็นสตรีของพระองค์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถูกแววตานั้นจับจ้องจนอึดอัดไปหมด ราวกับว่านางคือเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ที่น่าอร่อยอย่างที่สุดและกำลังถูกหมาป่าหิวโหยจ้องตาเป็นมัน
แสงสะท้อนระยิบระยับที่ส่องสว่างอยู่ทั่วห้อง ทำให้นางดูงดงามจับตา
ตี้เสียทรงทอดพระเนตรมองแต่นาง ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่อาจละสายตาไปเหลือบแลทางอื่น
ถึงแม้ว่าพระองค์กับฮว๋ายยู่จะอยู่ร่วมกันมานานหลายปี ทั้งยังเข้ากันได้ดีมาโดยตลอด พระองค์โปรดปรานนาง เอ็นดูนาง แต่กลับมิได้รักนางเท่านั้น
มิว่าจะทำอย่างไร พระองค์ก็ไม่อาจเสาะหาความรู้สึกที่ทำให้พระทัยตื่นเต้น เช่นยามที่ได้เจอจู่ฮว๋ายจากร่างกายของฮว๋ายยู่ได้เลย
ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าจะต้องเป็นนางเท่านั้น ไม่อาจขาดนางได้อย่างเด็ดขาด
แต่ยามนี้ พระองค์กลับได้รับความรู้สึกเช่นนั้นอย่างอิ่มเอมจากตู๋กูซิงหลัน
ความวาดหวังที่กดทับอยู่ในหัวใจมาเนิ่นนานหลายปี คือต้องการให้นางศิโรราบต่อพระองค์อย่างแท้จริง
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะสัมผัสถูกตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นใบหน้าของนางพลันเป็นสีแดงขึ้นมา ทั้งยังขยับออกไปด้านข้างหลบหลีกพระหัตถ์ของพระองค์
“ที่เทียนตี้ตรัสออกมามีเรื่องราวมากมาย ข้าต้องการเวลาสะสางความคิดอยู่บ้าง พอจะให้เวลาข้าได้อยู่อย่างเงียบๆบ้างได้หรือไม่?”
ปฏิกริยาเช่นนี้หากเทียบกับก่อนหน้า ต้องนับว่าดีกว่ามากมายนัก
ตี้เสียมองดูนาง เห็นใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ก็คิดไปถึงกว่าก่อนหน้านี้นางมีหมอกน้ำตาคลอ แสดงว่าจะต้องหวั่นไหวบ้างแล้วแน่นอน
พอทรงเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องร้อนพระทัยอีกต่อไป
ครั้งนี้พระองค์ต้องการให้นางไม่เหลือพื้นที่ให้ใครอีก ถูกพระองค์กล่อมจนสยบ ทุ่มเทอย่างหมดสิ้นเพื่อพระองค์ เป็นสตรีของพระองค์อย่างเต็มใจ
ดังนั้นฝ่ามือที่ยื่นออกมาจึงหดกลับไปแววตาของพระองค์อ่อนโยนลงไปมาก แม้ว่าจะยังมีความกระหายในความปรารถนา แต่ว่าก็พอจะควบคุมเอาไว้ได้แล้ว
“เจ้าพักผ่อนอยู่ในไท่เหิงกงให้สบาย บนแดนสวรรค์นี้มีเราอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้ามาทำร้ายเจ้าได้แม้แต่น้อย”
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆกัน ใบหน้าแดงระเรื่อกว่าเดิม
ท้องฟ้านอกหน้าต่างสว่างมากแล้ว ทั้งยังได้ยินเสียงของสตรีกราบทูลเข้ามาว่า
“เทียนตี้เพคะ เทียนโฮว่เจ็บพระครรภ์ยากจะทนทาน แพทย์สวรรค์เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ จึงของทูลเชิญเทียนตี้เสด็จไปยังตำหนักยวนยางกงด้วยเพคะ”
ตี้เสียงขมวดพระขนงอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันกลับมามองดูตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ร่างกายของพระองค์กลายเป็นแสงสีทองหายวับไปในทันที
ทันทีที่เขาจากไป รอบๆพระตำหนักก็ถูกฉาบไปด้วยแสงสีทองชั้นหนึ่ง นี่เป็นเขตอาคม ป้องกันไม่ให้ตู๋กูซิงหลันหลบหนีไป
รอจนเขาหายวับไปแล้ว แววตาของตู๋กูซิงหลันก็ค่อยเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
ใต้แสงของดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวง ร่างเงาของสตรีที่ไร้ใบหน้ายังมิได้เลือนหายไป ตู๋กูซิงหลันค่อยๆมองดูอย่างละเอียดละออ ก็พบว่าภายในร่างที่ดูคล้ายจะโปร่งใสนั้นมีบางสิ่งอยู่……
…………………….