ประโยคสุดท้ายนั้น ทำเอาสีพระพักตร์ของตี้เสียถึงกับเปลี่ยนไปในทันที
ฮว๋ายยู่ก็มิได้เร่งรัด นางยังคงพิงร่างอยู่ในอ้อมพระอุระของตี้เสีย หัตถ์ที่กอดท่อนพระกรเอาไว้ออกแรงเล็กน้อย ค่อยเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “เทียนตี้ทรงถูกพระทัยแม่นางผู้นั้นเข้าแล้วหรือเพคะ?”
คำถามนี้ทำเอาเทียนตี้ไม่ทรงทราบเลยว่าสมควรจะตรัสตอบเช่นไรดี
นี่มิใช่เพราะว่าถูกพระทัยหรือไม่ แต่หัวใจของพระองค์ร้องบอกว่า ไม่อาจเป็นใครอื่นนอกจากนางเท่านั้น
แต่พอก้มพระเศียรลงมามองเห็นสตรีที่ท่าทางน่าสงสารและเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ทำให้พระองค์คิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกับนางมาตลอดหลายปี พระทัยของตี้เสียพลันรู้สึกละอายขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
แต่ว่าก็เป็นแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฮว๋ายยู่เห็นประกายแสงในแววตาของพระองค์ หมอกน้ำในดวงตาเกือบจะกลายเป็นหยดน้ำตาอยู่รอมร่อ แต่ก็อาศัยความอดกลั้นฝืนเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงมา
“เทียนตี้เพคะ ต้องโทษที่ท้องของข้านี้ช่างไม่เอาไหน ผ่านมาตั้งหลายปีถึงพึ่งจะตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สอง …..” น้ำเสียงของนางทั้งอ่อนหวานและแฝงความขออภัย “เหล่าพระสนมในวังหลังก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของเทียนตี้….”
ตี้เสียอยากจะตรัสบางสิ่ง แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของนางก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดเช่นไรจึงจะดี
ในใต้หล้านี้ พระองค์สามารถลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับสตรีใดๆก็ได้ทั้งนั้น ยกเว้นแต่เพียงฮว๋ายยู่ผู้เดียว
ในพระทัยของพระองค์ยังคงคิดจะรับตัวตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แต่ว่าคำพูดนี้ก็ไม่รู้ว่าสมควรจะบอกกับฮว๋ายยู่อย่างไร
ในตอนนั้นเอง ฮว๋ายยู่ที่กัดริมโอษฐ์ล่างเอาไว้ด้วยท่าทีเจ็บช้ำ ขนตายาวที่หนาเป็นแพของนางมีละอองน้ำเกาะพราว ก็กระพริบถี่ๆขณะมองไปที่ตี้เสีย นางเงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อไปว่า “พอนับเวลาดู แดนสวรรค์ก็ไม่ได้มีเรื่องมงคลมาเนิ่นนานแล้ว เทียนตี้ทรงมีพระสนมจำนวนน้อยนิด ที่จริงก็สมควรแก่เวลาที่จะเพิ่มคนได้แล้ว”
ทันทีที่นางเอ่ยออกมา ประกายแสงในดวงเนตรของตี้เสียก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน ฮว๋ายยู่ของพระองค์รู้จักใจกว้างนุ่มนวลอ่อนโยนเสมอมา เรื่องนี้พระองค์ทรงทราบกระจ่างในพระทัย
และเพราะว่าเข้าใจกระจ่างดี จึงได้ไม่อาจหักใจทำให้นางรู้สึกเจ็บช้ำได้ลงคอ
แต่ว่าจู่ฮว๋ายก็คือสิ่งที่พระทัยของพระองค์โหยหาอาวรณ์อยู่ตลอด ตัดไม่ขาด ทิ้งไม่ลง พอสองความรู้สึกนี้พันรัดกันอยู่จึงทำให้พระองค์ยิ่งทรงทรมาน
คำพูดของฮว๋ายยู่ เท่ากับเป็นการหาทางลงให้กับพระองค์ได้เป็นอย่างดี
ริมโอษฐ์บาง ในที่สุดก็สามารถแย้มสรวลได้อีกครั้ง “เรา….”
ไม่รอให้พระองค์ตรัสออกมาให้มากความ ฮว๋ายยู่ก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเองว่า “เทียนตี้เพคะ ในเมื่อพระองค์ถูกพระทัยในแม่นางผู้นั้น จะทรงรับนางเอาไว้ในวังหลังก็ได้นะเพคะ ขอเพียงพื้นเพของนางขาวสะอาด หม่อมฉันก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น”ท่าทางที่แสนจะเข้าอกเข้าใจเช่นนี้ ทำให้เทียนตี้แสนจะสงสารจนอยากจะทนุถนอมนางเอาไว้ในอก
ยามอยู่เบื้องพระพักตร์ ฮว๋ายยู่มีสิทธิพิเศษกว่าผู้ใด นางสามารถเรียกตนเองเป็น ‘ข้า’ได้
พระหัตถ์ของพระองค์กุมนางเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ปลายคางของพระองค์วางอยู่บนกระหม่อมของฮว๋ายยู่ พระหัตถ์สอดเข้าไปในเส้นผมของนาง ตรัสอย่างอบอุ่นแผ่วเบาว่า “แล้วเจ้าจะไม่โกรธหรอกหรือ?”
ฮว๋ายยู่เห็นดังนั้น ก็ขยับเข้าไปใกล้เขาอีกนิด “เทียนตี้เพคะ ท่านก็รู้ว่าหม่อมฉันรักท่านยิ่งกว่ารักตนเอง และเพราะว่ารักท่าน จึงไม่อยากให้ท่านทุกข์ใจ สิ่งที่ท่านรักชอบ หม่อมฉันก็จะชอบด้วย หากว่ายืมคำพูดของโลกเบื้องล่างมาใช้ ก็คือรักบ้านเผื่อแผ่นกกา”
การแสดงออกเผื่อแผ่ใจกว้าง ทั้งสีหน้าและแววตาปราศจากความริษยา สมเป็นผู้ทีคุณสมบัติเป็นของมารดาแห่งแผ่นดินโดยแท้ จนแม้แต่ตี้เสียก็ยังทรงหาคำตำหนิไม่ได้แม้สักครึ่งคำ
คิดๆดูแล้วพระสนมที่ก่อนนี้พระองค์ทรงรับเอาไว้ ก็ล้วนผ่านสายตาของฮว๋ายยู่มาแล้วทั้งนั้น อีกทั้งนางยังดีต่อพระสนมเหล่านั้นอย่างยิ่ง
หากว่าจู่ฮว๋ายเข้าวังมา จะต้องไม่ถูกรังแกอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น แต่เดิมในยุคบรรพกาล พวกนางก็ยัง…..
นางจะต้องเป็นเช่นดังพระองค์ ช่วยกันทนุถนอมดูแลนางเป็นแน่
เทียนตี้มองดูสตรีในอ้อมพระอุระ ก็ก้มพระพักตร์ลงไปประทับจูบลงบนหน้าผากของนางครั้งหนึ่ง “เจ้าวางใจเถอะ แม้ว่าเราจะแต่งนางเข้ามา แต่ว่าตำแหน่งเทียนโฮว่จะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ได้ครอบครองตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ฮว๋ายยู่จริงใจต่อพระองค์เช่นนี้ แล้วพระองค์จะละเลยนางได้อย่างไร
หากว่าเป็นครั้งเมื่อยุคบรรพกาล พระองค์จะต้องทรงแต่งตั้งจู่ฮว๋ายเป็นเทียนโฮว่อย่างไม่มีลังเล แต่ว่ายามนี้ ฮว๋ายยู่อยู่เคียงข้างพระองค์มานานหลายปี พระทัยของพระองค์ก็มิใช่ก้อนหิน ย่อมต้องอ่อนไหวไปกับนางอยู่แล้ว
ฮว๋ายยู่รับคำเบาๆ อย่างนุ่มนวลและเชื่อฟังจนเป็นใครก็ต้องรักถนอม
“เอาไว้หม่อมฉันจะหาเวลาเรียกกรมพิธีการเข้ามาเตรียมการ ให้เทียนตี้ทรงรับแม่นางผู้นั้นเข้าวังหลังโดยเร็ว”
เทียนตี้ได้ยินแล้ว ก็ส่ายพระเศียร “ไม่เจ้าเป็นต้องมีพิธีการ ก็แค่รับสนม มิใช่จะแต่งราชินี แค่ยกเกี้ยวหลังหนึ่งไปรับเข้าวังมาถวายตัว ก็ถือว่าสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว”
กรมพิธีการ เป็นฝ่ายที่รับผิดชอบงานพระราชพิธีและงานรื่นเริงต่างๆในวังสวรรค์ หากว่าปล่อยให้กรมพิธีการว่ากันไปตามธรรมเนียม ย่อมต้องเสียเวลาจัดเตรียมจนยืดเยื้อ ตี้เสียทรงรอไม่ไหว
ยิ่งไปกว่านั้น กรมพิธีการย่อมต้องทำการตรวจสอบภูมิหลังของพระสนมโดยละเอียด นี่จึงเป็นประเด็นสำคัญที่เทียนตี้ทรงกังวลพระทัย
เทพเจ้าในยุคบรรพกาล มิได้เหลือแต่พระองค์เพียงผู้เดียว
หากว่ากรมพิธีการของแดนสวรรค์ ต้องการตรวจสอบเบื้องหลังของคนผู้หนึ่ง เกรงว่าคงจะต้องสืบไปจนถึงต้นตอ
พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล้วนรู้เรื่องราวในชาติปัจจุบันหรือชาติก่อนของตู๋กูซิงหลัน
ตอนนี้ นางคือเจ้าวังหญิงแห่งเผ่ามังกรทมิฬ เผ่ามังกรทมิฬแต่เเดิมก็เป็นศัตรูของแดนสวรรค์อยู่แล้ว แต่งสตรีจากเผ่าศัตรูมาเป็นสนม เหล่าเทพทั้งหลายย่อมไม่พอใจ
ถึงแม้ว่าชาติก่อน นางจะเป็นถึงเทพในยุคบรรพกาล พระองค์ก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของนางอยู่ดี
“แต่ว่าหากไม่ทำตามพิธีการ….” ฮว๋ายยู่ออกจะลังเลอยู่บ้าง “เช่นนั้นฐานะพระสนมของแม่นางผู้นี้ในแดนสวรรค์ก็จะไม่ชัดเจน ข้าเกรงว่าถึงตอนนั้นนางจะถูกผู้อื่นในแดนสวรรค์รังแกเอาได้”
“ฮว๋ายเอ๋อร์ เจ้าช่างดีเกินไปแล้ว” ตี้เสียยิ่งมองนางก็รู้สึกว่านางช่างรู้จักไตร่ตรองอย่างรอบคอบ
ดวงพักตร์ที่ซีดขาวของฮว๋ายยู่ค่อยมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา
นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ก็ได้ยินตี้เสียตรัสว่า “ฐานะนั้นมิใช่เรื่องสำคัญอันใด ขอเพียงเราปกป้องนาง ในแดนสวรรค์นี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้ารังแกนางอยู่แล้ว ใช่หรือไม่”
ฮว๋ายยู่ “…..” นางทำสีหน้าเห็นด้วย คลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน แต่ว่าในใจกลับเย็นยะเยือกจนเหน็บหนาว
สตรีผู้หนึ่งเมื่อรักบุรุษผู้หนึ่งอย่างลึกล้ำ ไหนเลยจะยอมแบ่งปันสามีกับสตรีอื่นได้ง่ายๆ?
ยิ่งไม่มีทางไปปกป้องศัตรูความรักอย่างเด็ดขาด!
เขาคิดว่านางใจกว้างถึงเพียงนั้นจริงๆหรือ?
“เทียนตี้ทรงตรัสถูกแล้วเพคะ….” ฮว๋ายยู่ผงกพระพักตร์ ยกหัตถ์ข้างหนึ่งประคองครรภ์น้อยๆของนางเอาไว้ “เพียงแต่หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ตอนนี้ครรภ์ก็ได้รับความกระทบกระเทือน เกรงว่าแม้แต่จะปกป้องตนเองก็ยังทำได้ยาก ยามนี้ก็คงไม่มีกำลังจะไปปกป้องแม่นางผู้นั้นได้….”
นางยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งเบาลงไป อีกทั้งในน้ำเสียงก็ยังแฝงความหมายโทษตนเอง
ตี้เสียถึงค่อยคิดได้ว่าก่อนหน้านี้มีเทพธิดารับใช้มากราบทูลว่านางเจ็บครรภ์จนได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง….
บุตรที่ยังมิได้ลืมตาออกมาดูโลกของพวกเขาได้รับความตื่นตระหนก…
พระหัตถ์ใหญ่โตของพระองค์วางอยู่บนครรภ์น้อยๆของนาง ทรงสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่ว้าวุ่นภายในครรภ์นี้ พระทัยที่คอยแต่จะวาดหวังถึงตู๋กูซิงหลันค่อยสงบลงไปได้บ้าง
“เจ้าเพียงแต่ดูแลร่างกายตนเองให้ดีก็พอ แล้วให้กำเนิดโอรสองค์โตที่ขาวนุ่มแก่เรา เรื่องอื่นๆนั้นไม่จำเป็นจะต้องกังวลใจให้มากไป”
เพราะว่าพระองค์รอคอยบุตรคนนี้มานานแสนนานแล้ว
ฮว๋ายยู่ก้มพระเศียรลงไป แววเนตรปรากฏแสงที่เย็นชาออกมาวูบหนึ่ง นางมิได้กล่าวอะไร เพียงแต่ซุกร่างลงกับพระวรกายอย่างนุ่มนวล และแนบแน่น
ในพระตำหนักยวนยางกงเดิมทีก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัญจวนอยู่แล้ว ยามนี้พอเพิ่มเทียนสีแดง ท่อนแขนขาวนวลดุจรากบัวของนางก็ยิ่งปลุกเร้าแรงปรารถนาของผู้คน
…………………….