ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ – ตอนที่ 11 สร้างฐานขั้นเก้า โอกาสของปีศาจพฤกษา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 11 สร้างฐานขั้นเก้า โอกาสของปีศาจพฤกษา

หลังออกมาจากยอดเขาหยกวิเวก หานเจวี๋ยกำลังจะกลับไปที่ถ้ำเทวา

หลิ่วซานซินก้าวเข้ามา ยื่นมือจับไหล่ของเขาพลางยิ้มกล่าว “ศิษย์น้อง เจตนาดีของเจ้าศิษย์พี่รับเอาไว้ด้วยใจแล้ว ภายหลังหากพบเจอเรื่องเดือดร้อนอะไร ก็บอกศิษย์พี่ได้เสมอ”

หานเจวี๋ยกะพริบตาปริบๆ บอกว่า “เช่นนั้นศิษย์น้องขออวยพรล่วงหน้าให้ศิษย์พี่โชคดี!”

มีไมตรีมาส่งถึงที่จะผลักไสได้อย่างไร?

“ฮ่าๆ!”

หลิ่วซานซินหัวเราะเสียงดัง จากนั้นจึงแยกจากไป

หานเจวี๋ยเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ไล่ตามมาทัน

“ศิษย์น้อง เจ้ายังไม่เคยทำภารกิจของสำนักมาก่อนใช่หรือไม่ ให้ศิษย์พี่หญิงช่วยเอาไหม” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มถาม

“ไม่เป็นไรขอรับ ข้าอยากฝึกฝน”

“ฝึกฝนในถ้ำเทวานั้นช้านัก ไม่สู้ออกไปทำภารกิจเก็บหินวิญญาณ จากนั้นค่อยไปฝึกฝนที่สระวิญญาณแต่ละแห่ง ลงแรงน้อยแต่ได้ผลมาก เวลาเดียวกันยังได้รับแต้มคุณูปการด้วย หากแต้มคุณูปการสูงก็จะซื้อโอสถได้อีก”

“ข้ากลัวตายขอรับ ไม่เอาด้วยหรอก”

“ผู้บำเพ็ญรุ่นอาวุโสอย่างข้ากลัวตายเสียที่ไหน”

“ถ้าไม่กลัวตาย จะบำเพ็ญเซียนไปเพื่ออะไรเล่า!”

“เจ้า…”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถูกทำให้โมโหแล้ว

ศิษย์น้องผู้นี้เหตุใดถึงปอดแหกเช่นนี้!

เหตุที่หานเจวี๋ยปฏิเสธไม่ไป เป็นเพราะว่าเขามีหินวิญญาณเยอะอยู่แล้ว

“เฮอะ ไม่ไปก็ไม่ไป!”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์หมุนตัวจากไป

หานเจวี๋ยตกเข้าสู่ภวังค์ความคิด

แท้จริงแล้วเขาไม่สามารถฝึกฝนอยู่ในถ้ำเทวาได้ ต้องไปที่สระวิญญาณ

อย่ารอจนหนึ่งร้อยปีให้หลัง อายุขัยใกล้สิ้นแล้วค่อยไป เช่นนั้นก็เปล่าประโยชน์นัก

เมื่อคิดได้ดังนั้น หานเจวี๋ยจึงหมุนกายตรงไปยังเมืองของสำนักฝ่ายใน

สิบปีผ่านไปในพริบตา

หานเจวี๋ยยังไม่อาจหักใจไปจากสระวิญญาณแต่ละแห่ง หินวิญญาณชั้นสูงถูกใช้ไปแล้วเกือบสี่ร้อยก้อน ตบะของเขาบรรลุไปถึงระดับสร้างฐานขั้นห้า รากวิญญาณหกสายทั้งหมดก็ฝึกจนถึงระดับสร้างฐานขั้นห้าเช่นกัน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เขาใช้หินวิญญาณชั้นสูงสี่ร้อยกว่าก้อนที่เหลือจนหมด ก็ไม่อาจสำเร็จระดับรวมแก่นปราณได้

หานเจวี๋ยเริ่มรวบรวมพลังวิญญาณอัสนีและพลังวิญญาณอัคคี

เขาไม่อาจใช้หินวิญญาณทั้งหมดจนเกลี้ยงได้ ไม่เช่นนั้นภายหลังต้องมีค่าใช้จ่ายแน่นอน

ผ่านไปอีกสิบปี!

เขาฝึกฝนรากวิญญาณอัสนีจนเสร็จสิ้น ภายในถ้ำเทวาก็ยังดูดซับพลังวิญญาณอัคคีได้จำนวนมาก

เช่นนี้เอง!

หลังจากหานเจวี๋ยตัดสินใจได้ ก็ตรงไปยังสระวิญญาณอัสนีทันที

ตอนนี้สระวิญญาณอัสนีไม่มีผู้บำเพ็ญเลย ทว่าหานเจวี๋ยก็ไม่กลัวโดดเดี่ยวแต่อย่างใด

“เจ้าเด็กนี่ เจ้ามาอีกแล้ว แต่ก่อนก็คิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะ เหตุใดผ่านไปหลายปียังอยู่ระดับสร้างฐานขั้นสามอีก”

ปีศาจพฤกษาอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย

หานเจวี๋ยยักไหล่ตอบ “เป็นเพราะด้อยสติปัญญา ถึงได้ลำบากเช่นนี้อย่างไรเล่า”

“จริงด้วย”

ปีศาจพฤกษาพูดจบก็หลับตาลง

หานเจวี๋ยเป็นแขกประจำ มันไม่ต้องกล่าวเตือนอะไรมากนัก

ไม่นานนัก หานเจวี๋ยก็เริ่มเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ห้าปีต่อมา

รากวิญญาณอัสนีของหานเจวี๋ยฝึกฝนไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเจ็ดแล้ว

โม่ฟู่โฉวกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังพาลูกศิษย์หญิงมาด้วยหนึ่งคน

ศิษย์หญิงผู้นี้งดงามยิ่งนัก อากัปกริยาก็มีลักษณะอย่างสตรีผู้สูงศักดิ์

“สหายหาน ท่านก็อยู่ด้วยหรือนี่!” โม่ฟู่โฉวกล่าวด้วยความแปลกใจ

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นมองไป

เขายกยิ้มพลางกล่าวตอบ “สหายโม่ ท่านก็มาด้วยสินะ”

โม่ฟู่โฉวเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ดูจากค่าความสัมพันธ์ หานเจวี๋ยพบว่าอีกฝ่ายบรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว

ถึงแม้จะผ่านมาแล้วเกือบยี่สิบปี แต่สามารถบรรลุระดับสร้างฐานถึงสองขั้น จะทะลวงไปยังระดับรวมแก่นปราณ หากไม่ใช่อัจฉริยะแล้วจะเรียกว่าอะไร?

“แนะนำสักหน่อย นี่คือศิษย์น้องหญิงจากยอดเขาอัสนีสวรรค์เรา และก็เป็นน้องสาวร่วมตระกูลของข้า นามว่าโม่จู๋” โม่ฟู่โฉวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยประสานมือคารวะ “ข้าน้อยหานเจวี๋ยแห่งยอดเขาหยกวิเวก”

โม่จู๋พยักหน้ารับ พินิจพิเคราะห์หานเจวี๋ยก่อนถามว่า “เหตุใดท่านยังอยู่ระดับสร้างฐานขั้นสาม พี่ชายร่วมตระกูลของข้าบอกว่าท่านอาจจะไปถึงสร้างฐานขั้นหกแล้ว”

หานเจวี๋ยยิ้มตอบ “ฝึกไปทีละขั้นอย่างไรเล่า พวกท่านก็รีบใช้เวลาฝึกฝนเถิด”

เมื่อพูดจบ เขาจึงนั่งลง

แม้ว่าโม่ฟู่โฉวจะสงสัยในตบะของเขา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

คนทั้งสองเริ่มนั่งสมาธิอย่างรวดเร็ว

ไม่นานเท่าไร พวกเขาก็แปลกใจเมื่อพบว่าความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณของหานเจวี๋ยนำหน้าพวกเขาไปไกล

‘เขาฝึกฝนวิชายุทธ์ใดกันแน่ ไม่สิ นี่มันคุณสมบัติรากวิญญาณ’

โม่ฟู่โฉวแอบประหลาดใจ

โม่จู๋ก็มองไปทางหานเจวี๋ยอย่างตกตะลึงเช่นกัน

หานเจวี๋ยไม่ได้ใส่ใจปฏิกิริยาของพวกเขา เขาต้องรีบทำเวลา

ทุกนาทีล้วนเป็นหินวิญญาณเลยเชียว!

สามปีต่อมา

โม่ฟู่โฉวและโม่จู๋เตรียมพร้อมจะออกไป

โม่ฟู่โฉวมองไปทางหานเจวี๋ย เดิมทีจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นหานเจวี๋ยตั้งอกตั้งใจ ก็รู้สึกว่าไม่ควรจะรบกวน

สองพี่น้องออกไปจากสระวิญญาณอัสนี

“พี่ใหญ่ เหตุใดขอบเขตพลังของหานเจวี๋ยผู้นั้นถึงยังไม่เพิ่มขึ้นเสียที” โมจู๋ถามอย่างสงสัย

จากความเร็วที่หานเจวี๋ยดูดซับพลังวิญญาณ น่าจะทะลวงระดับได้ตั้งนานแล้ว

ดวงตาของโม่ฟู่โฉวฉายแววซับซ้อน “คนผู้นี้จะต้องมีวิธีสะกดตบะไว้อย่างแน่นอน ไม่แน่ตบะของเขาอาจจะตามข้าทัน ไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้วก็ได้!”

ดวงตาคู่สวยของโม่จู๋เบิกกว้างขึ้น “คราก่อนท่านเคยกล่าวไว้ เมื่อยี่สิบปีก่อน เขาเพิ่งจะถึงหลอมปราณขั้นเก้า…รวดเร็วขนาดนี้…”

โม่ฟู่โฉวสูดหายใจเข้าลึกก่อนกล่าว “คนยอดเขาหยกวิเวกล้วนเป็นผู้บากบั่นฝึกบำเพ็ญ ไม่นึกว่าจะมีอัจฉริยะระดับนี้อยู่ พวกเราไปกันเถอะ เราก็ต้องมุมานะให้ได้เช่นเขา”

โม่จู๋พยักหน้า

ในขณะเดียวกัน

หานเจวี๋ยมองเห็นตัวอักษรปรากฏขึ้นมาสองบรรทัด

[ความประทับใจที่โม่ฟู่โฉวมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

[โม่จู๋เกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]

หานเจวี๋ยไม่สะทกสะท้านใดๆ

เขาไปถึงระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว กำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตที่สมบูรณ์

ครึ่งปีต่อมา ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ฝึกฝนพลังวิญญาณอัสนีถึงขั้นสมบูรณ์ แม้อยากจะฝึกฝนเพิ่ม แต่ก็ไม่มีทางเพิ่มสูงขึ้นไปได้อีก

เขาลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะออกไป

“เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีวิธีสะกดตบะไว้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

ปีศาจพฤกษากล่าวยิ้มๆ ไม่มีน้ำเสียงเยาะเย้ยเช่นแต่ก่อน

หานเจวี๋ยยักไหล่พลางหัวเราะ

เขาเดินขึ้นไปบนค่ายกลส่งตัว กำลังจะจากไป

“ข้ามีโอกาสวาสนาอยู่หนึ่งอย่าง เจ้าอยากลองหรือไม่” ปีศาจพฤกษาเอ่ยถาม

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วตอบ “ไม่อยาก”

ปีศาจพฤกษาชะงักไป แล้วจึงกล่าว “มีหินวิญญาณจำนวนมาก ยังมีแต้มคุณูปการสำนัก ถึงขั้นอาจจะได้รับอาวุธเวทกับของล้ำค่าตามธรรมชาติ แน่ใจหรือว่าไม่อยากลอง”

“อันตรายหรือไม่”

“อยากได้รับโอกาสดีๆ ก็ต้องเสี่ยงอันตรายเป็นธรรมดา”

“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้ากลัวตาย”

“เจ้า…”

ปีศาจพฤกษาโมโหจนกิ่งไม้สั่นไหว

หานเจวี๋ยพูดเร่งเร้า “ผู้อาวุโส รีบปล่อยข้าออกไปเถิด ข้ายังต้องกลับไปปิดด่านฝึกฝนต่อที่ถ้ำ”

ปีศาจพฤกษาแค่นเสียงหยัน ก่อนจะเปิดค่ายกลส่งหานเจวี๋ยออกไป

หานเจวี๋ยเบิกหินวิญญาณหนึ่งปีครึ่งออกมาจากในหอ ส่วนในถุงเก็บสมบัติยังเหลือหินวิญญาณอยู่เกือบสามร้อยก้อน

เขาไม่ได้กลับถ้ำเทวาทันที กลับมุ่งหน้าไปยังหอขึ้นเงิน

หลายปีมานี้ เขาไม่เคยเบิกเงินเดือนของตัวเองเลย น่าจะต้องเบิกออกมาบ้างแล้ว

สำนักหยกพิสุทธิ์จะมอบเงินให้ปีละหนึ่งครั้งในทุกๆ ปี สามารถเก็บสะสมหรือเบิกถอนได้

หอขึ้นเงินเป็นหนึ่งในหอที่คึกคักที่สุดของสำนักหยกพิสุทธิ์ มีลูกศิษย์มากมาย จะต้องต่อแถวรอเบิกเงิน

บุคลิกรัศมีของหานเจวี๋ยดึงดูดสายตาของบรรดาผู้บำเพ็ญหญิงไม่น้อย ผู้บำเพ็ญชายก็สังเกตเห็นเขาเร็วมาก

เมื่อตบะของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณลักษณะเจ้าเสน่ห์ที่ไม่เป็นสองรองใครก็ยิ่งปรากฏเด่นชัด

ระบบทำได้เพียงซ่อนตบะของเขาไว้ ทว่าไม่อาจซ่อนเสน่ห์เอาไว้ได้

“คนผู้นี้เป็นใครกัน รูปงามนัก ที่แท้สำนักหยกพิสุทธิ์ของพวกเราก็มีบุรุษเช่นนี้อยู่ด้วย”

“ข้าเคยพบเขามาก่อน ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ยอดเขาหยกวิเวก”

“จุ๊ๆ ราวกับเดินออกมาจากภาพวาดเลย”

“ศิษย์ยอดเขาหยกวิเวกแต่ละคนรูปโฉมงดงามกันจริงๆ”

“พวกเจ้ามีใครรู้ชื่อเขาบ้าง”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำวิพากษ์วิจารณ์รอบๆ หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

หลังจากเบิกเงินเรียบร้อย เขาก็หลบออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญหญิงที่อยากเข้ามาตีสนิทกับเขารู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง

ตอนที่เพิ่งจะออกมาจากหอขึ้นเงิน หานเจวี๋ยบังเอิญพบกับโม่จู๋

“พี่หาน ท่านอยู่ที่นี่เอง พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันนัก แค่นี้ก็ยังบังเอิญพบกันได้” โมจู๋เอ่ยอย่างแปลกใจระคนดีใจ ก่อนก้าวตรงเข้ามาคว้าแขนของหานเจวี๋ย

สีหน้าของหานเจวี๋ยแข็งกระด้างขึ้นมาทันที

………………………………………………………………..

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

Status: Ongoing
ชาติก่อนอายุสั้น ไม่ทันได้ใช้ชีวิต ชาตินี้จึงขอพากเพียรบำเพ็ญเซียน ลาภยศสตรีมีหรือจะสู้การเป็นอมตะ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท