ไม่รู้เพราะเหตุใด ในสมองของตี้เสียถึงได้ปรากฏภาพของตู๋กูซิงหลันขึ้น
ในพระทัยเหมือนมีกองไฟไร้ที่มา ลุกโชนขึ้นมาอย่างกระทันหัน
พระองค์ผลักออกไปเพียงเบาๆ ฮว๋ายยู่ก็ล้มลงไป เส้นเกศาของนางแผ่สยาย ดวงพักตร์แดงก่ำ ดวงเนตรแฝงความเย้ายวน
ดวงตาคู่นั้น เหมือนกับของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อได้เห็นฮว๋ายยู่ก็เหมือนได้เจอตู๋กูซิงหลัน
พระศอของตี้เสียขยับขึ้นลง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ปัดม่านสีแดงลงมา ผ่านคำคืนอันหวานหอมนี้ไป
……………………
พระตำหนักไท่เหิงกง
ตู๋กูซิงหลันนั่งรอมาครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่เห็นมีใครมาสักคน
ภายใต้เก้าดวงอาทิตย์หมุนวน ร่างเงาของสาวน้อยผู้นั้นมิได้จางหายไปไหน ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ไปสัมผัสกับเศษหยกสรรพชีวิตในร่างนั้นโดยพลการ
เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า นางแทบจะค้นดูตำหนักบรรทมไปทุกซอกทุกมุม
สมบัติล้ำค่าระยิบระยับบาดตากองโต พอเลือกดูให้ดี กลับไม่มีอะไรเข้าตาสักอย่าง
สุดท้ายนางก็ได้แต่นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น
เขตอาคมรอบนอกของตำหนักไท่เหิงกง เป็นฝีมือของตี้เสียสร้างด้วยตนเอง คนนอกไม่อาจเข้ามา คนในก็ออกไปไม่ได้ ต่อให้เป็นจิตวิญญาณเช่นตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจหลบหนี
นางทดลองอยู่หลายครั้งก็เลิกสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ตอนที่ประมือกับซือเป่ย จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ตอนนี้นางจึงปลุกพลังของหยกสรรพชีวิตขึ้นมา เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของดวงวิญญาณ
ตอนนี้นางเสมือนถูกกักบริเวณอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องนั่งงอรอความตายมิใช่หรือ?
สิ่งสำคัญที่สามารถทำได้ในเวลานี้ คือการรักษาดวงวิญญาณของตนเองให้อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด
………………
ตี้ซินยืนอยูที่ด้านนอกของตำหนักไท่เหิงกง ในมือของเขาผุดพลังวิญญาณสายหนึ่งขึ้นมาจางๆ
พลังวิญญาณสายนั้นผ่านเข้าไปในเขตอาคมของตำหนักบรรทมได้ ราวกับหยดน้ำที่ไหลไปรวมกับมหาสมุทร จนไม่เหลือร่องรอยใดๆแม้แต่น้อย
หัวคิ้วของตี้ซินขมวดมุ่น เขายืนอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่าง โดยมิได้ใช้พลังวิญญาณบุกทะลวงเขตอาคมของตี้เสียเข้าไป
แต่กลับเลือกใช้วิธีส่งเสียงไปถึงตู๋กูซิงหลันผ่านไปทางพลังวิญญาณแทน
“แม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่าง”
เขาเรียกตู๋กูซิงหลันเช่นนี้
ตอนแรกๆ ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันมีปฏิกริยาตอบกลับมา อย่างที่เคยพูดไป วิชาถ่ายทอดสำเนียงเป็นศิลปะที่ซับซ้อน คนทั่วไปไม่อาจใช้ได้
ดังนั้นพออยู่ๆนางก็ได้ยินเสียงของตี้ซินดังขึ้นมาในสมอง จึงถึงกับตะลึงไป
“แม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่าง….” ตี้ซินยืนอยู่ที่นอกหน้าต่าง ส่งเสียงเรียกนางอีกครั้ง
ดวงตาของตู๋กูซิงหลันลืมขึ้นมาเป็นเส้นตรง นางเดินไปที่หน้าต่างซึ่งมีเงาเลือนลางของคนผู้หนึ่งอยู่ด้านนอก
ยามนี้คล้อยดึกมากแล้ว ด้านนอกมีแต่ความเงียบสงัด แต่ดวงไฟในตำหนักบรรทมยังคงสง่าไสว ทำให้นางมองเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเค้าโครงที่เลือนลาง
“แม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่าง เจ้ากับต๋าจี่มีความเกี่ยวข้องอันใดกัน?” ตี้ซินไม่ยอมเสียเวลา พอเห็นตู๋กูซิงหลันขยับเข้ามาใกล้ ก็ถามออกไปอย่างตรงๆในทันที
ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงว่า ในชั่วเวลาที่อันตรายเช่นนี้ ตี้ซินจะมาหานางได้
“พี่ชาย ข้าว่าท่านช่วยข้าออกไปก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยรายละเอียดกันก็ได้”
ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ใต้หน้าต่างด้วยนัยตาที่เปล่งประกาย
เทียนสี่ซิงจุนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้โจวหวังตี้ซิน เรื่องนี้นางพึ่งจะนึกออกได้เมื่อไม่นานมานี้
ก่อนหน้านี้ตอนที่สังเกตเห็นท่าทางของเหล่าเทพที่มีต่อเขา ก็รู้อยู่ว่าเขามีฐานะในแดนสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเองก็ใช้แซ่ตี้
ดังนั้นจึงทำให้ตู๋กูซิงหลันอดจะคิดมากไม่ได้
“เขตอาคมนอกตำหนักบรรทมนี้เทียนตี้สร้างด้วยพระองค์เอง จึงมีแต่เขาที่สามารถคลี่คลายได้ แม้แต่ข้าเองก็ไร้หนทาง”
ครู่ต่อมา ตี้ซินก็เอ่ยต่อไปว่า “แต่ว่าเท่าที่ดูตอนนี้ เขาก็ไม่ได้คิดจะสังหารเจ้า เจ้าในตอนนี้ถือว่าปลอดภัยอยู่”
“เขาไม่คิดจะฆ่าข้า แต่ว่าร่างดวงอาทิตย์ของเขา คิดจะคั่วข้าน่ะสิ!”
“ข้าก็ต้องร้อนใจแล้ว! ข้ารักษากายใจบริสุทธิ์ดุจหยก จะไปยอมไอ้จักรพรรดิดวงอาทิตย์นั้นมางาบง่ายๆได้อย่างไร!”
ตี้ซิน “….” ให้ตายเถอะ ตีให้ตายเขาก็คิดไม่ถึงว่า คำพูดที่หยาบคายเช่นนี้จะมาจากปากของสาวน้อยนางหนึ่งได้อย่างไร
“ท่านอย่ามาทำเป็นว่าทนฟังคำลามกหยาบกระด้างไม่ได้ ตอนที่ท่านไปเป็นโจวอ๋องอยู่บนโลก ก็มิใช่ว่าวันๆมีแต่สุรานารีรายล้อม มั่วสุ่มกันอยู่ทั้งวี่ทั้งวันหรอกหรือไง?”
ตู๋กูซิงหลันยังคงพูดอย่างมันปากต่อไป “อยู่ต่อหน้าท่าน ข้ามันก็แค่ตัวทะลึ่งน้อยเจอกับจอมเสเพลเท่านั้น เทียบกันอย่างไรก็ไม่ติด”
ตี้ซินบอกว่าช่วยนางไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยนางนี่นา
สมองของตู๋กูซิงหลันดีดลูกคิดอย่างรวดเร็ว
พี่ชายผู้นี้ดูท่าจจะยังตัดใจจากพี่สาวต๋าจี่ไม่ได้ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทางมาช่วยเหลือนาง
ตี้ซินเงียบงันไปกว่าครึ่งวัน เจอวาจาเหล่านั้นเข้าไปเขาถึงกับไปต่อไม่ถูก
ประวัติศาสตร์นั้น ถูกบันทึกโดยผู้ชนะอยู่เสมอมา
หากเขาบอกว่าเขาคือโอรสสวรรค์ที่รักใคร่ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ จะมีใครเชื่อบ้างไหม?
“มิว่าจะอย่างไร ในเมื่อต๋าจี่มอบถุงเฉียนคุนให้กับเจ้า ก็แสดงว่าเจ้าสำคัญต่อนางอย่างยิ่ง”
ตี้ซินพูดพลางฝ่ามือของเขาก็วางลงบนหน้าต่าง เคาะเบาะๆ “ช่วงที่ยังอยู่ในแดนสวรรค์นี้ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง”
ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง
หากยึดตามคำพูดของเสือดำ ตี้ซินมีแต่หลอกใช้ต๋าจี่โดยปราศจากความรัก แต่วันนี้เขากลับทำเช่นนี้เพื่อฝ่ายใดกัน?
“ทำไมถึงจะช่วยข้า?”
“เจ้ามีความสำคัญต่อต๋าจี่”
“ไม่ถามเหตุผล ไม่มีข้อแม้ แล้วเพราะอะไร?”
“ไม่เพราะอะไร”
คราวนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังต้องเงียบงันไปบ้างแล้ว
“เพราะฉะนั้นที่จริงท่านเองก็ยังรักพี่สาวต๋าจี่อยู่ใช่ไหม?”
ตี้ซินมิได้ตอบนาง เพียงเอาแต่เงียบงัน และถอนใจเบาๆ
ทั้งๆที่เป็นเพียงเสียงถอนใจเบาๆ แต่พอได้ยินแล้วกลับทำให้รู้สึกว่าน่าสะท้อนใจยิ่งนัก
พอเห็นเขาไม่ยอมตอบ ตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนหัวข้อไปว่า “ท่านกับตี้เสียเกี่ยวข้อกันอย่างไร?”
“ถือว่าเป็น…. อาของเขาแล้วกัน”
ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !” ตะตาย!
ถ้าท่านไม่บอก ข้ายังคิดว่าพวกท่านเป็นพี่น้องกันเสียอีก สรุปว่าเป็นรุ่นอาหรือ?
เดี๋ยวก่อน…..ความสัมพันธ์นี้ออกจะสับสนอยู่บ้าง นางต้องค่อยๆสะสางก่อน
“ข้าคือโอรสลำดับที่สิบแปดของอดีตเทียนตี้ หลังจุติลงไปเกิดบนโลก ก็ประสูติในราชวงค์ซาง กลายเป็นโจวหวางตี้ซิน”
“เมื่อคืนกลับมา ก็รับตำแหน่งเทียนสี่ซิงจุน(เทพดาวฟ้าปลื้ม)”
ทุกประโยคล้วนรวบรัดชัดเจน เน้นแต่ใจความสำคัญ นับว่าบอกกล่าวเรื่องฐานะอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว
มิน่าเล่า….แม้ว่าตำแหน่งเทพของเขาจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่พอเหล่าเทพในแดนสวรรค์ได้พบ ต่างก็พากันรักษามารยาทน่าดู เล่ามายืดยาว ที่แท้ก็คือคนในราชวงค์ของแดนสวรรค์
ดังนั้นเหล่าเทพในแดนสวรรค์ วันๆไม่ทันไรก็ต้องจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ จากนั้นก็ค่อยกลับมารับตำแหน่งใหม่ แทนพวกที่ลงไปเกิดแล้วตายไปนะหรือ?
ตู๋กูซิงหลันได้แต่นวดขมับ
คำพูดของตี้ซินนางไม่อาจเชื่อถือทั้งหมด เพราะขนาดพี่สาวต๋าจี่ยังถูกเขาทำร้ายจนต้องบ้านแตกสาแหรกขาดมาแล้ว
ตี้ซินเองก็มิได้สนใจว่านางจะเชื่อหรือไม่ เพียงเอ่ยว่า “หากว่าวันใด เจ้าสามารถกลับไปยังโลกเบื้องล่าง ช่วยนำคำพูดของข้าไปบอกกับนางได้หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
“คนึงหา เนิ่นนานมิจางหาย”
ยามที่ตี้ซินเอ่ยคำพูดนี้ออกมา น้ำเสียงก็ยังสั่นไหว
คำพูดที่เก็บเอาไว้มาเนิ่นนาน ยามนี้กลับต้องเอามาบอกแก่คนแปลกหน้า ต้องเรียกว่าแม้แต่ปราการด่านสุดท้ายในหัวใจยังพังทลายไปแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้ เขาเหมือนกับศพเดินได้ที่อยู่ในแดนสวรรค์ ….แม้แต่ความต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังต้องพึ่งพาความระลึกถึงเรื่องราวในอดีตของพวกเขา
“คำพูดนี้ ไยท่านจึงไม่บอกให้นางฟังด้วยตนเอง?”
ตู๋กูซิงหลันไม่ชอบเรื่องเข้าใจผิดมาโดยตลอด คนเช่นนาง โดยปกติแล้วหากว่ามีเรื่องใด ก็ต้องพูดออกมาให้กระจ่าง ไม่ปล่อยให้ทรมานผู้อื่นและทรมานตนเอง
…………………..