ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง – ตอนที่ 664 คนึงหา เนิ่นนานมิจางหาย

ตอนที่ 664 คนึงหา เนิ่นนานมิจางหาย

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในสมองของตี้เสียถึงได้ปรากฏภาพของตู๋กูซิงหลันขึ้น

ในพระทัยเหมือนมีกองไฟไร้ที่มา ลุกโชนขึ้นมาอย่างกระทันหัน

พระองค์ผลักออกไปเพียงเบาๆ ฮว๋ายยู่ก็ล้มลงไป เส้นเกศาของนางแผ่สยาย ดวงพักตร์แดงก่ำ ดวงเนตรแฝงความเย้ายวน

ดวงตาคู่นั้น เหมือนกับของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อได้เห็นฮว๋ายยู่ก็เหมือนได้เจอตู๋กูซิงหลัน

พระศอของตี้เสียขยับขึ้นลง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ปัดม่านสีแดงลงมา ผ่านคำคืนอันหวานหอมนี้ไป

……………………

พระตำหนักไท่เหิงกง

ตู๋กูซิงหลันนั่งรอมาครึ่งค่อนวัน ก็ยังไม่เห็นมีใครมาสักคน

ภายใต้เก้าดวงอาทิตย์หมุนวน ร่างเงาของสาวน้อยผู้นั้นมิได้จางหายไปไหน ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ไปสัมผัสกับเศษหยกสรรพชีวิตในร่างนั้นโดยพลการ

เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า นางแทบจะค้นดูตำหนักบรรทมไปทุกซอกทุกมุม

สมบัติล้ำค่าระยิบระยับบาดตากองโต พอเลือกดูให้ดี กลับไม่มีอะไรเข้าตาสักอย่าง

สุดท้ายนางก็ได้แต่นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น

เขตอาคมรอบนอกของตำหนักไท่เหิงกง เป็นฝีมือของตี้เสียสร้างด้วยตนเอง คนนอกไม่อาจเข้ามา คนในก็ออกไปไม่ได้ ต่อให้เป็นจิตวิญญาณเช่นตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่อาจหลบหนี

นางทดลองอยู่หลายครั้งก็เลิกสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ตอนที่ประมือกับซือเป่ย จิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ตอนนี้นางจึงปลุกพลังของหยกสรรพชีวิตขึ้นมา เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของดวงวิญญาณ

ตอนนี้นางเสมือนถูกกักบริเวณอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องนั่งงอรอความตายมิใช่หรือ?

สิ่งสำคัญที่สามารถทำได้ในเวลานี้ คือการรักษาดวงวิญญาณของตนเองให้อยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด

………………

ตี้ซินยืนอยูที่ด้านนอกของตำหนักไท่เหิงกง ในมือของเขาผุดพลังวิญญาณสายหนึ่งขึ้นมาจางๆ

พลังวิญญาณสายนั้นผ่านเข้าไปในเขตอาคมของตำหนักบรรทมได้ ราวกับหยดน้ำที่ไหลไปรวมกับมหาสมุทร จนไม่เหลือร่องรอยใดๆแม้แต่น้อย

หัวคิ้วของตี้ซินขมวดมุ่น เขายืนอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่าง โดยมิได้ใช้พลังวิญญาณบุกทะลวงเขตอาคมของตี้เสียเข้าไป

แต่กลับเลือกใช้วิธีส่งเสียงไปถึงตู๋กูซิงหลันผ่านไปทางพลังวิญญาณแทน

“แม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่าง”

เขาเรียกตู๋กูซิงหลันเช่นนี้

ตอนแรกๆ ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันมีปฏิกริยาตอบกลับมา อย่างที่เคยพูดไป วิชาถ่ายทอดสำเนียงเป็นศิลปะที่ซับซ้อน คนทั่วไปไม่อาจใช้ได้

ดังนั้นพออยู่ๆนางก็ได้ยินเสียงของตี้ซินดังขึ้นมาในสมอง จึงถึงกับตะลึงไป

“แม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่าง….” ตี้ซินยืนอยู่ที่นอกหน้าต่าง ส่งเสียงเรียกนางอีกครั้ง

ดวงตาของตู๋กูซิงหลันลืมขึ้นมาเป็นเส้นตรง นางเดินไปที่หน้าต่างซึ่งมีเงาเลือนลางของคนผู้หนึ่งอยู่ด้านนอก

ยามนี้คล้อยดึกมากแล้ว ด้านนอกมีแต่ความเงียบสงัด แต่ดวงไฟในตำหนักบรรทมยังคงสง่าไสว ทำให้นางมองเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเค้าโครงที่เลือนลาง

“แม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่าง เจ้ากับต๋าจี่มีความเกี่ยวข้องอันใดกัน?” ตี้ซินไม่ยอมเสียเวลา พอเห็นตู๋กูซิงหลันขยับเข้ามาใกล้ ก็ถามออกไปอย่างตรงๆในทันที

ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงว่า ในชั่วเวลาที่อันตรายเช่นนี้ ตี้ซินจะมาหานางได้

“พี่ชาย ข้าว่าท่านช่วยข้าออกไปก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยรายละเอียดกันก็ได้”

ตู๋กูซิงหลันนั่งลงที่ใต้หน้าต่างด้วยนัยตาที่เปล่งประกาย

เทียนสี่ซิงจุนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้โจวหวังตี้ซิน เรื่องนี้นางพึ่งจะนึกออกได้เมื่อไม่นานมานี้

ก่อนหน้านี้ตอนที่สังเกตเห็นท่าทางของเหล่าเทพที่มีต่อเขา ก็รู้อยู่ว่าเขามีฐานะในแดนสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเองก็ใช้แซ่ตี้

ดังนั้นจึงทำให้ตู๋กูซิงหลันอดจะคิดมากไม่ได้

“เขตอาคมนอกตำหนักบรรทมนี้เทียนตี้สร้างด้วยพระองค์เอง จึงมีแต่เขาที่สามารถคลี่คลายได้ แม้แต่ข้าเองก็ไร้หนทาง”

ครู่ต่อมา ตี้ซินก็เอ่ยต่อไปว่า “แต่ว่าเท่าที่ดูตอนนี้ เขาก็ไม่ได้คิดจะสังหารเจ้า เจ้าในตอนนี้ถือว่าปลอดภัยอยู่”

“เขาไม่คิดจะฆ่าข้า แต่ว่าร่างดวงอาทิตย์ของเขา คิดจะคั่วข้าน่ะสิ!”

“ข้าก็ต้องร้อนใจแล้ว! ข้ารักษากายใจบริสุทธิ์ดุจหยก จะไปยอมไอ้จักรพรรดิดวงอาทิตย์นั้นมางาบง่ายๆได้อย่างไร!”

ตี้ซิน “….” ให้ตายเถอะ ตีให้ตายเขาก็คิดไม่ถึงว่า คำพูดที่หยาบคายเช่นนี้จะมาจากปากของสาวน้อยนางหนึ่งได้อย่างไร

“ท่านอย่ามาทำเป็นว่าทนฟังคำลามกหยาบกระด้างไม่ได้ ตอนที่ท่านไปเป็นโจวอ๋องอยู่บนโลก ก็มิใช่ว่าวันๆมีแต่สุรานารีรายล้อม มั่วสุ่มกันอยู่ทั้งวี่ทั้งวันหรอกหรือไง?”

ตู๋กูซิงหลันยังคงพูดอย่างมันปากต่อไป “อยู่ต่อหน้าท่าน ข้ามันก็แค่ตัวทะลึ่งน้อยเจอกับจอมเสเพลเท่านั้น เทียบกันอย่างไรก็ไม่ติด”

ตี้ซินบอกว่าช่วยนางไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ช่วยนางนี่นา

สมองของตู๋กูซิงหลันดีดลูกคิดอย่างรวดเร็ว

พี่ชายผู้นี้ดูท่าจจะยังตัดใจจากพี่สาวต๋าจี่ไม่ได้ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีทางมาช่วยเหลือนาง

ตี้ซินเงียบงันไปกว่าครึ่งวัน เจอวาจาเหล่านั้นเข้าไปเขาถึงกับไปต่อไม่ถูก

ประวัติศาสตร์นั้น ถูกบันทึกโดยผู้ชนะอยู่เสมอมา

หากเขาบอกว่าเขาคือโอรสสวรรค์ที่รักใคร่ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ จะมีใครเชื่อบ้างไหม?

“มิว่าจะอย่างไร ในเมื่อต๋าจี่มอบถุงเฉียนคุนให้กับเจ้า ก็แสดงว่าเจ้าสำคัญต่อนางอย่างยิ่ง”

ตี้ซินพูดพลางฝ่ามือของเขาก็วางลงบนหน้าต่าง เคาะเบาะๆ “ช่วงที่ยังอยู่ในแดนสวรรค์นี้ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง”

ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง

หากยึดตามคำพูดของเสือดำ ตี้ซินมีแต่หลอกใช้ต๋าจี่โดยปราศจากความรัก แต่วันนี้เขากลับทำเช่นนี้เพื่อฝ่ายใดกัน?

“ทำไมถึงจะช่วยข้า?”

“เจ้ามีความสำคัญต่อต๋าจี่”

“ไม่ถามเหตุผล ไม่มีข้อแม้ แล้วเพราะอะไร?”

“ไม่เพราะอะไร”

คราวนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังต้องเงียบงันไปบ้างแล้ว

“เพราะฉะนั้นที่จริงท่านเองก็ยังรักพี่สาวต๋าจี่อยู่ใช่ไหม?”

ตี้ซินมิได้ตอบนาง เพียงเอาแต่เงียบงัน และถอนใจเบาๆ

ทั้งๆที่เป็นเพียงเสียงถอนใจเบาๆ แต่พอได้ยินแล้วกลับทำให้รู้สึกว่าน่าสะท้อนใจยิ่งนัก

พอเห็นเขาไม่ยอมตอบ ตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนหัวข้อไปว่า “ท่านกับตี้เสียเกี่ยวข้อกันอย่างไร?”

“ถือว่าเป็น…. อาของเขาแล้วกัน”

ตู๋กูซิงหลัน “ ! ! !” ตะตาย!

ถ้าท่านไม่บอก ข้ายังคิดว่าพวกท่านเป็นพี่น้องกันเสียอีก สรุปว่าเป็นรุ่นอาหรือ?

เดี๋ยวก่อน…..ความสัมพันธ์นี้ออกจะสับสนอยู่บ้าง นางต้องค่อยๆสะสางก่อน

“ข้าคือโอรสลำดับที่สิบแปดของอดีตเทียนตี้ หลังจุติลงไปเกิดบนโลก ก็ประสูติในราชวงค์ซาง กลายเป็นโจวหวางตี้ซิน”

“เมื่อคืนกลับมา ก็รับตำแหน่งเทียนสี่ซิงจุน(เทพดาวฟ้าปลื้ม)”

ทุกประโยคล้วนรวบรัดชัดเจน เน้นแต่ใจความสำคัญ นับว่าบอกกล่าวเรื่องฐานะอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว

มิน่าเล่า….แม้ว่าตำแหน่งเทพของเขาจะไม่ได้สูงส่งอะไร แต่พอเหล่าเทพในแดนสวรรค์ได้พบ ต่างก็พากันรักษามารยาทน่าดู เล่ามายืดยาว ที่แท้ก็คือคนในราชวงค์ของแดนสวรรค์

ดังนั้นเหล่าเทพในแดนสวรรค์ วันๆไม่ทันไรก็ต้องจุติลงไปเกิดในโลกมนุษย์ จากนั้นก็ค่อยกลับมารับตำแหน่งใหม่ แทนพวกที่ลงไปเกิดแล้วตายไปนะหรือ?

ตู๋กูซิงหลันได้แต่นวดขมับ

คำพูดของตี้ซินนางไม่อาจเชื่อถือทั้งหมด เพราะขนาดพี่สาวต๋าจี่ยังถูกเขาทำร้ายจนต้องบ้านแตกสาแหรกขาดมาแล้ว

ตี้ซินเองก็มิได้สนใจว่านางจะเชื่อหรือไม่ เพียงเอ่ยว่า “หากว่าวันใด เจ้าสามารถกลับไปยังโลกเบื้องล่าง ช่วยนำคำพูดของข้าไปบอกกับนางได้หรือไม่?”

ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”

“คนึงหา เนิ่นนานมิจางหาย”

ยามที่ตี้ซินเอ่ยคำพูดนี้ออกมา น้ำเสียงก็ยังสั่นไหว

คำพูดที่เก็บเอาไว้มาเนิ่นนาน ยามนี้กลับต้องเอามาบอกแก่คนแปลกหน้า ต้องเรียกว่าแม้แต่ปราการด่านสุดท้ายในหัวใจยังพังทลายไปแล้ว

ตลอดหลายปีมานี้ เขาเหมือนกับศพเดินได้ที่อยู่ในแดนสวรรค์ ….แม้แต่ความต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังต้องพึ่งพาความระลึกถึงเรื่องราวในอดีตของพวกเขา

“คำพูดนี้ ไยท่านจึงไม่บอกให้นางฟังด้วยตนเอง?”

ตู๋กูซิงหลันไม่ชอบเรื่องเข้าใจผิดมาโดยตลอด คนเช่นนาง โดยปกติแล้วหากว่ามีเรื่องใด ก็ต้องพูดออกมาให้กระจ่าง ไม่ปล่อยให้ทรมานผู้อื่นและทรมานตนเอง

…………………..

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

Status: Ongoing

ตู๋กูซิงหลัน ปรมาจารย์ไสยศาสตร์ลับผู้เลอโฉมแห่งต้าโจวต้องกลายเป็นไทเฮาแม่ม่ายด้วยวัยเพียงสิบห้าปี และถูกคุมขังอยู่ในตำหนักเย็นด้วยข้อหา ‘งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้ตกพระทัยตาย’ ด้วยเหตุนี้นางจึงตกเป็นที่รังเกียจของ จีเฉวียน ฮ่องเต้องค์ใหม่และเหล่าสนมทั้งสามพันนางของเขา ขณะกำลังคิดหาหนทางประจบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อให้ชีวิตของนางได้อยู่สุขสบายขึ้นมาบ้าง บรรดาลูกสะใภ้ที่หวั่นใจกลัวว่าแม่เลี้ยงสาวจะเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนข้างหมอนก็พากันตบเท้าเข้ามาหาเรื่องนางมิขาดสาย ไหนจะอดีตคนรักอย่าง จีเย่ว์ ที่มาขอคืนดีด้วยอีก คราวนี้ตู๋กูซิงหลันจึงต้องรับศึกหนักทั้งซ้ายและขวา อีกทั้งยังต้องหาทางฟื้นพลังเพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตไปด้วย แล้วแบบนี้จะไม่ให้นางปีนออกนอกกำแพงวังได้อย่างไร

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท