บทที่ 42 การท้าทายของหวงจี๋เฮ่า
“ประลองกับสำนักหยกพิสุทธิ์?”
หวงจี๋เฮ่าขมวดคิ้ว กล่าวเสียงเย็นว่า “สำนักที่แยกเป็นเอกเทศเช่นนั้นจะไปมีความท้าทายอะไร!”
วาจาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามดูแคลนสำนักหยกพิสุทธิ์
คนในชุดคลุมกันฝนผู้หนึ่งกล่าวอย่างร้อนรน “เมื่อไม่นานมานี้สำนักหยกพิสุทธิ์มีผู้อาวุโสสังหารเทพปรากฏตัว สังหารผู้แข็งแกร่งระดับเปลี่ยนวิญญาณได้ในดาบเดียว ความสามารถแข็งแกร่งไม่อาจคาดเดา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวงจี๋เฮ่าพลันเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ข้าเคยประมือกับเจ้าสำนักหยกพิสุทธิ์และผู้อาวุโสสูงสุด ความสามารถธรรมดา แต่ไม่เคยได้ยินชื่อของผู้อาวุโสสังหารเทพมาก่อน พวกเจ้าอย่ามาหลอกลวงข้า!”
หวงจี๋เฮ่าเอ่ยเสียงเหี้ยม พลังอันน่าสะพรึงกลัวไม่ได้ลดลง ยังคงน่ากลัวอยู่เช่นเดิม
“ไม่กล้าหลอกลวงท่านอย่างแน่นอน!”
“เป็นความจริง ท่านไปไต่ถามได้!”
“ลัทธิมารฟ้ามืดก็ถูกทำลายโดยคนผู้นี้!”
คนในชุดคลุมกันฝนอีกสามคนรีบร้อนเอ่ยสำทับ
พวกเขาสี่คนรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวงจี๋เฮ่า จึงเกรงว่าหวงจี๋เฮ่าจะลงมือกับพวกเขา
ดวงตาของหวงจี๋เฮ่าเป็นประกาย เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าบอกตำแหน่งของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณมาก่อน ข้าจะไปท้าปะลองสำนักหยกพิสุทธิ์ หลังจากนั้นจะไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ”
คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่คนมองหน้าสบตากัน
เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ในที่สุดพวกเขาก็ยอมประนีประนอม
หลังจากนั้นไม่นาน หวงจี๋เฮ่าก็จากไป
คนในชุดคลุมกันฝนทั้งสี่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ค่อยๆ พากันนั่งลงบนเก้าอี้
“บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใดกันแน่” หนึ่งในนั้นพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อีกคนเอ็ดขึ้นมา “ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือข้ารู้สึกว่าโรงเตี๊ยมนี้มีปัญหา ไหนกล่าวว่าผนังกันเสียงกันจิตอย่างไรเล่า”
…
ณ สำนักหยกพิสุทธิ์
นับตั้งแต่หลี่ชิงจื่อกลับไป เวลาก็ล่วงเลยไปอีกสองปี
หานเจวี๋ยยังคงอยู่ระดับปราณก่อกำเนิดระดับหก เมื่อมีโอสถของเย่ซานหลางเป็นตัวช่วย ทำให้เขาเข้าใกล้ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นเจ็ดเข้ามาทุกที
ไก่คุกรัตติกาลตัวโตขึ้นอีกครึ่งเมตร แต่หานเจวี๋ยทดสอบอายุของกระดูกของมันดูแล้ว ห่างจากคำว่าโตเต็มที่อยู่มากนัก
วันนี้ ฉางเยวี่ยเอ๋อมาเยี่ยมเยือน
หลังจากไม่ได้มานานหลายปี เมื่อเห็นเจ้าไก่คุกรัตติกาลตัวโตขึ้นมากขนาดนี้ นางจึงอดไม่ได้ที่จะเดินไปลูบมัน
“จั๊กจี้…จั๊กจี้…”
ไก่คุกรัตติกาลขัดขืนและถอยหนี
เมื่อได้ยินเสียงร้องอ้อแอ้ของมัน ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ่งสนใจมากขึ้นไปอีก
หานเจวี๋ยทนไม่ไหวกล่าวว่า “หยุดลูบได้แล้ว นี่เป็นพาหนะล้ำค่าของข้า หากลูบจนใช้การไม่ได้ ท่านจะชดใช้หรือ”
“เชอะ ชดใช้ก็ชดใช้สิ! ใช้ไก่เป็นพาหนะ เจ้านี่เข้าใจคิดจริงๆ!”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เบ้ปากบอก ถึงจะพูดเช่นนี้แต่ร่างกายก็ยังเชื่อฟังอยู่ดี หันกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย
นางพิจารณาหานเจวี๋ย ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องหาน ใบหน้าของเจ้าข้ามองทีไรก็รู้สึกประทับจิตประทับใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเจ้าหน้าตาโดดเด่นเพียงใด”
พ่อแม่?
พวกท่านน่ะหรือ
ธรรมดาเสียไม่มี
หานเจวี๋ยลอบหัวเราะในใจ
ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา หานเจวี๋ยจะนึกถึงพ่อแม่ของเขาในชาตินี้บ้างเป็นครั้งคราว
ผ่านไปร้อยกว่าปีแล้ว หากพวกท่านยังเป็นมนุษย์ คาดว่าจะถูกฝังลงดินไปแล้ว
เช่นนี้ก็ดี ลดปัญหาได้มากนัก
หานเจวี๋ยไม่ได้คิดถึงพ่อแม่ในชาตินี้มากนัก ตอนที่พวกเขาทอดทิ้งหานเจวี๋ยไป ก็นับว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดขาดสะบั้นลงแล้ว
หากเป็นพ่อแม่ของเขาในชาติภพก่อน คงไม่มีวันทอดทิ้งเขาอย่างแน่นอน
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เอ่ยต่อว่า “ได้ยินว่าผู้อาวุโสกวนจวนจะกลับมาแล้ว เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับผู้อาวุโสกวนมาบ้างหรือไม่ เขาและอาจารย์ของเราเข้าสำนักหยกพิสุทธิ์มาพร้อมกัน ทว่าเมื่อสามร้อยปีก่อนเขาไปล่วงเกินสำนักกระบี่วิหคชาดเข้า เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย ผู้อาวุโสสูงสุดจึงส่งเขาออกจากราชวงศ์ต้าเยี่ยนไปอย่างเงียบๆ ครึ่งปีก่อนเขาใช้วิชาเวทตอบกลับมาว่าจะกลับมา อีกทั้งยังจะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักหยกพิสุทธิ์ด้วย”
หานเจวี๋ยส่ายหน้า
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อนจริงๆ และก็ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนผู้นี้ด้วยเช่นกัน
“กล่าวกันว่าผู้อาวุโสกวนชอบพออาจารย์ของเรามาก ไม่แน่ว่าอาจผูกสัมพันธ์เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับอาจารย์ของพวกเราก็ได้” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์กล่าวต่อ
หานเจวี๋ยยักไหล่
คิดมากไปแล้ว!
เซียนซีเสวียนไม่ให้ศิษย์ผูกสัมพันธ์เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน แล้วตนเองจะฝืนกฎได้อย่างไร
เขาถาม “ผู้อาวุโสกวนผู้นั้นแข็งแกร่งมากเลยหรือ”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าพลางกล่าว “ว่ากันว่าตอนอยู่ต้าเยี่ยนเขาได้รับโอกาสวาสนา ขึ้นเป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณ กลับมาครั้งนี้เขาต้องการนำพาสำนักหยกพิสุทธิ์ให้เหนือกว่าสำนักกระบี่วิหคชาด บรรดาผู้อาวุโสต่างดีใจยิ่งนัก สำนักหยกพิสุทธิ์มีระดับเปลี่ยนวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคน การรับมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณก็มีโอกาสชนะมากขึ้น ผู้อาวุโสสูงสุดย่อมดีใจไปด้วย เพียงแต่เจ้าสำนักที่อยู่ข้างนอกยังไม่ทราบเรื่องนี้”
หานเจวี๋ยอดไว้อาลัยให้หลี่ชิงจื่อเงียบๆ ไม่ได้
ลำบากลำบนมาตั้งหลายปี กลับไม่อาจรักษาตำแหน่งไว้ได้
ตอนที่หานเจวี๋ยกำลังจะถามเรื่องของผู้อาวุโสกวนอยู่นั้น พลันมีตัวอักษรปรากฏขึ้นด้านหน้า
[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]
หานเจวี๋ยชะงัก
เจอผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดอีกแล้วหรือ
โชคของสำนักหยกพิสุทธิ์ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เหตุใดจึงมีผู้ที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นนี้
หานเจวี๋ยรีบร้อนตรวจดูทันที
[หวงจี๋เฮ่า: ระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสาม ผู้อาวุโสฝ่ายนอกของสำนักกระบี่วิหคชาด เกิดมาพร้อมจิตกระบี่ เชี่ยวชาญสายมรรคกระบี่ขั้นสูง เนื่องด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นตั้งแต่เยาว์วัย หล่อหลอมเขาจนมีลักษณะหยิ่งทระนง เขาสามารถละทิ้งได้ทุกสิ่งเพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง]
หวงจี๋เฮ่า?
ให้ตายสิ!
เจ้าหมอนี่มาได้อย่างไร
หรือว่าต้องการจะท้าประลองสำนักหยกพิสุทธิ์
หานเจวี๋ยรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
จะบำเพ็ญอย่างสงบไม่ได้หรือ
ตรงหน้าของหานเจวี๋ยปรากฏข้อความขึ้นมาให้เลือก
[สำนักหยกพิสุทธิ์กำลังเผชิญหน้าการท้าประลองของหวงจี๋เฮ่า ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง สั่งการทั้งสำนักล้อมปราบหวงจี๋เฮ่า และได้รับชัยชนะ โด่งดังไปทั่วดินแดน จะได้รับเคล็ดวิชาเวทสายอัคคีหนึ่งเล่ม]
[สอง ลอบจัดการหวงจี๋เฮ่าให้ล่าถอย ไม่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวมากเกินไป จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]
หานเจวี๋ยเลือกข้อสองอย่างไม่ลังเล
ความโดดเด่นไม่ใช่ลักษณะของเขา
อีกทั้งหากทำให้หวงจี๋เฮ่าเป็นฝ่ายปราชัยอย่างประจักษ์ชัดแจ้ง สำนักกระบี่วิหคชาดย่อมตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นแน่
หานเจวี๋ยยังไม่แน่ใจในระดับความสามารถของหวงจี๋เฮ่าในสำนักกระบี่วิหคชาด แม้จะแข็งแกร่งที่สุด แต่หากสำนักกระบี่วิหคชาดร่วมมือกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณขึ้นมา เช่นนั้นสำนักหยกพิสุทธิ์อาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“เฮ้อ สำนักหยกพิสุทธิ์ยังถือว่าอ่อนแอเกินไปนัก”
หานเจวี๋ยทอดถอนใจ
เขามองฉางเยวี่ยเอ๋อร์พลางกล่าว “ท่านกลับไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องต้องทำ”
“เรื่องใดหรือ”
“ไม่สะดวกที่จะบอก”
“เหอะ”
ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เบ้ปาก ลุกขึ้นจากไป
นางเพิ่งจะกล่าวว่าดีใจไปหมาดๆ แต่กลับโดนไล่ออกมา ผู้ใดบ้างเล่าจะไม่ผิดหวัง
หลังจากที่ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ออกไปแล้ว หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบตำแหน่งของหวงจี๋เฮ่า
ยามนี้ หวงจี๋เฮ่าอยู่ห่างจากสำนักหยกพิสุทธิ์ไม่เกินยี่สิบลี้
เขาเดินมาอย่างเชื่องช้า ไม่มีท่าทีรีบร้อนเลยสักนิด
หานเจวี๋ยไม่ได้ไปหาในทันที
ขอลองให้แน่ใจก่อนสักรอบ! จำลองลงสนามประมือกันสักรอบเถอะ!
จิตใต้สำนึกของหานเจวี๋ยตามเข้าไปในแบบจำลองการทดสอบ
ห้านาทีหลังจากนั้น การจำลองการทดสอบของหานเจวี๋ยก็เสร็จสิ้น
เขาขมวดคิ้ว
“ต้องมีอะไรสักอย่าง”
หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึก เริ่มจำลองการทดสอบต่อ
คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถกำจัดคนผู้นี้ได้!
เจ้าอัจฉริยะนี่เป็นระดับเปลี่ยนวิญญาณขั้นสามเลยนะ!
หานเจวี๋ยเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้
ผ่านไปสองนาที แบบจำลองการทดสอบเสร็จสิ้น
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม พึมพำเสียงเบาว่า “สมกับที่เป็นจิตกระบี่ฟ้าประทาน ไม่เลวนี่ สามารถอยู่ภายใต้เงื้อมมือของข้าเกินสองนาที”
หานเจวี๋ยกังวลขึ้นมา
เสียงจากการต่อสู้ดังเกินไป เวลาสองนาทีมากพอที่จะดึงดูดคนจำนวนมากให้เข้ามาใกล้ได้
รับมือไม่ง่ายเลย
ช่วยไม่ได้!
แม้จะจัดการได้ยากแต่ก็คุ้มค่า หากรอให้เจ้านี่เข่นฆ่าสำนักหยกพิสุทธิ์ก่อน ถึงเวลานั้นคงจะเป็นการทำลายล้างโลกอย่างแท้จริง!
…
ในป่าลึก
หวงจี๋เฮ่าก้าวย่างอย่างเชื่องช้า
ท่าทีของเขาสงบนิ่ง ไม่มีความประหม่ากับการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ด้านหน้าปรากฏเงาร่างขึ้นมาสายหนึ่ง มุ่งหน้าก้าวมาทางเขา
นั่นก็คือหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยสวมอาภรณ์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างาม เพียงมองก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
หวงจี๋เฮ่ามองแวบหนึ่ง
ระดับสร้างฐานขั้นเก้า!
อ่อนแอยิ่งนัก!
แต่จะว่าไปเจ้านี่ก็หน้าตาหล่อเหลาดูดีเอาการ
[หวงจี๋เฮ่าเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 2 ดาว]
ตรงหน้าของหานเจวี๋ยพลันปรากฏตัวอักษรขึ้นแถวหนึ่ง เขาชะงักไปทันที
มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่
……………………………………………….