ประโยคหลังนั้น ทำเอาหัวใจของฮว๋ายยู่กระตุกวาบ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันที
บุรุษที่เมื่อครู่ยังพลอดรักกับนางอย่างดื่มด่ำ แต่ว่าตอนนี้ในใจของเขากลับเอาแต่เร่งรัดให้นังมารนั่นแต่งเข้ามา หัวใจของนางถึงกับวูบโหวง
นี่เขารีบร้อนถึงเพียงนี้?
ถึงแม้ว่าในใจจะไม่ยินดี แต่ต่อหน้านางก็ยังคงแสดงออกด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน “ย่อมต้องทำให้เทียนตี้พอพระทัยได้อย่างแน่นอน”
……………….
พอตกดึก ตู๋กูซิงหลันก็เข้าสมาธิอยู่ในห้องบรรทมของตำหนักไท่เหิงกงมาแล้วรอบหนึ่ง
ในวังของแดนสวรรค์ นอกจากความงดงามอันเลิศหรูอลังการแล้ว ไอทิพย์ของที่นี่ก็ยังเข้มข้นอย่างยิ่ง
ยิ่งเป็นในห้องบรรทมของตี้เสีย ไอทิพย์ในนี้ก็ต้องเรียกว่าอัดแน่นจนเข้มข้น
ทุกครั้งที่สูดหายใจเข้าออก จิตวิญญาณล้วนได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังอันแข็งแกร่ง
ในเมื่อตอนนี้ออกไปไม่ได้ นางก็จะไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ
ใช้ทุกสิ่ง ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ แม้แต่สิ่งแวดล้อมเพื่อการเอาชีวิตรอด
ตอนนี้นางได้แต่รอคอยให้ตี้ซินปลดปล่อยพวกสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมในเจดีย์กำราบเทพมารหลังนั้นออกมา…..จะได้คลี่คลายความคับขันตรงหน้าออกไป
พอแสงดาวจับท้องฟ้า ตำหนักบรรทมที่เงียบสงบมาทั้งวันค่อยบังเกิดความเคลื่อนไหว
ตู๋กูซิงหลันกระพริบขนตาเบาๆ พอลืมตาขึ้นมา ค่อยมองเห็นฮว๋ายยู่ที่รูปร่างบอบบางเดินนวยนาดเข้ามา
นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอมควันตลอดแนบร่างทั้งตัว ทำให้เห็นเรือนร่างอันยอดเยี่ยม
โดยเฉพาะหน้าท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย
รัศมีของพลังวิญญาณเปล่งประกายอยู่บนหน้าท้อง มิว่าผู้ใดได้เห็นต่างก็ต้องชมเชยออกมาว่าเป็นครรภ์วิเศษ
เส้นเกศาของนางยาวมาก ยาวเลยหัวเข่าลงไปอีก ถึงแม้ว่าจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงเทียนโฮ่ว แต่ว่าเส้นผมที่อ่อนนุ่มกลุ่มหนึ่งถูกผูกเอาไว้ด้วยแถบผ้าสีเขียวอมควันเส้นหนึ่งเท่านั้น เส้นผมที่เหลือทั้งหมดทิ้งตัวลงไปที่ด้านหลัง
รูปโฉมที่งดงามดุจภาพวาด รูปร่างกลมกลึงสมส่วน แม้ว่าจะตั้งครรภ์อยู่ กลับให้ความรู้สึกว่าน่าเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
บนร่างของนางยังมีแถบผ้าคล้องแขนสีทองโปร่งบางเส้นหนึ่ง ลากยาวไปตามย่างก้าว ยามเดินเหินดูล่องลอยดุจเทพเซียน น่าประทับใจอย่างยิ่ง กลิ่นกายหอมหวนไปด้วยกลิ่นดอกฮว๋ายที่ตู๋กูซิงหลันรู้สึกคุ้นเคย
ตู๋กูซิงหลันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น
มองดูนางเดินเข้ามา และสบตากันโดยมิได้กระพริบตา
ครั้งก่อนที่เจอเทียนโฮว่ คือตอนที่นางยังอยู่ในเจดีย์กำราบเทพมาร ยามที่กวาดตามองไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่านางงดงามน่าดู นุ่มนวลดุจสายน้ำ
ตอนนี้พอได้เห็นอีกครั้ง ก็ต้องยอมรับว่า เทียนโฮว่นั้นงดงามอย่างยิ่ง
เป็นโฉมงามที่ตรึงตราตรึงใจผู้คน
กระทั่งเมื่อฮว๋ายยู่เดินเข้ามาใกล้ ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยสังเกตเห็นว่าบนลำคอของนางมีรอยประทับสีแดงอันเกิดจากการร่วมสัมพันธุ์อยู่หลายรอย
โห…
เล่นแรงถึงเพียงนี้?
พอเห็นนางขมวดคิ้ว ฮว๋ายยู่ก็หยุดเท้าลง
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนพื้น ส่วนนางก็นั่งลงบนฟูกอ่อน
แถบผ้ารัดอกที่นุ่มนิ่มชิ้นนั้นยังไม่ได้ถูกเก็บไป ฮว๋ายยู่หยิบขึ้นมาถือเอาไว้ หัวเราะเบาๆว่า “เทียนตี้ทรงเลอะเลือนใหญ่แล้ว ถึงกับใช้ที่นี่ต้อนรับแขกเหรื่อ แม้แต่ของใช้ส่วนตัวเหล่านี้ก็ไม่เรียกคนมาเก็บให้เรียบร้อย….”
ว่าแล้ว นางก็แกว่งผ้าชิ้นนั้น เชยคางเหลือบตาลงมามองดูตู๋กูซิงหลัน “เจ้าจงอย่าได้ถือสา ข้ากับเทียนตี้แต่ไหนแต่ไรก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เมื่อวันก่อนก็พึ่งจะร่วมเรียงเคียงหมอนกันที่นี่ไปรอบหนึ่ง จึงยังไม่ทันได้เก็บกวาด เป็นที่ขบขันของเจ้าแล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
หนังตาของนางกระตุกเบาๆ ฝ่ามือตบฉาดลงไปบนน่อง “อ๋ายย่าห์ พวกเจ้าสองคนผัวเมียช่างบ้าตัญหาเสียจริงๆ มักมากเกินไปแล้ว!”
ฮว๋ายยู่ “? ? ?”
แววตาของตู๋กูซิงหลันเป็นประกาย ดวงตาดอกท้อกวาดขึ้นลงบนร่างของฮว๋ายยู่ “ข้าไม่อยากจะพูดหรอกนะ เจ้าเป็นคนท้อง เรื่องพวกนี้ต้องรู้จักเพลาๆลงไปบ้าง ดูจากครรภ์ของเจ้า พึ่งจะครบสามเดือนกระมัง?”
“สามีภรรยาร่วมรักกันถือเป็นเรื่องเล็ก ทารกจึงจะเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อดอกผลของชาติบ้านเมือง จะอย่างไรสมควรรู้จักอดกลั้นเอาไว้บ้างมิใช่หรือ?”
ฮว๋ายยู่ “…..”
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยต่อไปว่า “หากว่าอดไม่ไหวจริงๆ ก็อย่าได้รุนแรงถึงเพียงนี้ หากว่าไม่รู้จักระวังผิดพลาดจนเสียทารกไป ย่อมไม่คุ้มกัน”
“เราเคยศึกษาจาก Full HD แบบไม่มีเซ็นเซอร์มาแล้ว มีท่าใดยังไม่เคยเห็นอีกบ้างเล่า ให้เราช่วยวาดลงในสมุดบันทึกเล่มน้อยให้เจ้าดีไหม ขอเพียงท่าท่างที่ใช้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่กำลังตั้งครรภ์ รับรองว่าไม่ต้องกลัวกระทบกระเทือนลูกในครรภ์!”
ว่าแล้ว นางก็รื้อค้นถุงเฉียนคุนอยู่ครู่หนึ่ง จนหาสมุดเล่มเล็กๆเจอเข้าจริงๆ
จากนั้นก็พลิกสมุดเริ่มลงมือวาดภาพออกมา
ลายเส้นเรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยพลัง ทำให้ภาพนั้นดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา
ฮว๋ายยู่ถึงกับลืมตาโต มองดูนางวาดภาพกามสูตรอยู่ตรงหน้า
ใครจะเชื่อว่า แม่นางน้อยที่เยาว์วัยผู้หนึ่ง ยามวาดภาพออกมากลับไม่มีทีท่ากระมิดกระเมี้ยน แต่ละลายเส้นล้วนคมชัดจัดเจน!
แม้แต่ฮว๋ายยู่ที่แต่งงานมาแล้วเป็นหมื่นปียังต้องรู้สึกว่าอับอายแทนจนใบหน้าแดงก่ำ
สมควรตาย!
นางจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นดวงหน้าของนางดูตื่นเต้นดีใจ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ แทบจะยัดภาพพวกนั้นใส่หน้านาง สอนนางว่าจะต้องทำยังไง
เพียงแค่ชั่วอึดใจ ตู๋กูซิงหลันก็วาดออกมาให้นางดูถึงหนึ่งร้อยแปดท่า
“มาๆๆ ท่าแรกขณะตั้งครรภ์….” ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันวาดภาพเสร็จก็ยื่นมาตรงหน้าของฮว๋ายยู่
กลัวว่านางจะไม่เข้าใจ ก็เตรียมจะอธิบายลึกลงไปในรายละเอียด
ฮว๋ายยู่หน้าแดงก่ำ ในใจมีแต่คำผรุสวาทเป็นร้อยเป็นพัน แต่พอมาถึงริมโอษฐ์ก็ได้แต่ส่งเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง
“ใครสอนเจ้ากัน?” นางตรัสถามเสียงเย็นชา “ร่ำเรียนมามากมายถึงเพียงนี้ คิดจะล่อล่วงเทียนตี้เอาไว้หรืออย่างไร?”
พอเข้ามามองตู๋กูซิงหลันใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่านางกับจู่ฮว๋ายมีความแตกต่างกันอยู่
จู่ฮว๋ายตายไปนานแล้ว….
จุดนี้ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆได้อีก
เดิมทีนางยังคิดเอาไว้ว่า นังมารผู้นี้ก็คือจู่ฮว๋ายกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่พอตอนนี้ได้ดูแล้ว ความเป็นไปได้นี้กลับมีไม่มากนัก
จู่ฮว๋าย วางตนสูงส่ง เย็นชาดุจบุปผาบนยอดดอย ไหนเลยจะหน้าหนาถึงกับมาถกเรื่องพรรณนี้กับนางได้กัน?
คฑาฮว๋ายที่นางใช้ เกรงว่าคงจะเป็นเพียงแค่ของเลียนแบบเท่านั้นกระมัง?
“ดูสิ! เจ้ามันหลงละเมอตาบอดจนพูดอะไรมั่วซั่วไปหมดแล้ว?” ตู๋กูซิงหลันถือสมุดเล่มเล็กเอาไว้ในมือ หรี่ดวงตาลง “เจ้านึกว่าตี้เสียผู้นั้นหอมหวนมากนัก จนใครๆก็ต้องกัดสักคำหรือยังไง?”
ฮว๋ายยู่ “เจ้า!”
ตู๋กูซิงหลัน “ข้า ทำไมรึ?”
“กระบวนท่าพิเศษเฉพาะเหล่านี้ ข้าก็ต้องเตรียมเอาไว้ให้กับเสี่ยวเฉวียนของบ้านข้าน่ะสิ ที่วันนี้มอบให้เจ้าด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างไม่หวังผลใดตอบแทน ก็เพราะเห็นว่าเจ้ายังพอจะมีความเป็นคนอยู่บ้าง!”
“ไม่รับน้ำใจก็แล้วไปเถอะ ยังจะมาดูถูกความบริสุทธิ์ใจของข้าอีก!”
ถึงแม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะรู้มาตลอดว่า ตี้เสียมิได้บริสุทธิ์ใจต่อนาง แต่ที่นางชิงชังก็คือตี้เสียเพียงผู้เดียว ในเมื่อเทียนโฮว่ผู้นี้มิได้มาหาเรื่องกับนาง นางย่อมไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไรกับคนท้องอยู่แล้ว
แต่ดูจากท่าทางในตอนนี้ คงจะมาหาเรื่องเป็นแน่
คำว่า ‘บริสุทธิ์’สองคำนั้น หากว่าหลุดออกมาจากปากของตู๋กูซิงหลันตอนก่อนหน้านี้ ฮว๋ายยู่ก็คงจะเชื่อถือได้อยู่
แต่ว่าหลังจากที่ได้เห็นภาพกระบวนท่าทั้งหนึ่งร้อยแปดท่วงท่าแล้ว นางยังจะพูดคำว่า ‘บริสุทธิ์’ ออกมาได้ ฮว๋ายยู่ก็รู้สึกว่าโกหกผายลมชัดๆ
แถบผ้ารัดอกถูกนางกำเอาไว้จนแนบแน่น ฮว๋ายยู่นั่งหลังตรงอยู่บนฟูกอ่อน ดูท่าทางดังเป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้าน
นางถูกพฤติการณ์อันเลวร้ายของตู๋กูซิงหลันชักจูงไปรอบหนึ่ง จนเกือบจะลืมจุดประสงค์การมาของตนเองไปแล้ว
“เอ๋ๆๆ ……มีอะไรก็พูดกันดีๆสิ!” ตู๋กูซิงหลันด่าเป็นชุดอยู่ในใจไปแล้ว
นางยืนอยู่ข้างกายฮว๋ายยู่ ขายาวๆข้างหนึ่งยกขึ้นมายันเอาไว้ ฝ่ามือก็ยื่นไปจับปลายคางของฮว๋ายยู่ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นมองลึกลงไปในดวงเนตรที่เป็นแบบเดียวกัน
นางโค้งร่างลงไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ยามที่เราจะไร้มารยาทขึ้นมา แม้แต่ตนเองยังตกใจกลัว เจ้าอยากจะเห็นสักหน่อยหรือไง?”
………………….