บทที่ 96 เผ่ามาร ดวงชะตาของสิงหงเสวียน
พลังจิตของหานเจวี๋ยแทรกซึมเข้าไปในตำหนักที่โม่จู๋อยู่ เขามองไม่เห็นโม่จู๋ แต่เห็นไข่สีดำใบยักษ์ที่ก่อตัวจากไอมารกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ดูน่าสะพรึงกลัวมาก
ไอสังหารที่น่ากลัวแผ่ปกคลุมในตำหนัก ทำให้อุณหภูมิด้านในราวกับอยู่ในห้องเย็นใต้ดิน
หานเจวี๋ยเคลื่อนตัวเข้าไปในตำหนักทันที
เขาเดินมาตรงหน้าไข่ไอมารสีดำ ครั้นปล่อยจิตเข้าไปในนั้น ก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของโม่จู๋
ไอมารกลุ่มนี้มีแรงต้านมหาศาลมาก ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสุญตาก็ไม่แน่ว่าจะทะลวงไอมารเข้าไปได้
หานเจวี๋ยออกแรงเล็กน้อย พลังจิตพุ่งผ่านไอมารเข้าไปในไข่ไอมารสีดำ
เขารู้สึกกระดากอายทันที เพราะโม่จู๋ที่อยู่ภายในไข่มีสภาพเปลือยเปล่า ผิวขาวราวหิมะทำให้ตาพร่า
พอหานเจวี๋ยโบกมือขวา พลังวิญญาณหกสายก็แผ่พุ่งออกมาปิดผนึกตำหนักหลังนี้ไว้
เขาเอามือลูบคางพลางคิดอย่างเงียบๆ ‘นี่นางเป็นอะไรไป’
หานเจวี๋ยสัมผัสได้ว่าในร่างของโม่จู๋ไม่มีดวงวิญญาณอื่นอีก หรือพูดได้อีกแบบคือนางไม่ได้ถูกยึดร่าง
เพียงแค่วิญญาณของนางกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจนดูไม่เหมือนคน
‘ตระกูลโม่มีภูมิหลังที่มาอย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านั้นโม่ฟู่โฉวก็ถลำเข้าสู่สายมาร…’ หานเจวี๋ยลูบคางครุ่นคิด
โม่ฟู่โฉวก็ไม่ธรรมดา ตบะไม่ได้ตามหลังโจวฝานมากนัก โจวฝานเพิ่งทะลวงถึงระดับปราณก่อกำเนิดไม่นาน เจ้าหมอนี่ก็บรรลุระดับปราณก่อกำเนิดเช่นกัน
หานเจวี๋ยไม่กล้าขัดจังหวะโม่จู๋โดยง่าย เพราะเกรงว่านางจะถูกพลังโจมตีกลับ
ความเคลื่อนไหวในตำหนักแห่งนี้ดึงดูดให้นักพรตเต๋าจิ้งซวีมาเยือน นางคิดจะเข้าไปในตำหนัก แต่ถูกพลังหกสายของหานเจวี๋ยต้านไว้
‘ไม่เป็นไร มีข้าอยู่’
เสียงของหานเจวี๋ยถูกถ่ายทอดส่งไป เมื่อนักพรตเต๋าจิ้งซวีได้ยินก็วางใจลง เนื่องจากหานเจวี๋ยเคยกำชับเอาไว้ ท่าทีที่หลี่ชิงจื่อมีต่อโม่จู๋ก็ระมัดระวังมาก ปกติจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักหลังนี้ และให้นักพรตเต๋าจิ้งซวีมีอำนาจดูแลทั้งหมด
หลังจากนักพรตเต๋าจิ้งซวีจากไปแล้ว หานเจวี๋ยรอคอยต่อไป
หลายวันต่อมา
ในที่สุดไข่ไอมารสีดำก็เริ่มสลายตัว ตอนที่ร่างของโม่จู๋ร่วงลงพื้น หานเจวี๋ยรีบหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้นางทันที
หานเจวี๋ยเผยสีหน้าแปลกประหลาด ไม่นึกว่าตบะของโม่จู๋จะบรรลุถึงระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว
จุดที่สำคัญที่สุดก็คือแม่นางคนนี้ไม่ต้องฝ่าด่านเคราะห์!
ไร้เหตุผลสิ้นดี!
โม่จู๋ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ใบหน้าของหานเจวี๋ยตกอยู่ในสายตาของนาง นางไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด กลับมองหานเจวี๋ยด้วยสายตาพร่ามัวพลางค่อยๆ ยกมือขวาไปลูบคลำใบหน้าเขา
เทียบกับในอดีตแล้ว โม่จู๋ในขณะนี้งดงามกว่ามาก ใบหน้ามีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม พอที่จะทำให้บุรุษมากมายใจเต้นได้
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วกล่าว “แม่นางโม่ ฟื้นสิ!”
โม่จู๋ราวกับไม่ได้ยิน ยังคงลูบคลำหานเจวี๋ย
เพียะ!
หานเจวี๋ยตบนางไปฉาดหนึ่ง นางได้สติในทันที
โม่จู๋กุมใบหน้าเรียวของตนเองแล้วกล่าวด้วยความน้อยใจ “ทำไมท่านถึงตีข้าอีกแล้ว!”
‘อีกแล้ว? ข้าเคยตีเจ้าตอนไหนกัน’
หานเจวี๋ยไม่คิดอะไรมาก แต่ถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลโม่ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นมารไปแล้ว”
โม่จู๋ได้สติกลับมา นางมองร่างของตัวเองตามจิตใต้สำนึก พอเห็นว่าชุดคลุมของตนเองถูกเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีขาวของหานเจวี๋ย นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนก แต่กลับตื่นเต้นดีใจ
“ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าหรือ”
“ใช่…”
“ท่านเห็นเรือนร่างของข้าหมดแล้ว?”
“ข้าไม่ได้มอง ข้าหลับตาตอนสวมเสื้อผ้าให้เจ้า”
“เหตุใดท่านถึงหลับตา ไม่ใช่ว่ามองเห็นแล้วถึงหลับตาหรอกหรือ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอโทษด้วย”
“ข้าไม่ต้องการ อย่างไรเสียท่านก็ต้องรับผิดชอบ ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะตามพัวพันท่าน”
“เจ้าฉวยโอกาสกันนี่”
“ฉวยโอกาส?”
หานเจวี๋ยปวดหัว เกิดมารูปงามเกินไปก็มีข้อเสียเช่นกัน
เขายอมรับว่านอกจากตัวเองจะหล่อเหลาและเคยช่วยชีวิตโม่จู๋ไว้แล้ว ในหลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็ไม่เคยเป็นห่วงโม่จู๋เลย
หากเปลี่ยนเป็นโจวฝาน โม่จู๋คงเปลี่ยนใจไปนานแล้ว
โม่จู๋กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ จากนั้นก็เริ่มตอบคำถามเมื่อครู่ “ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด ตั้งแต่เข้าสู่ระดับรวมแก่นปราณ ขณะที่ข้าฝึกบำเพ็ญมักจะได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นมารในใจ เมื่อไม่นานมานี้ถึงพบว่าไม่ใช่มารในใจ แต่เป็นเจตจำนงที่บรรพชนตระกูลโม่ส่งต่อมา ตระกูลโม่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญสายมารในแดนบำเพ็ญพรต ทว่าเป็นมารที่แท้จริง มารเคยเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งในอดีต ต่อมาหลังจากสูญสิ้น วิชายุทธ์ของเผ่ามารก็ตกทอดสู่เผ่ามนุษย์ จึงมีผู้บำเพ็ญสายมารเกิดขึ้นมา ตระกูลโม่นับว่าเป็นลูกหลานของการผสานรวมระหว่างเผ่ามารกับเผ่ามนุษย์”
หานเจวี๋ยหรี่ตาถาม “เช่นนี้เจ้าจะสูญเสียการควบคุมหรือไม่”
หากโม่จู๋เกิดคลั่งขึ้นมาแล้วจะล้างบางโลกมนุษย์ เขาต้องตบหน้าสักกี่ฉาดถึงจะช่วยชีวิตนางได้
โม่จู๋กลอกตาก่อนกล่าว “ข้าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญสายมารเสียหน่อย จะเสียการควบคุมได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญสายมารเสียการควบคุมได้ง่าย ก็เพราะร่างของพวกเขารับความแข็งแกร่งของวิชามารไม่ไหว มารในใจพวกเขาคือการสะท้อนกลับของจิตสำนึกเผ่ามาร”
หานเจวี๋ยบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าอย่าก่อกรรมทำเข็ญ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ดีร้ายอย่างไรสำนักหยกพิสุทธิ์ก็เป็นสำนักสายหลัก นอกเสียจากว่าจะมีใครทำร้ายเจ้าก่อน”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมา
[โม่โยวหลิงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
เขารีบเปิดค่าความสัมพันธ์ออกมาตรวจสอบข้อมูลของโม่โยวหลิง
ภาพประจำตัวของโม่โยวหลิงงดงามมาก ดูคล้ายกับโม่จู๋อยู่หลายส่วน
[โม่โยวหลิง: ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นห้า ประมุขรุ่นที่สองของตระกูลโม่ ถูกขังอยู่ในแดนต้องห้ามลึกลับ ไม่อาจหลุดออกจากผนึกได้ นางตัดสินใจเลือกโม่จู๋เป็นผู้สืบทอดของตนเอง หวังจะพึ่งพาโม่จู๋ช่วยตนเองให้รอดพ้น เพราะโม่จู๋มีใจให้กับท่าน นางจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อท่าน และคิดว่าท่านอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของโม่จู๋ จึงคิดจะกำจัดท่านเสีย ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมาในหัวของหานเจวี๋ย
ทันใดนั้นโม่จู๋ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว เรียกความกล้าแล้วกล่าวออกมา “หานเจวี๋ย ข้าได้รับสืบทอดวิชายุทธ์ของบรรพชนตระกูลโม่มา ในนั้นมีวิธี…ฝึกฝนคู่ร่วมกัน ท่านต้องการฝึกฝนพร้อมกับข้าหรือไม่ เช่นนี้จะเป็นผลดีทั้งกับท่านและข้า…”
นางกระบิดกระบวน ขวยเขินยิ่งนัก
ส่วนหานเจวี๋ยขมวดคิ้ว
……
หนึ่งเดือนต่อมา
หานเจวี๋ยปลอบขวัญโม่จู๋แล้ว ก็กลับไปถ้ำเทวาฟ้าประทาน
หลังจากกลับมา เรื่องแรกที่เขาทำคือนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมาสาปแช่งโม่โยวหลิง
แม่นางผู้นี้คิดจะมาสังหารเขา?
เขาจะทนได้หรือ
หานเจวี๋ยกลัวว่าสักวันหนึ่งนางจะทำลายผนึกออกมาด้วยตัวเองแล้วมารบกวนการฝึกฝนของเขา ถึงเวลานั้นอาจจะทำให้เขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะโม่จู๋ได้ ไม่สู้ทำให้โม่โยวหลิงไม่มีเวลาว่างจะดีกว่า
อืม ต่อไปทุกๆ สองสามปี จะต้องสาปแช่งโม่โยวหลิงหนึ่งครั้ง
หลังจากสาปแช่งไปเจ็ดวัน หานเจวี๋ยก็นำโอสถของเฒ่าประหลาดอู้เต้าออกมา และเริ่มการฝึกฝน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
โม่จู๋ราวกับภรรยาตัวน้อยยามอยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยให้นางฝึกฝนอยู่ในตำหนักอย่างวางใจ ไม่ต้องออกไปข้างนอก นางก็ตอบรับด้วยความดีใจ ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ร่วมกันมาหนึ่งเดือนแล้ว ความสัมพันธ์จึงรุดหน้าไม่น้อย
หานเจวี๋ยถ่ายทอดเสียงไปหาหลี่ชิงจื่อ ให้หลี่ชิงจื่อมอบโอสถจำนวนหนึ่งให้โม่จู๋
ครั้นได้ยินว่าโม่จู๋อยู่ระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว หลี่ชิงจื่อก็ดีใจมาก ให้สถานะศิษย์แกนหลักกับโม่จู๋ทันที และให้นักพรตเต๋าจิ้งซวีไปส่งโอสถกับของล้ำค่าฟ้าดินให้นางเป็นระยะ
สำนักหยกพิสุทธิ์ในตอนนี้คือพยัคฆ์น้อยตัวหนึ่งที่เงียบสงบอยู่ในสายธารประวัติศาสตร์อันยาวนาน กำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่กระพือข่าว ไม่กำเริบเสิบสาน
เวลาแปดปีผ่านไปไวยิ่ง
หานเจวี๋ยอาศัยโอสถจนบรรลุระดับรวมกายาขั้นห้าในที่สุด โอสถของเฒ่าประหลาดอู้เต้าก็ถูกใช้จนหมด
การฝึกบำเพ็ญระดับรวมกายายากมาก ตบะของหานเจวี๋ยนับว่าเพิ่มพูนขึ้นรวดเร็วมากแล้ว
ระดับรวมกายาขั้นห้าที่อายุสี่ร้อยปี หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะมีใครเชื่อ
ในวันนี้ สิงหงเสวียนกลับมาแล้ว
เรื่องแรกที่หญิงสาวคนนี้ทำคือมาหาหานเจวี๋ย
หานเจวี๋ยให้นางเข้ามา อดอยากรู้ไม่ได้ว่าครั้งนี้นางจะมอบอะไรให้
สิงหงเสวียนนั่งลงข้างกายเขา ก่อนจะล้วงหญ้าสีม่วงต้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ ใบหญ้ามีแสงกะพริบอยู่จางๆ
“ท่านพี่ นี่คือสิ่งที่ข้าขุดมาได้จากดินแดนของเผ่าปีศาจ ช่วงที่ผ่านมาข้าออกจากต้าเยี่ยนไปยังเขตแก่นประจิม หญ้าต้นนี้ไม่ธรรมดามาก ตอนที่ข้าพบมันมีราชาปีศาจสองตนแย่งชิงกันอยู่ ข้าฉวยโอกาสตอนที่พวกมันบาดเจ็บถึงชิงมาได้” สิงหงเสวียนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
หานเจวี๋ยถามอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้เจ้าร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว”
สิงหงเสวียนเพิ่งมีตบะแค่ระดับรวมแก่นปราณขั้นสี่ จะแย่งสมบัติระดับนี้มาจากมือของราชาปีศาจสองตนได้อย่างไร
“ก่อนหน้านั้นข้าตระหนักรู้วิชาเทพในแดนลึกลับไม่ใช่หรอกหรือ ในวิชาเทพบันทึกพลังวิเศษสำหรับเคลื่อนย้ายอย่างหนึ่งไว้ ข้าฝึกชำนาญแล้ว สู้ไม่ไหวก็สามารถหนีได้ ไม่มีมนุษย์กับปีศาจใดที่ตามข้าได้ทัน” สิงหงเสวียนปิดปากกล่าวยิ้มๆ
เหตุใดหานเจวี๋ยถึงรู้สึกว่าดวงชะตาของแม่สาวคนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว
หรือว่าจะเป็นผลจากอิทธิพลดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียนของเขา
หานเจวี๋ยรับหญ้าสีม่วงในมือนางมา อักษรแถวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า
[ตรวจสอบพบว่าของล้ำค่าฟ้าดินนี้มีพลังแฝงของผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]
หือ?
หญ้าต้นนี้กลายเป็นภูตได้หรือ
……………………………………….