แรงกดดันมหาศาลครอบคลุมไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นน้ำ ทำให้เหล่าเทพที่เดิมทีเหาะเหินอยู่กลางอากาศ ยามนี้ต้องร่วงหล่นลงมาบนพื้นเพราะสูญเสียการควบคุม
ราวกับเกี๊ยวนึ่งที่ถูกเขวี้ยงลงบนพื้น
แม้ว่าแดนสวรรค์จะล่องลอยอยู่ในอากาศแต่ว่าสิ่งก่อสร้างแต่ละหลังล้วนจัดสร้างอยู่บนพื้นดินแถบหนึ่ง
แต่ละคนร่วงลงด้วยเสียงอันดังครึกโครม
เจ็บไปทั้งร่าง ปวดไปถึงหัวใจ
แต่สายตาของพวกเขาก็ไม่อาจละไปจากหมอกควันสีดำนั้นได้เลย
หมอกดำ….คือสิ่งที่แดนสวรรค์ชิงชังที่สุด
บุรุษผู้นั้น……แท้ที่จริงแล้วคือมหาเทพที่มาจากที่ใดกันแน่?
แล้วเข้ามาในแดนสวรรค์ได้อย่างไร?
นับตั้งแต่ที่นางมารผู้นั้นบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ประตูสวรรค์ทั้งสี่ล้วนเพิ่มจำนวนเวรยาม ด้วยความที่หวาดกลัวว่าจะมีตาสีตาสาจากที่ใดบุกเข้ามาอีก
ยามนี้กลับปรากฏบุรุษผู้หนึ่งที่มีแรงกดดันครอบฟ้าคลุมดินบุกเข้ามา โดยที่พวกเขามิได้ทันรู้สึกตัวเลย?
เขายังไม่ทันได้ลงมือ พวกเทพอย่างตนที่กระอักเลือดก็กระอักเลือดออกมา ที่ร่วงหล่นก็พากันร่วงหล่นลงไปเสียแล้ว
พลังตบะของคนผู้นี้ นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
……………….
อีกด้านหนึ่ง ดาบของตี้เสียที่แทงออกไป กลับถูกเขาตรึงเอาไว้
ตรึงเอาไว้ด้วยมือเปล่า!
หมอกสีดำที่มืดมิดเหล่านั้นเลื่อนไหลไปยังดาบของพระองค์ ปกคลุมเอาไว้ในช่วงเสี้ยววินาที ทั้งยังหลอมละลายดาบของตี้เสียทิ้งไปต่อหน่าต่อตาของพระองค์ในทันที!
ดาบน้ำแข็งของตี้เสียกลับกลายเป็นฝุ่นละอองทั้งๆที่อยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ หมอกสีดำบางๆนั้น กำลังจะไหลไปทางพระพักตร์ไปอย่างแผ่วเบา!
ตราประทับดวงสุริยะบนพระนาลาฏของตี้เสียก็ทวีความร้อนแรงขึ้นมาในทันที
ความร้อนขุมนั้นแผ่จากพระขนงไปทั่วทั้งพระวรกายสีทอง จนทั่วพระองค์ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ยามที่ควันและเถ้าถ่านเหล่านั้นพัดลอยมาถึง ก็ถูกเปลวเพลิงรอบพระองค์เผาผลาญจนหมดสิ้นไป
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่บุรุษผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา ดวงเนตรของตี้เสียก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของบุรุษผู้นั้นตลอดเวลา
ดวงตาหงส์คู่นั้น ลึกล้ำดุจความดำมืดที่มืดมิดที่สุดในโลกเบื้องล่าง
จนแม้แต่แสงทองจากพลังหยางของพระองค์ก็ยังไม่อาจสาดส่องไปได้ถึง เพียงได้สบตาแวบเดียวก็เหมือนถูกลากลงไปสู่ความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด
เพียงแค่หมอกสีดำบนร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็สามารถทำให้สีสันทั้งมวลบนแดนสวรรค์สูญสิ้นไป
แม้แต่ตี้เสียยังต้องทรงยอมรับว่า เขาช่างมีแรงดึงดูดสายตามากเกินไปแล้ว!
ดวงหน้านั้นถึงแม้จะแปลกตา แต่ว่าหมอกสีดำบนร่าง และพลังกดดันที่น่าเกรงขาม ทำให้พระองค์ทรงคิดถึง….
“ซีเหอ”
ชื่อนั้น ถูกกลบฝังไปกระแสของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว พระองค์ทรงคิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งคนผู้นั้นจะกลับมา
ทั้งยังบุกเข้ามาในแดนสวรรค์ ปรากฏตัวตรงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ และทำให้พระองค์ตกอยู่ในหมอกสีดำอันมืดหม่น
ดาบของพระองค์ สร้างขึ้นจากงาช้างของพญาคชสารกลืนหมื่นนภา แต่กลับถูกเขาทำลายกลายเป็นฝุ่นผงลงไปได้อย่างง่ายดาย?
อีกด้านหนึ่ง ซือเป่ยและฮว๋ายยู่ต่างก็หน้าถอดสีไปตามๆกัน
ยามที่อยู่ในหุบเขาปีศาจของโลกปัจจุบัน ซือเป่ยก็เคยได้พบกับจีเฉวียนมาแล้ว
ในตอนนั้น เขามิได้เห็นบุรุษผู้นี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังต้องตกตะลึง ยามที่บุรุษผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา ต้องเรียกว่าได้ผ่านการะชำระล้างผลัดเปลี่ยนแก่นกระดูกไปแล้ว!
แรงกดดันอันมหาศาลบีบคั้นลงมา ทำให้หัวใจของทุกผู้ทุกนามต้องเหน็บหนาว
ฮว๋ายยู่ถูกแรงกดดันจากบนร่างกายของเขา บีบคั้นจนถึงกับหายใจไม่ออก
นัยตาของนางยืดขยาย ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อซีเหอสองคำนั้น พระทัยของนางก็ถึงกับกระตุกขึ้นมา
จู่ฮว๋ายกลับมาเกิดใหม่….. ซีเหอก็ตามมาเกิดใหม่ด้วยหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร…….
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างก็คนหนึ่งจิตวิญญาญแตกสลาย อีกคนที่หาบสาปสูญ ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน?
ใบหน้าและเรือนร่างนั้นแม้จะมิใช่ของซีเหอ แต่ก็งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองเช่นเดียวกับซีเหอ
แม้แต่ฮว๋ายยู่ยังคิดไม่ออกเลยว่า บนแดนสวรรค์และในหกภพภูมินี้ นอกเสียจากซีเหอแล้วยังจะมีผู้ใดที่มีพลังที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นเช่นนี้ได้อีก!
พวกเขากลับมาแล้ว กลับมาแล้วทั้งคู่ หรือพวกเขาจะกลับมาแก้แค้น?
…..
ที่ด้านนอกของเจดีย์กำราบเทพมาร เมื่อจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้น เหล่าสัตว์อสูรที่ตอนแรกพึ่งจะสงบเสงี่ยมลง ก็พากันเหาะลงมา ยืนอยู่บนพื้น จนทำให้เกิดเสียงโครมครามจากสิ่งก่อสร้างต่างๆที่พังทลาย
ชั้นเมฆถูกกระทืบจนแตกร้าว เหล่าสัตว์อสูรต่างหมอบอยู่บนพื้น แหงนหน้ามองดูจีเฉวียนด้วยสายตาที่หวาดกลัว
แม้แต่เจ้านกยักษ์ตัวนั้น ยังต้องเกาะหมอบอยู่บนยอดเจดีย์ ไม่กล้าขยับเขยื้อนตามใจชอบ
……………………..
ดวงตาของจีเฉวียน เย็นเฉียบดุจแผ่นน้ำแข็ง
ร่างของเขากำบังตู๋กูซิงหลันอยู่ด้านหน้า ฝ่ามือข้างหนึ่งสกัดดาบของตี้เสียเอาไว้ แต่แม้กระทั้งสายตาก็มิได้มองไปที่พระองค์
ยิ่งมิได้เหลียวแลซือเป่ยและฮว๋ายยู่เลยสักนิด
เขาหันศีรษะกลับไป แววตาที่เดิมทีเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทันทีที่มองเห็นตู๋กูซิงหลัน แววตาก็หลอมละลายลงไปดุจน้ำแข็งที่สัมผัสสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ตู๋กูซิงหลันทรุดอยู่ในมุมเล็กๆมุมหนึ่ง
โดดเดี่ยว เปราะบาง และน่าสงสาร
หากแต่สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือดวงตาที่เย็นชาคู่นั้น แม้ว่าจะได้พบกับจีเฉวียนก็ยังคงไม่มีปฏิกริยาใดๆแม้แต่น้อย
ในที่สุด ดวงหน้าดุจแผ่นน้ำแข็งของจีเฉวียน ก็ผุดรอยยิ้มอ่อนๆขึ้นมา
พอเห็นว่าเขากำลังจะยื่นมือไปหาตู๋กูซิงหลัน ตี้เสียก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
พระองค์รีบเรียกแส้ทลายนภาออกมา หวดเข้าใส่จีเฉวียนอย่างรวดเร็ว
“นางเป็นสตรีของเรา!” ตี้เสียคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธกริ้ว
ต่อให้พระองค์ต้องการสังหารตู๋กูซิงหลัน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่จะให้นางเป็นสตรีของพระองค์!
สตรีผู้นี้ ต้องเป็นของตี้เสีย ของพระองค์เท่านั้น!
ก่อนหน้านี้ใช่ ตอนนี้ก็ต้องใช่!
มิว่าจะฆ่าหรือทารุณมีแต่พระองค์เท่านั้นที่ทำได้!
ซีเหอไม่อาจมีสิทธิ์!
แส้นี้พอฟาดออกไป จีเฉวียนกลับมิได้หลบหลีก เขาหันหลังให้กับเทียนตี้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งที่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลันและยื่นมือไปหานาง
ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับดั้งจมูกของนางอย่างแผ่วเบา พลางเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ซิงซิง ข้ากลับมาแล้ว”
น้ำเสียงที่ลึกล้ำ ท่วมท้นด้วยความรู้สึก
ประโยคเดียว ที่คิดจะบอกกับนางมานับครั้งไม่ถ้วน
แส้นั้นของตี้เสีย ถูกเขาละเลยอย่างหมดสิ้น!
และทันทีที่ฟาดมาถึง ก็ถูกหมอกสีดำบนร่างของจีเฉวียนกลืนกินลงไป
พระพิโรธของตี้เสียพุ่งสูงอย่างรุนแรง จนแทบจะระเบิดออกมา ดวงเนตรจับจ้องมองดูจีเฉวียนที่บังอาจเข้าใกล้ตู๋กูซิงหลันต่อหน้าต่อตาของพระองค์!
แต่ว่าร่างของคนผู้นั้น คล้ายจะมีหมอกสีดำที่มีพลังบางอย่าง ที่มิว่าพลังใดก็ตามที่ส่งไปถึง ก็จะถูกกลืนกินจนหมดสิ้น
จนแม้แต่ตี้เสียเองก็ทรงไม่เข้าพระทัย
“เราไม่อนุญาตให้เจ้าแตะต้องนาง!”
ความต้องการยึดครองของตี้เสียช่างรุนแรง จนแม้ว่าพระองค์จะต้องการสังหารตู๋กูซิงหลัน ก็จะไม่ยอมให้บุรุษอื่นมาสัมผัสนางแม้แต่ปลายเส้นผม!
อย่าว่าแต่บรรยากาศรอบกายของคนผู้นั้นเหมือนกับซีเหออย่างที่สุด!
จีเฉวียนคร้านจะสนใจพระองค์ตั้งแต่ต้นแล้ว เขายังคงคุกเข่าตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน ในแววตามีความเสียใจอยู่บางๆ
แต่ในความเสียใจนั้นก็ยังมีความยินดีอยู่เล็กน้อย
“ซิงซิงของข้า ยังคงซุกซนอยู่เช่นเดิม”
เมื่อมองดูสาวน้อยที่ไม่ขยับไปไหนตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ปลายนิ้วของเขาขยับน้อยๆ สัมผัสลงไปเบาๆที่หน้าผากของนาง ทันใดนั้นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นยันต์สีแดงใบหนึ่ง
บนยันต์โลหิตแผ่นนั้น มีจิตวิญญาณเบาบางผนึกอยู่ และเศษเสี้ยวเล็กๆของหยกสรรพชีวิต
ยันต์โลหิตใบนั้นปลิวลงมาอยู่บนมือของจีเฉวียน
คราวนี้ ตี้เสียและคนอื่นๆต่างก็ตาค้างกันไปหมดแล้ว
โดยเฉพาะซือเป่ยยิ่งมีสีหน้าอ้ำอึ้ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน?!
เขตอาคมที่เขาทุ่มเทพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างสร้างขึ้นมา ที่แท้แล้วกลับกักขังเอาไว้แต่เพียงแค่ร่างแบ่งภาคกระนั้นหรือ?!
ปฏิกริยาโต้ตอบและความเร็วของนางกลับเหนือกว่าที่ซือเป่ยคาดคิดเอาไว้มาก!
สตรีที่เจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอกอย่างที่สุด!
เพื่อให้ร่างแบ่งนี้สามารถปิดบังสายตาของทุกผู้คนได้ นางถึงกับยินยอมฉีกแบ่งส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณออกมา ทั้งยังกล้าสละเศษเสี้ยวของหยกสรรพชีวิตเอาไว้!?
การฉีกแบ่งจิตวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรกับการเฉือนเลือดเนื้อชิ้นหนึ่งออกมาจากร่าง เพื่อให้ร่างแบ่งภาคนี้มีไอวิญญาณเฉกเช่นเดียวกันกับตัวตนของนาง!
ทั้งยังใช้พลังของเศษเสี้ยวของหยกสรรพชีวิตมายื้อเวลาการคงสภาพของร่างแบ่งภาคนั้นเอาไว้!
เช่นนี้ นางจึงสามารถหลอกลวงผู้คนทั้งหมดได้สำเร็จ!
รวมไปถึงบุรุษผู้น่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศผู้นั้นด้วย!
…………………