พอร้องออกมาว่าเมียเมีย ก็เห็นว่าสีหน้าของมันเองก็พลันเปลี่ยนไป มันตกตะลึงจนร้องไม่ออก กรงเล็บข้างหนึ่งรีบตะครุบปากของตนเองเอาไว้
ท่าทางที่แม้แต่ตัวมันเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าน้ำเสียงอ่อนด้อยเช่นนี้ จะออกมาจากปากที่สูงส่งของมันได้อย่างไร
พอได้ยินเสียงร้องว่า เมียเมีย ดังออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ถึงกับทำหน้าเหยเก
มันอุตส่าห์มีใบหน้าที่งดงามน่าดูขนาดนั้น โถ่…..
นางมองดูมัน แล้วก็หันไปมองดูจีเฉวียน สายตามองกลับไปกลับมาระหว่างทั้งสองอยู่หลายรอบ
มัน…..มีส่วนเกี่ยวของอันใดกับเจ้าเมียเมียกันแน่?
พอลองคิดๆดู ก่อนหน้านี้ร่างกายของเสี่ยวเฉวียนเฉวียน ‘ตายไปแล้ว’ เช่นนั้นเจ้าเมียเมียที่เป็นสัตว์อสูรของเขาก็สมควรจะตายไปด้วย…..
ตู๋กูซิงหลันจ้องมองดูมัน ในใจก็คิดไปว่า คงจะไม่ได้บังเอิญอะไรขนาดนั้นละมั้ง?
เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ ถูกขังเอาไว้ในเจดีย์มาตั้งนับแสนปีมาแล้ว!
มันกับเจ้าเมียเมียสมควรจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆจึงจะถูก
จีเฉวียนเหลือบตามองดูมันแวบหนึ่ง พอเห็นว่ากำแพงหินวิญญาณยิ่งทียิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆแล้ว เขาก็ไม่มีแก่ใจจะเสียเวลาต่อไป
จุดประสงค์ในตอนแรกที่มาที่นี่ ก็เพื่อจะมาพาหลันหลันกลับไป หาสถานที่อันปลอดภัยซ่อนนางเอาไว้ แล้วค่อยคิดบัญชีกับพวกที่กล้ารังแกนาง
ว่าแล้วพิณสุริยันต์จันทราที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็หายไปในชั่วพริบตา สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนก็คือดาบสีดำอมทองด้ามหนึ่ง ดาบกระชับอยู่ในมือ สะบัดออกไปเบาๆ ทันใดนั้นโซ่ที่ล่ามข้อมือข้อเท้าของเจ้าตัวประหลาดนี้เอาไว้ก็ถูกสะบั้นจนแตกหักออกมา
เสียงตึงดังขึ้น โซ่เหล็กร่วงลงไปบนพื้น ใบหน้าหล่อเหลาขนาดยักษ์ของเจ้าตัวประหลาดก็พลันตกตะลึงไป
คราวนี้ ใบหน้าของมันค่อยปรากฏออกมาให้เห็น ครึ่งหนึ่งเป็นใบหน้ามนุษย์ อีกครึ่งเป็นใบหน้าสัตว์อสูร
ใบหน้าครึ่งที่เป็นสัตว์อสูรปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำน้ำตาลไปทั้งแถบ มีดวงตาสีแดงเพลิงข้างหนึ่ง ราวกับว่าสร้างขึ้นจากลาวา
เส้นขนบนหัวเหมือนกับแผงคอของม้า เขี้ยวที่โค้งยาวยังย้อมไปด้วยเลือดสดๆ จนแดงไปทั้งแถบ หัวของมันเหมือนกับสิงโตสีดำอมน้ำตาล แต่ว่ากลับมีหนึ่งเขาแทงงอกเงย เขายาวตรงแทงขึ้นฟ้า ราวกับจอมปีศาจ
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายที่ใหญ่โตจนมโหฬารของมันก็ก้าวออกมาจากความมืด
นั่นเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ รูปร่างของมันคล้ายคลึงกับร่างกายของมนุษย์ เพียงแต่ว่ามีแผงคอสีน้ำตาลดำพองฟูงอกเงยขึ้นมาบนผิวเนื้อ
เมื่อมองดูด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าบนร่างของมัน มีกล้ามเนื้อสีดำที่ดูน่ากลัว คล้ายกับก้อนหินกำลังเคลื่อนไหว
ทันทีที่มันลุกขึ้นยืน เจดีย์ที่เดิมทีก็อยู่ในสภาพพังยับเยินอยู่แล้ว ก็ถึงกับถล่มลงไปในตอนนั้นเลย
เศษก้อนหินปลิวว่อน ฝุ่นละอองคละคลุ้งไปทั่วทั้งท้องฟ้า เสียงโครมครามดังกึกก้องแสบแก้วหู
เจดีย์กำราบเทพมารมีความสูงหลายร้อยเมตร ขนาดก็ใกล้เคียงกับพระที่นั่งหลิงเซียวเป่าเตี้ยน พอพังลงมาก็เหมือนตึกสูงที่ล้มลงไปทั้งหลัง
กลายเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว
กองทัพจักรพรรดิสวรรค์ที่รายล้อมอยู่ต่างก็ไม่กล้ารีรออีกต่อไป รีบจุดระเบิดหินวิญญาณขึ้นในทันที
เจ้าตัวประหลาดตัวนั่นแค่ยื่นศีรษะออกมาก็ดูน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้แล้ว หากปล่อยให้มันก้าวออกมาทั้งตัว จะย่ำแย่ขนาดไหน?
ดังนั้นมิว่าจะอย่างไร ก็ต้องระเบิดมันให้สูญสิ้นไปให้จงได้
ที่จริงตอนนี้พวกเขามีเรื่องที่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไยตอนแรกเทียนตี้ถึงมิทรงสังหารเจ้าตัวประหลาดนี้ทิ้งไปตั้งแต่แรก กลับเลือกที่จะกักขังเอาไว้ในนี้ จนกลายเป็นเภทภัยในภายหลัง
ทันทีที่เจดีย์พังทลายลงมา กำแพงหินวิญญาณก็ถูกจุดระเบิดขึ้น หินวิญญาณบริสุทธิ์ขนาดเท่ากำปั้น เมื่อเกิดระเบิดจะมีอานุภาพเทียบเท่ากับสถานีเติมน้ำมันหลังหนึ่งระเบิดขึ้นเลยทีเดียว
เมื่อระเบิดหินวิญญาณจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ ก็เหมือนกับว่าโยนระเบิดนิวเคลียร์สองลูกใส่ข้างกายจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน
เหล่าเทพต่างก็พากันถอยกรูดออกไป ด้วยความหวาดเกรงว่าพลังวิญญาณที่น่ากลัวนั่นจะถล่มเข้าใส่ตนเอง
อานุภาพของแรงระเบิดจากหินวิญญาณ ยังน่ากลัวมากกว่าพลังของดาบอาทิตย์เทพมากมายนัก
ตี้เสียทรงประทับอยู่บนหมู่เมฆ ดวงเนตรสีทองทอประกายแสงเย็นชา
นี้คือจุดจบของผู้ที่ต้องการเป็นปรปักษ์กับพระองค์ ต่อให้แดนสวรรค์จะต้องเสียหายไปเกือบครึ่งไป เขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้คนทั้งสองหลบหนีไปอย่างมีชีวิตแน่นอน!
หึ แน่นอนว่ารวมไปถึงเจ้าตัวประหลาดที่อยู่ในนั้นด้วย!
เมื่อเกิดระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ขึ้นมา เจดีย์กำราบเทพมารที่พังทลายลงไปก็ถูกระเบิดจนกลายเป็นผุยผง
แรงระเบิดยังไม่ทันหมดสิ้น หากนับเจดีย์เป็นจุดศูนย์กลาง สิ่งก่อสร้างที่รายล้อมอยู่โดยล้อมล้วนถูกระเบิดจนกลายเป็นเศษหินกระจัดกระจาย
เศษก้อนหินก้อนกรวดต่างๆร่วงลงมาจากท้องฟ้า
เศษฝุ่นหนาแน่นราวกับเป็นหมู่เมฆ ฟุ้งกระจายจนปิดบังท้องฟ้าทั้งหมดเอาไว้
ถึงกับบดบังตำแหน่งที่เจ้าตัวประหลาดนั่นยืนขึ้นมาจากในเจดีย์จนมิด
ดังนั้นเหล่าเทพต่างก็คิดว่า คนทั้งสองและเจ้าตัวประหลาดนั่น จะต้องตายจนไม่เหลือแม้แต่ซากอย่างแน่นอน
รอให้เศษฝุ่นเหล่านี้จางลงไป ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็คงจะถึงจุดสิ้นสุดเสียที
พวกเขาต่างก็คิดเช่นนี้
ไกลออกไป ในที่สุดพระทัยของฮว๋ายยู่นับได้ว่าสามารถกลับลงมาได้แล้ว พระที่นั่งหลิงเซียวเป่าเตี้ยนก็นับว่าถล่มไปแล้วเช่นกัน…..
ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปนับหลายหมื่นปีเพื่อสร้างพระที่นั่งอันวิจิตรงดงามเช่นนี้ขึ้นมา ยามนี้พอบอกว่าถูกถล่มจนไม่เหลือ ก็ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
แต่ว่านังแพศยานั่นก็ตายไปแล้ว …..ทั้งหมดนี้ก็ยังนับว่าคุ้มค่าอยู่
“เขาไม่ได้คิดเลยว่าเจ้ายังอยู่ที่ด้านข้างหรือไม่ ก็ให้ทัพจักรพรรดิสวรรค์ระเบิดหินวิญญาณมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ ดูท่า เขามิได้คิดถึงเจ้าเลยสักนิด” ซือเป่ยเอ่ยเสียงเย็นชา
“ตี้เสียไม่เคยรักเจ้าเลยสักครั้ง” เขาเอ่ยต่อไปอีกว่า “เห็นหรือไม่ว่า เขารักแต่ตัวเองเท่านั้น”
ฮว๋ายยู่ถลึงตาใส่เขาอีกครั้ง “ใครต้องการให้เจ้ามายุ่งกัน? แค่ข้ารักเขาก็พอแล้ว!”
ซือเป่ย “…….”
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ฝ่ามือกำหมัดจนแนบแน่น
แววตาของเขาทอประกายชิงชัง
อีกด้านหนึ่ง พอทอดพระเนตรเห็นว่าที่เจดีย์มีแต่ฝุ่นควันคละคลุ้งไปหมด ตี้เสียก็ค่อยคลายพระทัยลงไปได้บ้าง
หินวิญญาณมากมายถึงเพียงนั้น เกินพอจะระเบิดจนทำให้คนธรรมดาผู้หนึ่งกลายเป็นเทพเซียนไปได้แล้ว นี่ช่างเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมหาศาล แม้ว่าจะสิ้นเปลือง แต่หากว่าสามารถกำจัดสุนัขชายหญิงคู่นั้นได้ ก็ยังถือว่าคุ้มอยู่ดี
พระโอษฐ์ที่ทรงขบเม้มจนเป็นเส้นตรง ในที่สุดก็ค่อยๆโค้งขึ้นมาได้เสียที
แต่ว่าความสุขยังมิทันได้จะไปถึงไหน ก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากในกลุ่มควันที่หนาแน่น ปีกสีแดงคู่หนึ่งกางออกมา พัดโบกจนเกิดเป็นลมพายุไปทั่วท้องฟ้า
บนปลายปีกนั่นยังมีกระดูกที่แหลมคม ที่สามารถตัดผ่านฝุ่นละอองและหมอกควันได้
ในทันใดนั้นเอง ก็เห็นเจ้าตัวประหลาดนั่นกระพือปีกโผบินขึ้นไป มันคำรามออกมาครั้งหนึ่ง ทำเอาผู้คนที่อยู่ใกล้ต่างก็พากันกระอักเลือดออกมา
หินวิญญาณยังคงระเบิดอย่างต่อเนื่อง แต่พลังระเบิดของหินวิญญาณเหล่านั้น แทบจะมิได้มีผลต่อเจ้าสัตว์ประหลาดนี้เลยสักนิด ปีกที่ใหญ่โตของมันแข็งแกร่งจนไม่อาจทำลายได้ แม้แต่พลังระเบิดของหินวิญญาณก็ยังมิได้ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้บนร่างของมันเลยสักนิด
ปีกที่ใหญ่โตโอฬารของมันกางออกไป พอโบกโบยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียแล้ว
“โฮก…..”
เหล่าสัตว์อสูรต่างก็เหมือนถูกคำสั่งเรียกหา พวกมันส่งเสียงคำรามร้องรับไปพร้อมๆกับร่างกายที่สั่นสะท้าน
จากนั้นก็บินติดตามไปด้วย
เนื่องเพราะว่าร่างกายของมันมีขนาดใหญ่โตมาก ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้มีคนเห็นว่า บนหัวไหล่ของเจ้าตัวประหลาดนั่น มีร่างของบุรุษในชุดสีดำอมทองยืนอยู่ด้วย
และสายตาของเขา ก็กำลังมองผ่านหมอกควันไปยังร่างของตี้เสียที่ประทับอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ
ดาบสีดำทองในมือของเขาพุ่งทะยานออกไป โดยไม่ต้องหยุดคิด
ดาบนั้นเร็วดุจลำแสง และเย็นเฉียบอย่างที่สุด
ขณะที่เหล่าสัตว์อสูรกำลังขู่คำราม ดาบก็พุ่งเข้าหาพระทัยของเทียนตี้แล้ว
รอจนเทียนตี้ทรงรู้สึกตัว ก็สายไปก้าวหนึ่ง พระองค์ทรงคิดว่าจะหลบหลีก แต่ว่าที่ข้างกายเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างมาเหนี่ยวรั้งพระองค์เอาไว้ ทำให้พระองค์จำต้องทรงรับการโจมตีนี้ไปอย่างเต็มๆ
ดาบเล่มนั้นพุ่งเป้าไปที่ทรวงอก จมลึกลงไปในเนื้อถึงสามนิ้ว ความเย็นยะเยือกราวกับฤดูหนาว ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกาย
………………………