ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง ดวงตาดอกท้อที่อยู่หลังแถบผ้าสีม่วง เปล่งประกายระยิบระยับ
สิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขังอยู่ในเจดีย์มาตลอดระยะเวลานับแสนปี จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ตาย มันคือตัวอะไรกันแน่?
ทันทีที่เจดีย์ชั้นเก้าแตกออก สัตว์อสูรตัวอื่นๆที่เดิมทีทำท่าจะหลบหนีไป ต่างก็ต้องหยุดชะงักลงราวกับดวงวิญญาณถูกจับเอาไว้ กรงเล็บที่ยื่นออกไปด้านหน้าล้วนถูกดึงถอยกลับไป
ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในเจดีย์มีอิทธิพลต่อชีวิตของพวกมันอย่างยิ่ง แต่ละตัวจากที่หันหน้าออก หันหลังให้กับเจดีย์ ตอนนี้ต่างก็ทยอยกันหันหัวกลับมาจนหมด
บนยอดเจดีย์ ร่างของเจ้านกยักษ์ถูกลากเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งเส้นขนกระจุกใหญ่ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดก็ปลิวออกมา
เหล่าเทพรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักๆจากกลิ่นอายอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากด้านใน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปในอากาศ
มีแต่เหล่าสัตว์อสูรเท่านั้นที่เข้าใจว่านั้นคือแรงกดดันจากสัตว์อสูรที่เหนือล้ำกว่า
หากจะเปรียบเทียบไป ก็เหมือนกับว่าพวกมันคือบรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่อยู่ในป่า ส่วนตัวที่อยู่ในชั้นที่เก้าคือราชาแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย มิว่าจะเป็นสัตว์ชนิดใด ต่างต้องยอมสยบให้ด้วยความเคารพนบนอบ
นั่นคือการคงอยู่ที่พวกมันไม่อาจต่อต้านได้!
เหล่าสัตว์อสูรต่างก็ถอยไปถึงข้างเจดีย์ หมอบร่างจนติดกับพื้น แม้แต่ในแววตาก็มีความหวาดกลัว
กองทัพจักรพรรดิสวรรค์ที่เดิมทีเตรียมจะบุกเข้าใส่จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน ยามนี้พากันชะงักไป พวกเขาพากันหันไปมองดูตี้เสีย ด้วยความเกรงว่าพระองค์จะมีบัญชาอื่นออกมา
สัตว์ประหลาดที่อยู่ในเจดีย์นั้น น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง …..หากปล่อยให้มันหลุดออกมา แดนสวรรค์คงไร้ซึ้งความสงบสุขอีกต่อไป!
ตี้เสียทรงกำดาบอาทิตย์เทพเอาไว้ในพระหัตถ์ พระองค์เองก็คิดไม่ถึงว่า ชั้นบนของเจดีย์บอกว่าจะพัง ก็พังออกมาจริง
ยิ่งทรงคาดไม่ถึงเลยว่า สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างเจ้านกยักษ์ จะถูกจับกินทั้งเป็นได้เช่นนั้น?
ขณะที่พระองค์ทรงลังเลไปชั่วขณะ ก็ทอดพระเนตรเห็นจีเฉวียนดีดพิณอีกครั้ง เสียงพิณเปล่งออกมา ส่งไปทางยอดเจดีย์
“ติ้ง~”
ขณะเดียวกันปลายเท้าของเขาก็ขยับ เคลื่อนออกจากจุดที่ยืนนิ่งมาเนิ่นนานเป็นครั้งแรก
และมุ่งหน้าไปทางยอดเจดีย์
กองทัพชุดแรกของทัพจักรพรรดิสวรรค์มาถึงเบื้องหน้าของเขาแล้ว ทั้งหมดมีอยู่นับร้อยคน
พวกเขาขวางเส้นทางของจีเฉวียนเอาไว้ พระบัญชาของเทียนตี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ต่อให้พวกเขาต้องสละชีพก็ต้องกำจัดบุรุษผู้นี้ให้เละเป็นจุลให้จงได้
จีเฉวียนไหนเลยจะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา……เขาขยับร่างด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า ขณะที่เสียงพิณนั่นยังไม่ทันสิ้นสุด เขาก็ทะลวงผ่านกลุ่มทหารที่หนาแน่น เหาะไปถึงยอดเจดีย์เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ว่าท้องฟ้าเหนือศีรษะกลับมีแต่หมู่เมฆมืดครึ้ม สายฟ้าส่งเสียงครืนๆดังกึกก้อง แม้แต่หมู่ดาวที่อยู่ด้านหลังยังถูกเมฆดำบดบังจนมิด
นั่นคือสายฟ้าที่สัตว์ประหลาดในชั้นเก้าสร้างขึ้นมา!
ในแดนสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมีแต่อากาศที่แจ่มใส ไม่เคยมีพายุฟ้าฝนที่อันตรายเช่นเดียวกับโลกเบื้องล่าง
สายฟ้าเหล่านั้น ดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา บรรยากาศโดยรอบยังมีกลิ่นอายของยุคบรรพกาลอีกด้วย
จีเฉวียนใช้มือข้างหนึ่งโอบตู๋กูซิงหลันเอาไว้ รอบกายของเขามีหมอกสีดำห้อมล้อม เส้นผมสีดำพลิ้วออกไป ภายใต้ประกายแสงสว่างของสายฟ้า ดวงตาคู่นั้นดูลึกล้ำกว่าเดิม
เขาร่อนลงไปจากด้านบน ไปยืนอยู่บนยอดเจดีย์ แม้แต่แสงสว่างจากรอบกายของตี้เสียยังถูกกดดันจนอับแสงลงไป
จุดที่เจดีย์แตกออก มีปลายแหลมที่คมกริบดุจใบมีด เขายืนนิ่งอยู่บนปลายแหลมนั้น หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง มองเข้าไปภายในอย่างเงียบๆ
เหล่าเทพต่างก็ไม่เชื่อว่าเขากำลังหาเรื่องไปตาย
พวกเขากำลังคาดเดาไปว่า บางทีบุรุษผู้นี้กับสัตว์ประหลาดที่ถูกจับไว้อาจจะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกัน….
ไม่เช่นนั้นเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นทำไมถึงไม่ตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ หรือหลังจากนี้ นอนหลับไปตั้งหลายแสนปี แต่กลับตื่นขึ้นมาในช่วงเวลานี้พอดิบพอดี!
คราวนี้ พวกเขาต่างก็เป็นกังวลขึ้นมาแล้ว
ดูเอาเถอะ แค่ตอนนี้บุรุษผู้นั้นยังแข็งแกร่งถึงขั้นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ ….หากว่าเขากับเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นร่วมมือกัน เกรงว่าวันนี้แดนสวรรค์คงต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!
“คำสั่งของเรา กลายเป็นเพียงลมผ่านหูกระนั้นหรือ?” ตี้เสียทรงกริ้วขึ้นมา “สังหารโดยไม่เว้น! พวกเจ้าคิดจะชมดูอยู่เฉยๆหรืออย่างไร?”
แต่ไหนแต่ไรทัพจักรพรรดิสวรรค์สุขุมลุ่มลึกอยู่เสมอ หากมิใช่เพราะเห็นว่าเจดีย์แตกออกมา พวกเขาย่อมไม่มีทางตกตะลึงจนถึงขั้นนี้เป็นแน่
เมื่อครู่นี้ ท่าร่างของบุรุษผู้นั้นมีความเร็วถึงขนาดที่สายตาของพวกเขาเกือบจะมองไม่ทันอยู่แล้ว
ถึงกับสามารถเหาะไปยังยอดเจดีย์ต่อหน้าต่อหน้าของพวกเขาในชั่วพริบตาเท่านั้น!
จีเฉวียนมิได้ใส่ใจพวกเขาเลย ที่จริงประกายตาของเขายังไม่ได้มองไปทางตี้เสียเลยด้วยซ้ำ
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ไม่อยู่ในสายตา
ตู๋กูซิงหลันเองก็มุ่งความสนใจไปยังสัตว์ประหลาดในเจดีย์ชั้นเก้าตัวนั้นเท่านั้น นางมองไปทิศเดียวกับจีเฉวียน สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาก็คือเจ้านกยักษ์ที่ตัวโชกเลือด
ใครจะไปคิดว่า เจ้านกยักษ์ที่ยามปกติดุร้ายและยโสโอหังอย่างที่สุด ตอนนี้พอถูกกรงเล็บสีดำขนาดใหญ่ข้างหนึ่งตะครุบเอาไว้ จะกลายเป็นแม่ไก่กุ๊กที่ขี้กลัวจนหงอไปเสียแล้ว
มันไม่ได้ถูกจับกิน…แต่ว่าถูกจับกรีดเลือดออกมาไม่น้อย….
บนลำคอของมันถูกกรงเล็บกรีดไปครั้งหนึ่ง เลือดไหลทะลักออกมา เจ้าตัวประหลาดที่จับมันเอาไว้กำลังดื่มลงไปอย่างสะใจ
พอมันรู้สึกได้ว่าที่เหนือศีรษะมีคนยื่นอยู่ เจ้านกยักษ์ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนแรงครั้งหนึ่ง
เดิมทีมันคิดว่าเป็นตี้เสีย อย่างไรคนผู้นั้นก็คือเจ้านายในพันธะของมัน สมควรช่วยเหลือมันอยู่บ้าง
แต่พอมันลืมตาขึ้นมากลับมองเห็นใบหน้าดำๆสองหน้า จีเฉวียนกับตู๋กูซิงหลัน
มันก็ได้แต่ใจหายวาบ มันย้อนคิดไปถึงสิ่งที่เคยได้ทำลงไปยามอยู่ที่หุบเขาปีศาจ ในสมองของมันก็พลันนึกถึงคำหนึ่งขึ้นมา
“สองรวมเป็นหนึ่ง รุมโจมตี”
เจ้าสองคนนี้จะต้องมาแก้แค้นอย่างแน่นอน!
บุรุษผู้นั้น….กลิ่นอายบนร่างของบุรุษผู้นั้น ทำให้มันนึกไปถึงผู้ที่เคยอยู่ในยุคบรรพกาล….และยังทำให้มันนึกถึงหมิงอ๋องที่มันใช้กรงเล็บทะลวงจนตายไป
ใช่แล้ว….ตอนที่อยู่ในหุบเขาปีศาจนั่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หมิงอ๋องผู้นั้นถึงได้ปวกเปียกจนกลายเป็นไก่อ่อนไป….
ที่กรงเล็บนั้นของมันสามารถทะลวงใส่เขาได้เช่นนั้น หากจะพูดไปแล้ว แม้แต่ตอนนี้มันเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย
เจ้านกยักษ์ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวจนหงอย ปีกของมันหุบลงคลุมหัวของตนเองเอาไว้ โผล่แต่ดวงตาที่หรี่ลงด้วยความสำนึกเสียใจออกมาครึ่งหนึ่ง
มันเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้นว่า “พี่ชายพี่สาว อย่างฆ่าข้าเลย ข้าเป็นเพียงนกตัวน้อยที่น่าสงสารตัวหนึ่ง….”
ตู๋กูซิงหลัน “อ้อ…” เจ้านกน้อยที่น่าสงสารเสียเหลือเกินอย่างงั้นน่ะหรือ ตอนเจ้าโหดขึ้นมา ทำไมถึงไม่น่าสงสาร ไม่ใช่นกน้อยบ้างล่ะ?
นางอยากจะซัดหน้าไอ้ตัวหงอยนี้สักรอบหนึ่ง
“ที่แท้เจ้าก็พูดได้ด้วย?” สีหน้าของนางเย็นชาอย่างยิ่ง พอคิดถึงตอนที่อาจารย์ถูกเจ้าตัวนี้แทงทรวงอก ตู๋กูซิงหลันก็อย่างจะจับมันไปต้มกินอยู่เหมือนกัน
“ข้า ข้า ข้า …. ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงสัตว์อสูรในยุคบรรพกาล…..อยู่มาก็นานโขถึงเพียงนี้แล้ว ย่อมต้องสามารถพูดภาษามนุษย์ได้”
เจ้านกยักษ์ยังคงซุกหัวอยู่ใต้ปีกต่อไป ที่จริงมันก็คิดถึงบาดแผลตรงลำคออยู่เหมือนกัน แต่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวดำที่อยู่ข้างๆ ทำท่าเหมือนกับว่ายังได้ดื่มเลือดไม่พอ กรงเล็บที่ใหญ่โตยังคงตะปบอยู่บนร่างของมัน ทั้งบีบและเค้นเลือดในตัวของมันออกมาเป็นการใหญ่
เจ้านกยักษ์ยิ่งทียิ่งอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ “เพียงแต่ว่าสัตว์อสูรบรรพกาลอย่างพวกเรา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใส่ใจจะพูดภาษาของมุนษย์…”
แววตาของตู๋กูซิงหลันเย็นยะเยือกขึ้นมา นางเงยหน้าขึ้นมองไปที่ใบหน้าอันสงบนิ่งของจีเฉวียน เอ่ยไปคำหนึ่งว่า “จับตุ๋นเสียดีไหม สัตว์อสูรแต่ครั้งบรรพกาล ดูท่ารสชาติน่าจะอร่อยเป็นของบำรุงชั้นดี ตัวก็ใหญ่ขนาดนี้ พอแบ่งปันญาติมิตรและเพื่อนฝูงได้ทั่วถึง”
“อ้อ วันที่พวกเราแต่งงานกัน ก็ใช้มันเป็นของทานเล่น มีหน้ามีตาดีไม่น้อย!”
จีเฉวียน “ได้ ล้วนแล้วแต่เจ้า”
เจ้านกยักษ์ “! ! !”
“ไม่น้า! กินของป่าไม่ดีหรอก สัตว์ป่ามีพิษ สัตว์ป่ามีเชื้อโรคมากทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย! ข้าเป็นสัตว์ป่า! ตั้งแต่เล็กจนโต เติบโตขึ้นในป่ามาโดยตลอด! เป็นสัตว์ป่าของแท้!”
ตู๋กูซิงหลัน “วางใจเถอะ พวกเราร้อยพิษไม่อาจกล้ำกรายอยู่แล้ว”
เจ้านกยักษ์ “….”
มันรู้สึกสำนึกเสียใจเหลือเกิน ตอนนั้นมันไม่ควรพลั้งมือ ล่วงเกินสตรีผู้นี้เลย!
มันได้แต่แอบน้ำตาไหลอย่างเงียบๆ ดวงตาอีกข้างหนึ่ง ก็มองเข้าไปในความมืด เจ้าตัวประหลาดตัวนั้นกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน หัวเราะอย่างเงียบๆใส่มัน
พ่อจ๋าแม่จ๋า!
เจ้านกยักษ์ถึงกับตัวแข็งข้างไปแล้ว มันตกใจเสียจนวิญญาณเกือบจะหลุดออกจากร่างไปเสียเดี๋ยวนี้
………………..