แค่ประโยคเดียว มันก็เกือบจะถูกความหนาวเย็นในร่างของจีเฉวียนแทงทะลุจนพรุน
ดวงตาหงส์คู่นั้นมองดูทันด้วยความเย็นชา จากนั้นก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “สมองของเจ้ามีแต่ขี้หรือไร?”
วิญญาณทมิฬ “เอ่อ….”
มันใช้สองมือสั้นๆคู่นั้นจับหัวของตัวเองเอาไว้ ออกแรงเขย่าแรงๆอยู่หลายรอบ จนแน่ใจว่า ข้างในไม่มีขี้ใดๆ
มันเพียงแต่รู้สึกคิดไม่ถึงว่า คำว่าขี้คำนี้จะออกมาจากปากของฝ่าบาทท่านอาจารย์ที่ทั้งองอาจและแข็งแกร่งจนน่าเกรงขามได้อย่างไร
จีเฉวียนกวาดตาดูตะเกียงแปดทิศเหล่านั้นรอบหนึ่ง สายตาของเขาแทบจะแทงวิญญาณทมิฬเป็นรูพรุนอยู่แล้ว
ความรู้ความสามารถทุกอย่างของตู๋กูซิงหลัน ได้นับมาจากการถ่ายทอดสั่งสอนของซื่อมั่วด้วยตนเอง แน่นอนว่า เรื่องวิชาเรียกคืนวิญญาณเขาย่อมรู้กระจ่างกว่านางอยู่แล้ว
การจุดตะเกียงเรียกวิญญาณหากว่าผิดพลาดไปแม้แต่จุดเดียว ไม่เพียงแต่ว่าไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ซ้ำยังอาจจะถึงขึ้นจิตวิญญาณแตกสลายด้วยซ้ำ!
ซิงซิงรับบาดเจ็บอย่างสาหัส แต่ก็ยังกลับมามีชีวิตได้ ที่จริงต้องถือว่าแปลกประหลาดมากแล้ว
“หนูผิดไปแล้ว!” วิญญาณทมิฬเองก็มิได้โง่เขลาพอเห็นท่าทางของจีเฉวียน มันก็รู้แล้วว่าตนเองคงจะก่อความผิดอย่างใหญ่หลวงขึ้นมาแล้ว
ไม่อาจโทษว่าที่มันสับสนจนทำผิดพลาด ….นี่เป็นเพราะว่ามันตื่นเต้นจริงจังมากไป นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันจากไป ในใจก็ได้แต่คิดเป็นห่วงจนเคร่งเครียดและว้าวุ้นอยู่ตลอด
มันเกรงว่าหากตนเองไม่ระวัง ทำผิดพลาดขึ้นมาก็จะก่อปัญหาทำร้ายนางได้
ดังนั้นพอเคร่งเครียดจนเกินไป ในสมองก็เกิดความผิดพลาดได้อย่างง่ายๆ อักษรตัวหนึ่งพอท่องบนอยู่ในใจเนิ่นนานไปเข้า ก็เหมือนกับสายตาที่เอาแต่จ้องมองคำคำหนึ่งอยู่ตลอดเวลา พอมองนานมากเกินไป อยู่ๆก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่า ตัวอักษรนี้มันไม่รู้จัก อ่านไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ
มันรู้สึกเช่นนี้จริงๆ ….หากว่ากันเรื่องความห่วงใย มันย่อมกังวลห่วงใยในตัวตู๋กูซิงหลันอย่างที่สุด
มันคุกเข่าลงตรงหน้าจีเฉวียน เงยหน้าขึ้นมองดูเขา ยามที่มองจีเฉวียน แววตาของวิญญาณทมิฬมีแต่ความหวาดกลัว จากนั้นสายตาของมันก็หันไปหยุดอยู่ที่ร่างอันไร้เดียงสาของตู๋กูซิงหลัน แววตาของมันเปี่ยมไปด้วยความสำนึกผิดและเสียใจ
“หงิง หงิง หงิง หลันหลัน ขอโทษนะ หนูขอโทษ….”
น้ำตาเม็ดโตไหลหยดแหมะๆออกมา
ตู๋กูซิงหลันจ้องมองไปที่เจ้าตัวดำน้อยที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
นางเอียงศีรษะไปมา มองดูมันอย่างประเมิน นางยังไม่ทันเอ่ยปาก ริมฝีปากของจีเฉวียนเบ้ออกไปเล็กน้อย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า
“เจ้าอย่ามาเรียกตนเองว่าเป็นหนูน้อย ซิงซิงเท่านั้นที่เป็นหนูน้อยได้”
วิญญาณทมิฬ “? ? ?”
เดี๋ยวนะ นั่นมันใช่ประเด็นสำคัญหรือ?
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้วก็หัวเราะคิกคักออกมาในทันที ข้อมือของนางคล้องอยู่บนลำคอของจีเฉวียน ริมฝีปากแดงแนบอยู่กับใบหูของเขา “เช่นนั้นข้าจะเป็นหนูน้อยใหญ่ ส่วนเจ้าลูกบอลไหม้นั่นเป็นหนูน้อยเล็ก…”
ริมฝีปากของนางสัมผัสกับติ่งหูของจีเฉวียนอย่างมิได้ตั้งใจ ให้ความรู้สึกอุ่นวาบและคันนิดๆ ทั้งยังทำให้ความโกรธเกรี้ยวใจในของเขาลดลงไปกว่าครึ่ง
วิญญาณทมิฬน้ำตาไหลพราก หลันหลันลืมแม้กระทั่งมันหรือ?
“นี่เรียกว่าสวรรค์ลงทัณฑ์….ยังจะมาเรียกผู้อื่นว่าเป็นบอลไหม้เกรียมอีก…..” เจ้านกยักษ์บอบช้ำใกล้ตายยืนระทวยอยู่ข้างสัตว์อสูรยักษ์ ดวงตาของมันจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันอย่างสะใจ จนหรี่ลงเป็นเส้นตรง
ขณะเดียวกันก็ยกขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้า “ก็บอกแล้วว่าอย่าริกินสัตว์ป่า …..เห็นไหมเล่า ผลลัพธ์ของการคิดอยากจะกินสัตว์ป่าเป็นยังไง กรรมมันตามทันไวจะตาย!”
มันส่งเสียงจีบปากจีบคอไม่ยอมหยุด ในใจคุ่มแค้นตู๋กูซิงหลันอยู่ลึกๆ ที่จริงยังอยากจะโห่ร้องอย่างยินดีออกมาจนแทบจะทนไม่ไหว
ตู๋กูซิงหลันจ้องไปที่มัน นางเห็นเจ้านกยักษ์ตัวนั่นทำตัวยึกยักไปมา ดูแล้วช่างน่ารำคาญ
นางขมวดคิ้ว โบกมือออกไป แขนเสื้อก็สะบัดราวระบำ เจ้านกยักษ์ยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาใด ก็ส่งเสียง ‘อัก’ ออกมาคำหนึ่ง ร่างของมันลอยออกไปไกล
นกที่แข็งแกร่งเช่นมัน แต่กลับถูกตู๋กูซิงหลันใช้เพียงแขนเสื้อสะบัด ก็ต้องกระเด็นไปไกล!
ร่างกายที่ใหญ่โตของมันลอยขึ้นไปในอากาศและทิ้งตัวลงเป็นเส้นโค้งอย่างสวยงาม ขณะที่กระเด็นไปอยู่นั้น มันก็ยังได้ยินเสียงกระดูกในร่างแตกหักราวกับว่าเป็นเพียงกระดาษที่ฉีกขาด ซี่โครงของมันหักไปหลายท่อน
ได้แต่อ้าปากกระอักโลหิตออกมา
ทั้งเลือดและร่างกายของมันลอยออกไปเป็นเส้นโค้ง เมื่ออยู่ในดวงดาวสีดำใบนี้จึงดูสวยแปลกตาอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันมองดูมันโดยไม่ยอมปล่อยลำคอของจีเฉวียน พลางเอ่ยอย่างกระเง้ากระงอดว่า “ไม่ชอบนกตัวยักษ์ อยากกินเนื้อ”
แม้ว่าสติของนางจะคืนมาอย่างไม่สมบูรณ์ดีนัก แต่ความคิดที่จะจับมันมาตุ๋นน้ำแกงก็ยังอยู่ในความจำส่วนลึกโดยมิได้หายไปไหน
เหล่าสัตว์อสูรพอได้เห็นเจ้านกยักษ์ถูกซัดจนปลิวกระเด็นออกไปในครั้งเดียว ก็ต้องพากันผวาดจนหนาวขึ้นมา
หากพวกมันจำได้ไม่ผิดละก็ เจ้านกยักษ์นั้นเป็นตัวโหดเหี้ยมจะตายไป!
แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์อย่างเทียนตี้ก็ยังไม่อาจสยบมันได้อย่างสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นเป็นเพราะลูกพี่ที่อยู่ในชั้นเก้ายังไม่ได้ตื่นขึ้นมา ดังนั้นยามปกติในเจดีย์กำราบเทพมาร ทุกตัวล้วนยกให้มันเป็นใหญ่
หลายชีวิตต้องตกตายภายใต้กรงเล็บของมันจนนับไม่ถ้วน พวกที่ถูกมันกระทืบจนตายไปก็มีอยู่มากมายราวขนวัว
มันมันมัน…..กลับถูกสตรีที่สติสตางค์ไม่สมบูรณ์ผู้หนึ่งซัดจนลอยออกไป?
พลังวิญญาณที่แผ่ออกมาพร้อมกับแขนเสื้อข้างนั้น เกรงว่าแม้แต่เหล่าสัตว์อสูรเห็นแล้วยังต้องเหน็บหนาว
ในพริบตานั้น พวกมันต่างก็รู้สึกได้ว่าในขุมพลังของนางเหมือนจะมีกลิ่นอายของยุคบรรพกาลเจือปนอยู่
ใช่แล้ว เป็นกลิ่นอายแบบเดียวกับที่ลูกพี่ในชั้นที่เก้าก็มีอยู่เช่นกัน แต่ว่ายังแข็งแกร่งยิ่งกว่า
ตอนนี้สัตว์อสูรในชั้นเก้าแปลงใบหน้ากลับมาเป็นหน้าสัตว์อสูรของมันดังเดิมแล้ว มันเองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แสนจะคุ้นเคยจากร่างกายของนางเช่นกัน
โดยเฉพาะ ตอนที่พลังนั้นแผ่พุ่งออกมาจากในแขนเสื้อ กลิ่นอายนั้นยิ่งเข้มข้นกว่าเดิม
จู่ฮว๋ายหรือ? เป็นนางจริงๆน่ะหรือ?
มันมองดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็มองไปที่จีเฉวียน บุรุษผู้นั้นเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง เขาเอาแต่เงียบงันไม่พูดไม่จา คล้ายคลึงกับซีเหออย่างยิ่ง
เพราะว่ายังไม่อาจยืนยัน และไม่อาจปฏิเสธว่าไม่ใช่ ดังนั้นมันจึงติดตามพวกเขามา
นับตั้งแต่ที่ซีเหอหายสาบสูญไปในวันนั้น มันก็ถูกจับตัวไปยังแดนสวรรค์ ถึงจะถูกสายฟ้าฟาด เพลิงเผาผลาญ จมน้ำก็ยังไม่ตาย สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้ เหล่าเทพจึงได้แต่กักขังมันเอาไว้ คิดว่าจะปล่อยให้มันถูกวันเวลากัดกร่อนจนตายไปเอง
แต่ที่เหล่าเทพต่างคิดไม่ถึงก็คือ ผ่านมาก็ต้องนานหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่มันก็ยังไม่ตาย แถมจิตวิญญาณของมันก็ยังติดตามซีเหอไปด้วยกันอีกด้วย
กระทั่งเมื่อจิตวิญญาณของมันหวนคืน มันถึงได้ตื่นขึ้นมา
แต่ว่าจิตวิญญาณของมันได้รับบาดเจ็บไปบางส่วน ดังนั้นจึงจำไม่ได้ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้และช่วงที่มันอยู่กับซีเหอ มันได้ไปทำสิ่งใดมาบ้าง
มันจำได้แต่เพียงว่า จิตวิญญาณของมันติดตามซีเหอไป ส่วนสิ่งที่ถูกกักขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมารก็เป็นเพียงร่างเนื้อของมันเท่านั้น
มันยิ่งคิดไม่ถึงว่า พอตื่นขึ้นมา อ้าปากส่งเสียงคำแรกก็คือ ‘เมีย เมีย เมีย’
เจ้าสัตว์อสูรยักษ์จากชั้นที่เก้าเรียกสติของมันกลับมา สายตาไปหยุดอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง
แน่นอน……อย่าได้เห็นว่า จิตวิญญาณของแม่ตุ๊กตาน้อยนี้ได้รับบาดเจ็บ สติและความทรงจำไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่พละกำลังในร่างของนาง ยังแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมากมายนัก
เจ้านกยักษ์ตัวนั้น จะว่าไปก็เป็นถึงสัตว์อสูรที่แสนโหดเหี้ยมที่มีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ถึงแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีทางที่จะถูกคนซัดกระเด็นด้วยแขนเสื้อได้ง่ายๆอย่างเด็ดขนาด
พละกำลังที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้….นอกเสียจากซีเหอแล้ว ผู้ที่มันเคยได้เห็นมาก็มีแต่จู๋ฮว๋ายเท่านั้น
จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ มองดูเจ้านกยักษ์ที่ลอยคว้างออกไปเป็นเส้นโค้งอย่างสวยงาม “พ่อครัวหลวงของต้าโจวมีฝีมืออันยอดเยี่ยม ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน ไปกินเนื้อ”
ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกาย นางคลายมือออกจากลำคอของเขา ปรบมือดังๆ “ดีจังเลย!”
ทั้งที่ปรบมืออย่างมิได้เอาจริงเอาจังอะไร แต่กลับทำให้หัวใจของเหล่าสัตว์อสูรสะเทือนอยู่ในอก บ้างเกือบจะกระอักเลือดออกมา
…………..