เขามองไปที่นาง ในแววตามีแต่รอยยิ้ม
รอให้ทุกอย่างสิ้นสุดลง ค่อยพานางไปท่องเที่ยวตามภูเขาต่างๆ จะได้ชมดูบรรยากาศที่ไม่เคยได้เห็น
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ยังไม่ได้ทำร่วมกับนาง
วันเวลายังอีกยาวไกล ค่อยๆทำไปทีละเรื่องๆแล้วกัน
ตู๋กูซิงหลันถูกล้อมอยู่พักใหญ่แล้ว ในที่สุดท่านผู้เฒ่าก็ออกคำสั่ง ให้ตู๋กูจุนลงไปรับตัวคนทั้งสองขึ้นมาบนโรงเตี๊ยม
ครอบครัวเดียวกันนี่หน่า สมควรมารวมกันจะได้คึกคักกว่าเดิม
ตู๋กูจุนยังนับว่าพอจะมีน้ำใจอยู่บ้าง ช่วยปลดสิ่งของที่แขวนอยู่บนร่างของจีเฉวียนลงมา
พอพวกเขากลับเข้าไป ทั้งหมดก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
ใครจะไปนึกว่า โอรสสวรรค์ที่เคยสูงส่งของต้าโจว ยามนี้กลับเดินเคียงข้างตู๋กูซิงหลันตามตู๋กูจุนเข้ามาต้อยๆราวกับเป็นน้องชายคนหนึ่ง
ดวงตาที่เคยมีแต่ความเหน็บหนาวคู่นั้นยามนี้กลายเป็นหิมะที่ต้องลมใบไม้ผลิ หลอมละลายจนกลายเป็นอบอุ่นขึ้นมา
ทุกคนต่างก็เคยเข้าใจว่า จีเฉวียนนั้นไร้หัวจิตหัวใจ ยามนี้ถึงได้รู้ว่า เขาเพียงแต่ไม่สั่นคลอนโดยง่ายต่างหาก
ทันทีที่มีใจขึ้นมา มอบความรักออกไป ก็จะให้กับคนเพียงผู้เดียว และยาวนานจนชั่วชีวิต
ช่างล้ำค่ายิ่งนัก
“เร็วๆเข้า น้องเล็ก น้องเขย รีบนั่งลง” ตู๋กูเจวี๋ยเชิญชวน เขาลุกออกจากที่นั่งของตนเอง ตะโกนสั่งให้คนเพิ่มชามตะเกียบ
อาหารมื้อครอบครัวในวันนี้ยังมิทันได้เริ่มรับประทานกัน น้องเล็กกับน้องเขยมาได้จังหวะพอดี นี่จึงจะครบครันที่สุด
ใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้ม
คิดไม่ถึงว่า เพื่อจะถอนพิษให้กับตน น้องเล็กถึงกับบุกขึ้นไปบนแดนสวรรค์เพียงลำพัง ในใจของตู๋กูเจวี๋ยก็ซาบซึ้งจนต้องหลังน้ำตาออกมา
มิว่าจะอย่างไร ก็ต้องถือว่า จีเฉวียนได้พาน้องเล็กกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยย่อมซาบซึ้งในตัวเขาจากก้นบึ้งของหัวใจน้องเขยผู้นี้ เขายอมรับแล้ว
คำว่าน้องเขยนั่นช่างตรงกับใจของจีเฉวียนพอดี
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เขาก็จับมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้อยู่ตลอด แม้แต่ยามนั่งลงก็ยังไม่คลายมือ
เก้าอี้ธรรมดาเช่นนี้ เขาเคยนั่งที่ไหนกัน ครั้งนี้กลับนั่งลงไปอย่างขึงขังราวกับว่านั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
หยวนเมิ่งกับองค์หญิงใหญ่ต่างก็จับจ้องไปที่เขา
พวกนางต่างก็ได้ยินมาว่าเขากลับมาแล้ว แต่ยังไม่เคยได้พบหน้าเลยสักครั้ง
ตอนนี้พอได้เจอแล้ว ก็รู้สึกว่าเขาดูเหมือนเดิมทุกประการ
รูปลักษณ์แม้ว่าจะไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม แต่ว่าบรรยากาศรอบกายกลับเปลี่ยนแปลงไปมาก
ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะเก็บงำพลังและกลิ่นอายของตนไปแล้ว แต่เมื่อมีเขานั่งอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกอยากกราบไหว้เทพเจ้าตรงหน้าขึ้นมา
ทั้งลึกลับ เงียบงัน และแข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ
แม้แต่หยวนเมิ่งก็ยังมองดูเขาอยู่เนิ่นนาน ประกายสีม่วงในดวงตานั่น ยามที่สบตากับนางยิ่งดูเข้มข้นและลึกล้ำ
จีเฉวียนกวาดตามองดูคนทั้งหมด ค่อยใช้สีหน้าที่เย็นชาเป็นน้ำแข็งกล่าวทักทายท่านผู้เฒ่าว่าท่านตาคำหนึ่ง
ท่านผู้เฒ่าปลื้มปิติยิ่งนัก ยกตะเกียบคีบเนื้อปลาชิ้นโตลงไปในชามของเขา
ตู๋กูซิงหลันก็รีบวางตะเกียบลง ยื่นชามเข้าไปหาในทันที “ท่านตา ข้าขอด้วยเจ้าค่ะ!”
ท่านผู้เฒ่าก็รีบคีบเนื้อชิ้นใหญ่กว่าเดิมส่งให้กับนาง
ทั้งครอบครัวต่างมีความสุข บรรยากาศครื้นเครงอย่างยิ่ง
เสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้องหับ มีเพียงแววตาของจีเฉวียนที่มองดูหยวนเมิ่งออกจะเยือกเย็นอยู่บ้าง
และความเย็นเช่นนี้ แม้แต่ตู๋กูจุนก็ยังรู้สึกได้
หยวนเมิ่งเดิมทีเป็นสนมของจีเฉวียน ถึงแม้ว่าเพราะอาลัยเรื่องของฉางซุนอิง เขาจึงได้ทำการสลายวังหลังไปแล้ว แต่จะอย่างไรก็ต้องถือว่าหยวนเมิ่งเคยเป็นสตรีของเขา
บุรุษนั้น กับสตรีของตนเอง จะมากจะน้อยก็ต้องรู้สึกว่ามีอำนาจครอบครองอยู่แล้ว
อย่าว่าแต่เขาเคยเป็นถึงฮ่องเต้ ช่วงเวลาสั้นๆเช่นนี้หาจะรู้สึกว่ายอมไม่ได้ก็เป็นที่เข้าใจได้
ตู๋กูจุนเกรงว่าหยวนเมิ่งจะรู้สึกเก้อเขิน ถึงเป็นฝ่ายออกตัวให้ว่า “ดินแดนหนานเจียงก็ล่มสลายไปเนิ่นนานแล้ว หยวนเมิ่งไม่มีที่ไป ข้าจึงรับนางเอาไว้เป็นน้องบุญธรรมา ถือว่ามอบที่พักพิงให้กับนาง”
จีเฉวียนยังมิทันได้กล่าวอะไร ตู๋กูซิงหลันก็มองไปที่ตู๋กูจุนกับหยวนเมิ่ง ด้วยดวงตาที่พร่างพราวจนระยิบระยับ “เอ๋? พี่ใหญ่กับพี่สาวท่านท่านนี้ยังมิใช่สามีภรรยากันอีกหรือ?”
“พรวด….” คำพูดของนางทำเอาหยวนเมิ่งถึงกับสำลักน้ำชาออกมา
ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ก็ซีดขาวลงไปอีกหลายส่วน
มีแต่ซุ่นเอ๋อร์ที่ส่ายศีรษะสุดชีวิตจนเส้นผมกระจัดกระจาย “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ยังไม่ใช่! ท่านยายน้อย ท่านจำผิดไปแล้วหรือไม่ พวกเขายังมิได้เป็นสามีภรรยากัน!”
เด็กหญิงตัวน้อยเอ่ยอย่างขึงขังว่า “มารดาของข้ากับพี่ใหญ่ของท่านยายน้อยต่างหากที่…”
“ซุ่นเอ๋อร์!” เด็กหญิงตัวน้อยยังมิทันพูดจบ องค์หญิงใหญ่ก็รีบตะครุบปากของนางเอาไว้
บรรยากาศที่ครื้นเครงอยู่เมื่อครู่พลันแปลเปลี่ยนเป็นขัดเขินขึ้นมา
ความสัมพันธ์บางประการหากมิได้เอ่ยออกมา ทุกคนต่างก็สามารถแกล้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องอันใด แต่ทันทีที่ถูกเปิดเผยออกมา ก็ช่างน่าอับอายนัก
มีแต่ตู๋กูซิงหลันที่ยังคงรับประทานต่อไปอย่างมิได้รู้สึกอะไร ทางหนึ่งรับประทาน อีกทางก็เอียงศีรษะไปมา ท่าทางเช่นนั้นยังดูใสซื่อยิ่งกว่าซุ่นเอ๋อร์เสียอีก “เช่นนั้นพวกเจ้าก็คือ เจ้าชอบเขา เจ้าเองก็ชอบเขา แล้วพี่ใหญ่ชมชอบผู้ใดล่ะ?”
นางใช้ตะเกียบแต่ละข้างชี้ไปที่องค์หญิงใหญ่และหยวนเมิ่ง สุดท้ายค่อยชี้มาที่ตู๋กูจุน
ในสมองของตู๋กูจุน ก็เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาในทันที
ชอบผู้ใด?
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็หลงรักจีฉุน
แต่ว่าจีฉุนไม่เคยชอบเขามาก่อนเลย
หยวนเมิ่งก็เพียงแต่ไม่มีบ้านเดิมให้กลับไป เขาเห็นแก่บุญคุณที่หยวนเมิ่งเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ จึงรับนางไว้เป็นน้องสาวบุญธรรม ย่อมไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับนางทั้งสิ้น
เขามันเป็นบุรุษร่างยักษ์ที่นิสัยหยาบกระด้าง สตรีทั้งสอง ย่อมไม่มีทางมาชอบเขาหรอก
พอตู๋กูซิงหลันถามคำถามนี้ออกมา จีฉุนกับหยวนเมิ่งต่างก็พากันเงียบงันไป
สายตาของทั้งสองหันไปมองดูตู๋กูจุน ราวกับว่ากำลังรอคอยคำตอบจากเขาอยู่
นับตั้งแต่ย้ายออกมาจากวังหลวง หยวนเมิ่งก็อยู่ที่ตระกูลตู๋กูมาโดยตลอด นางมักจะอยู่ใกล้ตู๋กูจุนอยู่เสมอ ทั้งยังเคยออกรบร่วมกับเขามาแล้วด้วยซ้ำ
แต่เพราะว่าพักนี้ตู๋กูจุนมักจะมีอาการปวดศีรษะอยู่บ่อยครั้ง องค์หญิงใหญ่จีฉุนจึงมักจะแวะเวียนมาที่จวนตระกูลตู๋กูอยู่เสมอ ทั้งยังเสาะหาหมอที่มีชื่อเสียงจากที่ต่างๆมาช่วยรักษาเขา
ซุ่นเอ๋อร์ก็ชอบมาวิ่งเล่นอยู่ในจวนตระกูลตู๋กู
ไปๆมาๆ โอกาสที่ทั้งสองได้พบหน้ากันจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังคงรักษษระยะห่างอยู่ตลอด ไม่มีใครยอมพูดความในใจออกมา
ทั้งสามคนจึงใช้เวลาร่วมกันอย่างคลุมเครือเช่นนี้มาปีกว่าแล้ว
ใครก็คิดไม่ถึงว่า กระดาษกรุหน้าต่างแผ่นนี้ สุดท้ายแล้วจะถูกตู๋กูซิงหลันกระชากออกมา
หากจะบอกว่า จิตใจและสติของนางบกพร่องอยู่บ้าง ประโยคที่ถามออกไปเมื่อครู่ ก็ต้องเรียกว่าแทงเข็มเดียวก็เห็นเลือดกระฉูด….
ราวกับว่านางรู้ชัดกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
พี่ชายของตนเอง กลับกลายเป็นเป็ดที่ถูกจับขึ้นเขียงไปเสียแล้ว
ท่านผู้เฒ่าตู๋กูและตู๋กูเจวี๋ยต่างก็ตกตะลึงไป
โดยเฉพาะท่านผู้เฒ่านั้นดูประหลาดใจที่สุด
เจ้าใหญ่ที่แท้ก็มิได้ตัดสินใจผู้ใด มิน่าเล่าจึงยังไม่ยอมแต่งงานมาโดยตลอด!
อีกอย่าง ทั้งๆที่กินอยู่ในชาม สายตาก็กลับมองไปที่ในหม้อ
ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าหยวนเมิ่งนั้นมิเลวเลยทีเดียว เดิมทีก็ยังเข้าใจว่า เจ้าใหญ่คงจะมีใจให้กับหยวนเมิ่งอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังอาวรณ์องค์หญิงใหญ่อยู่!
หากองค์หญิงใหญ่ทรงโปรดเขาละก็ ตอนนั้นมีหรือที่นางจะแต่งให้กับฉางซุนซู?
นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือว่านางมิได้ชมชอบเขา?
นี่กลายเป็นว่าเขามันเป็งคางคก ที่ยังคงคิดถึงห่านฟ้าบนท้องฟ้าอยู่เสมอ
ตู๋กูจุนถูกคนทั้งหมดจับจ้อง นานพักใหญ่จึงค่อยหาเสียงของตนเองเจอ “ข้าได้รับการไหว้วานจากราชบุตรเขย จะช่วยดูแลองค์หญิงใหญ่แม่ลูก นี่คือความรับผิดชอบ”
เมื่อพูดเช่นนี้ ในใจของทุกคนต่างก็ได้รับคำตอบแล้ว ที่แท้เขาก็ชอบหยวนเมิ่งสินะ
แววตาขององค์หญิงใหญ่อึมครึมลงไป แต่ก็มิได้ซักถามอะไรออกมา
ดวงตาของหยวนเมิ่งยังไม่ทันเป็นประกายขึ้นมา ก็ได้ยินตู๋กูจุนเอ่ยว่า “แม่นางหยวนเมิ่ง บริสุทธิ์ดั่งสายน้ำสดใสดั่งหยก ข้าย่อมไม่อาจเอื้อม”
ตู๋กูซิงหลัน “พี่สาวทั้งสองงดงามถึงเพียงนี้ ท่านกลับไม่ได้ชอบเลยสักคน?”
ว่าแล้ว นางก็ถึงกับวางตะเกียบลง กระโดดไปพิทักษ์จีเฉวียนของตนเองทันที “ท่านคงไม่ได้…..คิดถึงแต่พี่ชายคนงามของข้าอยู่ใช่ไหม?”
ทั้งหมด “! ! !”
ตู๋กูจุน “………”
…………………….