บทที่ 373 มหามรรคทรงเสน่ห์ จักรพรรดิสวรรค์รุ่นต่อไป
“ระยะนี้มีกลุ่มอิทธิพลจับตามองแดนชำระบาปเก้าขุมอยู่ ข้ามาเพื่อเตือนเจ้าโดยเฉพาะ” จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยขึ้น
หานเจวี๋ยฉงนใจ หรือว่ามีคนคิดแบบเดียวกันกับเขา ต้องการหลบเลี่ยงเคราะห์กรรมอย่างนั้นหรือ
เขาถามต่อ “ท่านทราบหรือไม่ว่าอีกฝ่ายมีที่มาอย่างไร”
จักรพรรดินีผืนพิภพตอบว่า “ก็เพราะไม่รู้ถึงได้มาเตือนเจ้า ระยะนี้กลไกสวรรค์เรรวน สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของอริยะ มหาเคราะห์แปรเปลี่ยนเป็นวซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านก็เป็นอริยะมิใช่หรือ ไม่ทราบหรือว่าเป็นฝีมือของอริยะท่านใด”
“ข้าใช่อริยะเสียที่ไหน ข้าเพียงพึ่งพาวัฏจักรถือกำเนิดใหม่ไม่แก่ไม่ตายเท่านั้น ในทางมรรคผลไม่อาจเทียบกับอริยะได้เลย”
หานเจวี๋ยร้องในใจว่าแย่แล้ว
ประเมินความสามารถของกองหนุนสูงเกินไปแล้ว!
“แต่ถ้าอริยะคิดจะลงมือกับข้า ก็ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก!” จักรพรรดินีผืนพิภพพลิกลิ้น น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
หานเจวี๋ยถามต่ออีก “บนโลกนี้มีสถานที่หรือสมบัติวิเศษใดที่สามารถหลบเลี่ยงการสอดแนมของอริยะได้อยู่หรือไม่”
“ย่อมมีแน่นอน พวกสถานที่ก็อาทิแดนชำระบาปเก้าขุม แดนต้องห้ามอันธการ อริยะไม่สามารถสอดแนมโดยตรงได้ อริยะสอดส่องได้เพียงมรรคาสวรรค์เท่านั้น ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์ก็สามารถป้องกันการสอดแนมของอริยะได้ สรุปตามที่กล่าวไปคือ ถึงแม้อริยะจะมีอำนาจดั่งใจปรารถนา ทว่าก็ไม่สามารถกระทำอย่างอุกอาจมุทะลุได้”
คำตอบของจักรพรรดินีผืนพิภพทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งอกแล้ว
แบบนี้ก็ดีแล้ว
ถ้าหากมีเพียงอาณาเขตเต๋าของเขาที่อริยะไม่สามารถสอดแนมได้ อริยะเหล่านั้นต้องรู้กันหมดแน่ว่าเขาก็คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ
แล้วแบบนี้จะสนุกได้อย่างไร
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยถามอย่างหยอกเย้า “เจ้าก็มียอดสมบัติมรรคาสวรรค์อยู่มิใช่หรือ ข้าไม่อาจทำนายได้เลยว่าเผ่าเอกาอยู่ที่ใด’
หานเจวี๋ยหัวเราะแห้งๆ คราหนึ่ง ถือว่าเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
มีแต่ต้องทำเช่นนี้ถึงจะรอดตัวไปได้
เขาไม่ได้มีแค่ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์หรอกนะ!
ดูเหมือนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักรก็ยังมีความสามารถอันแข็งแกร่งที่ยังไม่ถูกบุกเบิกพัฒนา
หานเจวี๋ยกล่าวต่อไปว่า “จักรพรรดินี วางใจเถิด ข้าจะปกป้องเผ่าเอกาเป็นอย่างดี”
จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยตอบ “อันที่จริงขอเพียงเจ้าซ่อนตัวให้ดี ก็น่าจะไม่ถูกพบตัวแน่นอน”
“ข้าจะซ่อนตัวให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
จักรพรรดินีผืนพิภพกลายเป็นเมฆหมอกสลายหายไป ดวงดาวนับไม่ถ้วนล่องลอยกระจายตัว
หานเจวี๋ยเก็บจิตสำนึกกลับมา
เขาจัดการโยกย้ายเกาะสำนักซ่อนเร้น ย้ายตำแหน่งที่ตั้ง ป้องกันไม่ให้ถูกค้นพบ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
หานเจวี๋ยเอ่ยถามในใจ ‘ข้าอยากรู้ว่ามีคนทราบหรือไม่ว่าข้าคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ รวมผู้ที่อยู่ในระดับอริยะด้วย’
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
หืม
การวิวัฒนาการสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ต้องหักอายุขัยด้วยหรือ
หรือเพราะเกี่ยวข้องไปถึงระดับอริยะด้วย
หานเจวี๋ยเลือกดำเนินการต่ออย่างเงียบเชียบ
หากไม่ถามให้ชัดเจน เขาคงยากจะสงบใจบำเพ็ญตบต่อะได้
[ไม่มี]
เมื่อหานเจวี๋ยมองเห็นสองคำนี้ เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาทันที
พอคิดดูให้ละเอียดก็ถูกต้องแล้ว หานเจวี๋ยสาปแช่งอยู่ภายในอาณาเขตเต๋ามาโดยตลอด ขณะที่ศัตรูที่ถูกสาปแช่งแข็งแกร่งขึ้น อาณาเขตเต๋าก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่เขาเริ่มคุกคามตัวเบี้ยของอริยะได้ เขาก็ล้วนแต่หลบซ่อนอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุมเสมอ อริยะจึงไม่อาจทำนายพบตัวเขาได้
ก่อนหน้านี้อริยะไม่มีเหตุผลที่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้เลย
บางทีอริยะอาจทราบแล้วว่าเขาแตกต่างจากคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้นำเขาไปเชื่อมโยงเข้ากับเจ้าแดนต้องห้ามอันธการเลย
หานเจวี๋ยรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก อารมณ์สดใสขึ้นมาอีกครั้ง
ต่อไปต้องระวังให้มากขึ้น
หานเจวี๋ยเริ่มยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่ของตน ใช้เวลาครึ่งปียกระดับพวกมันทั้งหมดให้บรรลุขอบเขตระดับเทพ ทว่าก็ยังไม่อาจแตะถึงระดับต้าหลัวได้
ถ้าอยากบรรลุระดับต้าหลัว ต้องเอาชนะหลี่เต้าคงที่อยู่สุดปลายแม่น้ำมรรคกระบี่ให้ได้
เจ้าหมอนี่ก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
ในแบบจำลองการทดสอบ หานเจวี๋ยสามารถเอาชนะปฐมเทพขั้นหกได้แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่เต้าคง ถึงแม้หลี่เต้าคงยากจะทะลวงแนวป้องกันของบัวดำล้างโลกสามสิบวัฏจักรได้ แต่เขาก็ยังเอาชนะหลี่เต้าคงได้ยากยิ่งนักเช่นกัน
สองศิษย์แห่งนิกายเหริน พลังห่างชั้นกันมากโข
ถึงขั้นที่หานเจวี๋ยรู้สึกสงสัยว่าเจ้านิกายเหรินกลัวว่าหลี่เต้าคงจะลำพองตัวเกินไป ดังนั้นถึงหาศิษย์น้องอย่างหลี่เสวียนเอ้ามาควบคุมอีกฝ่ายเอาไว้
มีหลี่เสวียนเอ้าอยู่ หลี่เต้าคงน่าจะไม่กล้าบุ่มบ่ามผลีผลาม
จนปัญญาที่หลี่เต้าคงมีความสามารถ สามารถสะบั้นกรรมได้
หลังจากยกระดับพลังวิเศษมรรคกระบี่เสร็จสิ้น หานเจวี๋ยก็เริ่มพิจารณาค่าสถานะอื่นๆ ต่อ
นอกจากดวงชะตาทายาทจักรพรรดิเซียนแล้ว เขายังมีดวงชะตาแต่กำเนิดอีกสามอย่าง
[ไม่เป็นสองรองใคร: หล่อเหลาเลิศล้ำ ค่าเสน่ห์ขั้นสูงสุด]
[ชะตาเซียนกระบี่: คุณสมบัติเชิงมรรคกระบี่ขั้นสูงสุด รู้แจ้งมรรคกระบี่ขั้นสูงสุด]
[ความไวของท่าร่าง: คุณสมบัติเชิงท่าร่างขั้นสูงสุด]
หานเจวี๋ยคิดว่าจะยกระดับไม่เป็นสองรองใครและความไวของท่าร่างสักหน่อย
ความไวของท่าร่าง ความหมายตรงตามชื่อ ยกระดับพลังวิเศษด้านกายภาพ เป็นการหยั่งรู้ที่ดี
ไม่เป็นสองรองใครก็สามารถยกระดับได้เช่นกัน!
หานเจวี๋ยได้แรงบันดาลใจมาจากจักรพรรดินีผืนพิภพ
หานเจวี๋ยพบว่าเขาบังเกิดความรู้สึกดีต่อจักรพรรดินีผืนพิภพได้อย่างง่ายดาย พูดให้ชัดเจนก็คือค่าเสน่ห์ของจักรพรรดินีผืนพิภพสูงลิ่วนั่นเอง
ไม่ว่าจะฝึกบำเพ็ญมาอย่างไร นี่ก็เป็นความจริง
พอคิดดูดีๆ แล้วการที่เผ่าจอมเวทมีเพียงนางที่รอดมาได้ นอกจากเหตุผลเรื่องวัฏจักรแล้ว จะต้องมีเหตุผลอื่นอยู่เป็นแน่
ถ้าหากหานเจวี๋ยทำให้ค่าเสน่ห์ของตนบรรลุขีดสูงสุดได้ ไม่ว่าผู้ใดมาพบเขาในใจก็จะบังเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วจะมิใช่ว่าใต้หล้านี้ไร้ศัตรูหรอกหรือ
หานเจวี๋ยตระหนักได้ว่าตนค้นพบความคิดแปลกพิสดารอย่างหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว
มหามรรคทรงเสน่ห์!
….
ห้าปีผ่านไป
หานเจวี๋ยยกระดับเงาเทพมหาวิวัฒน์จนบรรลุขีดจำกัดที่ตนจะสามารถบรรลุได้แล้ว
[เงาเทพมหาวิวัฒน์: ระหว่างการต่อสู้ สามารถเพิ่มระดับความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนองอย่างฉับพลันได้ สามารถแยกเงาเทพออกมาหลอกล่อศัตรูได้ และสามารถท่องผ่านโลกหล้าหมื่นโลกาได้ ทรงพลังอย่างยิ่ง]
เขาสามารถแยกเงาพันร่างได้แล้ว กลิ่นอายเหมือนร่างต้นแบบทุกประการ ระหว่างการต่อสู้สามารถนำมาใช้ล่อลวงคู่ต่อสู้ได้ง่ายยิ่ง!
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบอีกครั้ง
อาศัยความช่วยเหลือจากบัวดำล้างโลกาสามสิบหกวัฏจักร ในขอบเขตระดับเทพเขาไร้คู่ต่อสู้แล้ว
หากไม่พึ่งพายอดสมบัติมรรคาสวรรค์ ระดับที่ต่ำกว่าปฐมเทพขั้นหกลงไปล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย ส่วนในขอบเขตปฐมเทพขั้นหก หานเจวี๋ยก็พอจะฝืนรั้งไว้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เป้าหมายของหานเจวี๋ยคือพยายามไม่พึ่งพาบัวดำล้างโลกาสามสิบหกวัฏจักร เพื่อเลี่ยงไม่ให้เป็นการดึงดูดความสนใจของระดับต้าหลัวและอริยะ
แน่นอน หากสามารถสังหารศัตรูในเสี้ยววินาทีได้ แบบนั้นย่อมสามารถนำมาใช้ได้
ขอเพียงเขาเคลื่อนไหวว่องไวพอ ก็ไม่มีทางถูกจับได้
หลังจากแข็งแกร่งขึ้นแล้ว หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งศัตรูของตน พลางตรวจดูจดหมายไปด้วย
[หวงจุนเทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากศิษย์ของนิกายฉ่าน] x480
[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากปีศาจ] x422103
[ฟางเหลียงศิษย์ของท่านสำแดงพลังวิเศษ วิญญาณข้ามสู่บรรพกาล]
[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านก่อตั้งสำนักดวงชะตาขึ้น ดวงชะตาเพิ่มพูน]
[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านได้รับสืบทอดมรดกจักรพรรดิสวรรค์บรรพกาล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน เข้าสู่ระดับเทพ]
[ไท่ซู่เทียนสหายของท่านผ่านประสบการณ์ทางโลกอย่างโชกโชน กลายเป็นผู้รับเคราะห์]
[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านได้รับดวงชะตาราชามนุษย์ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]
[จักรพรรดิเซียนวัฏจักรสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเผ่าเทพอีกาทอง] x204
….
หานเจวี๋ยร้องจุ๊ๆ ด้วยความแปลกใจ
ดูเหมือนแต่ละคนจะยอดเยี่ยมกันยิ่งนัก
เจ้าหนูฟางเหลียงวิญญาณข้ามสู่บรรพกาลเป็นครั้งที่สองแล้ว เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
หากมิใช่เพราะค่าความรู้สึกดีที่เขามีต่อหานเจวี๋ยไม่ได้ลดลงเลย หานเจวี๋ยคงมองเขาเป็นศัตรูในจินตนาการไปแล้ว
หลงเฮ่าก่อตั้งสำนักแล้ว เขาต้องการจะทำศึกกับวังสวรรค์จริงๆ สินะ
เฮ่าเทียนร้ายกาจนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะล้างสมองอีกฝ่ายได้สำเร็จจริงๆ
จักรพรรดิสวรรค์ต้องการให้การสนับสนุนยอดแม่ทัพเทพในฐานะว่าที่จักรพรรดิสวรรค์รุ่นต่อไปจริงๆ เขาปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเช่นนี้ ช่วยให้ยกระดับเข้าสู่ระดับเทพโดยตรง ทำเอาหานเจวี๋ยรู้สึกริษยานัก
ยังมีไท่ซู่เทียนอีกคน
มิน่าเล่าถึงได้ลงสู่แดนมนุษย์ ที่แท้ก็ทำเพื่อชะล้างกรรม ให้ก้าวสู่เคราะห์กรรมได้สะดวกยิ่งขึ้น แผนการของหนี่ว์วาช่างลึกล้ำนัก!
หานเจวี๋ยมองความเคลื่อนไหวของสิงหงเสวียน ดวงตาพลันทอแววอ่อนโยน
ไม่รู้ว่าช่วงที่ผ่านมาสาวน้อยคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ช้าก่อน!
จากรูปการณ์ในตอนนี้ คงมิใช่ว่าภรรยาคนนี้จะกลายเป็นผู้รับเคราะห์ไปด้วยกระมัง
สีหน้าของหานเจวี๋ยแปรเปลี่ยนไปในทันที
………………………………………………………………